ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระธรรมพัชรญาณมุนี (ฌอน ชยสาโร)"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 41: | บรรทัด 41: | ||
== อ้างอิง == |
== อ้างอิง == |
||
{{รายการอ้างอิง}} |
{{รายการอ้างอิง}} |
||
== แหล่งข้อมูลอื่น == |
|||
* [http://dhamma.vayoclub.com/index.php?topic=307.0 ประวัติ พระอาจารย์ ชยสาโร ฌอน ชิเวอร์ตัน] |
|||
{{เกิดปี|2501}} |
{{เกิดปี|2501}} |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 12:03, 6 พฤษภาคม 2554
บทความนี้ได้รับแจ้งให้ลบ เพราะ ขาดความสำคัญ, โฆษณา ดูเพิ่มที่ นโยบายการลบและเงื่อนไขการลบทันที
หากบทความนี้ไม่เข้าเกณฑ์การลบ หรือคุณตั้งใจแก้ไข กรุณาลบประกาศนี้ออก แต่อย่านำประกาศนี้ออกจากหน้าที่คุณสร้าง หากคุณสร้างหน้านี้ และคุณไม่เห็นด้วยกับเหตุผลที่แจ้งลบ ให้กดปุ่มด้านล่างเพื่อแจงเหตุที่ไม่ควรลบลงในหน้าอภิปราย คุณยังสามารถชมหน้าดังกล่าวในภายหลังเพื่อตรวจสอบว่ามีการสนองข้อความของคุณแล้วหรือยัง พึงทราบว่าเมื่อขึ้นประกาศนี้แล้ว บทความนี้อาจถูกลบเมื่อใดก็ได้หากเข้าเกณฑ์การลบทันทีอย่างไร้ข้อกังขา หรือพบว่าคำอธิบายที่แจ้งไปในหน้าคุยไม่เพียงพอ นอกจากนี้ หน้าที่ไม่มีผู้คัดค้านการแจ้งลบจะถูกลบหลังผ่านไปอย่างน้อย 7 วันโดยอัตโนมัติ ผู้ดูแลระบบ: ตรวจสอบลิงก์, ประวัติ (ล่าสุด) และปูมก่อนลบหน้านี้มีการแก้ไขล่าสุดโดย B20180 (ส่วนร่วม | ปูม) เมื่อเวลา 12:03, 6 พฤษภาคม 2554 (12 ปีก่อน) |
พระธรรมพัชรญาณมุนี (ฌอน ชยสาโร) | |
---|---|
พระฌอน ชยสาโร | |
ชื่ออื่น | พระอาจารย์ชยสาโร,พระฌอน ชยสาโร |
ส่วนบุคคล | |
เกิด | พ.ศ. 2501 (53 ปี) |
ตำแหน่งชั้นสูง | |
ที่อยู่ | สถานพำนักสงฆ์บ้านไร่ทอสี นครราชสีมา |
พระอาจารย์ชยสาโร มีนามเดิมว่า ฌอน ชิเวอร์ตัน (อังกฤษ: Shaun Chiverton) นามเดิมของท่านก่อนจะเปลี่ยน "ฉายา" เป็นชยสาโรภิกขุ เมื่อ 19 ปีก่อน และใช้ชวิตอยู่ในร่มกาสาวพักตร์มานานถึง 33 ปีแล้ว แต่สำหรับตัวท่านเองออกจะคุ้นหูกับคำว่า "พระฝรั่ง" มากกว่าพระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ แห่งสถานพำนักสงฆ์บ้านไร่ทอสี จังหวัดนครราชสีมา เป็นผู้มีศรัทธาในพลังแห่งพุทธศาสนา จนได้ชื่อว่าเป็นพระฝรั่งที่ถ่ายทอดความลึกซึ้งทางธรรมฉบับภาษาไทยได้สละสลวย และเป็นที่ประทับใจต่อพุทธศาสนิกชนทั่วโลก[1]
การศึกษา
ท่านเกิดที่ประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2501 เมื่อยังเล็กท่านมีสุขภาพไม่ดี มีอาการหอบหืด แม้จะต้องต้องหยุดโรงเรียนบ่อย แต่ก็ได้ใช้เวลาในการศึกษาด้วยตนเอง ด้วยความเป็นคนที่ช่างคิด ช่างค้นคว้าจึงมีผลการเรียนที่ดีเยี่ยมจน บิดามีความหวังให้เข้าสอบชิงทุนเพื่อเรียน ต่อในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในประเทศอังกฤษ แต่สิ่งที่สนใจจริงแล้วก็คืออะไรคือสิ่งสูงสุดที่เราจะได้จากการเป็นมนุษย์ อะไรคือความจริงสากลที่ไม่ขึ้นอยู่กับสมมุติของแต่ละสังคม ทำไมคนเราอยากจะอยู่อย่างเป็นมิตรแต่กลับรบราฆ่าฟันกันอยู่เรื่อยไป
การแสวงหาสัจธรรมความจริง
เมื่อไม่มีบุคคลใดสามารถให้คำตอบแก่ท่านได้ ท่านจึงเริ่มอ่านหนังสือต่างๆมากมายหลากหลาย จนกระทั่งพบคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาว่าเป็น "สัจธรรมความจริง" ที่กำลังแสวงหาอยู่ จึงสนใจการฝึกจิตและศึกษาหาความรู้ทางพุทธศาสนาตั้งแต่อยู่ในวัยรุ่น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญให้ท่านเริ่มทำงานเก็บเงินและออกเดินทางหาประสบการณ์ในประเทศต่างๆ อาทิ ประเทศอิหร่านซึ่งลำบากมาก ถึงขนาดที่ว่าเคยโดนซ้อม แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อจนมีคนชวนท่านไปอยู่ที่บ้านเพื่อให้สอนภาษาอังกฤษให้แลกกับการให้ที่พักและอาหาร หรือเมื่อครั้งท่านไปประพฤติตนเป็นฤๅษีที่อินเดีย แต่สุดท้ายก็มีเหตุจากปัจจัยภายนอกทำให้ท่านต้องเดินทางกลับ ท่านเดินทางไปทั่ว จนแน่ใจว่าการศึกษาและปฏิบัติธรรม อันเป็นหนทางที่ต้องการแทนการเรียนต่อในมหาวิทยาลัย โดยท่านใช้เวลาค้นหาสิ่งที่ท่านต้องการตั้งแต่อายุ 17 ปี ใช้เวลา 2 ปี จนเมื่อพ.ศ. 2521 ท่านได้พบและเริ่มปฏิบัติกับพระอาจารย์สุเมโธ (พระราชสุเมธาจารย์ ในปัจจุบัน และเป็นพระชาวต่างชาติรูปแรกที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อชา) ที่วิหารแฮมสเตด ประเทศอังกฤษ และได้ถือเพศเป็นอนาคาริก (ปะขาว) อยู่กับท่านพระอาจารย์สุเมโธ ถือศีล 10 เป็นเวลา 1 พรรษา แล้วเดินทางมายังประเทศไทย
ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์
แม้ว่าท่านจะได้ปฏิบัติมาบ้างเมื่ออยู่กับพระอาจารย์สุเมโธมาแล้วก็ตาม แต่หลวงพ่อชาก็ยังไม่บวชให้ ท่านรับการฝึกฝนเคี่ยวเข็ญด้วยอุบายต่าง ๆ จากหลวงพ่อชา ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อหลวงพ่อชาถามว่าอยากบวชไหม หากบอกว่าอยากท่านก็จะตอบว่ายังไม่ให้บวช จนกว่าจะตอบว่าแล้วแต่หลวงพ่อท่านจึงได้บวช เมื่อพ.ศ. 2523 โดยอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดหนองป่าพง โดยมีพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) เป็นพระอุปัชฌาย์
ก่อนเดินทางมาประเทศไทย ท่านได้ตั้งใจว่าจะอยู่ที่วัดหนองป่าพง ให้ครบ 5 ปี โดยไม่มีเงื่อนไขเพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม เมื่อมาพบหลวงพ่อชา ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในปฏิปทาและความเป็นครูที่มีทั้งเมตตา และปัญญาในการสอนอย่างลึกซึ้ง จึงสามารถทนต่อความยากลำบากในการปรับตัวให้เข้ากับการใช้ชีวิตแบบพระวัดป่า ที่เข้มงวดในวินัย และการฝึกปฏิบัติตามรอยพระพุทธเจ้า และการอยู่ร่วมกับคณะสงฆ์ชาวไทยจนเกิดความก้าวหน้าและเบิกบานในธรรม แนวการสอนของหลวงพ่อชาเน้นการปฏิบัติการรักษาศีล และข้อวัตรปฏิบัติ ความอดทน ความเพียร การใคร่ครวญหลักธรรม และน้อมมาสู่ใจให้เฝ้าสังเกตจนรู้ทันอารมณ์ของตนเอง และสามารถใช้สติปัญญาในการสร้างประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่นพร้อมกันไป ทำให้ท่านผูกพันกับหลวงพ่อชามาก
เหตุที่เลือกยึดหลักเถรวาท เพราะท่านมีความตั้งใจ ต้องการจะทุ่มเทกาย ถวายชีวิตให้กับพระพุทธศาสนา เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานและที่ชอบฝ่ายเถรวาท เพราะถูกจริต ตรงไปตรงมา ไม่มีพิธีรีตรองมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เข้ามาเกี่ยวกับกาย กับใจ กับทุกข์ การที่จะอยู่กับป่ากับ ธรรมชาติ อย่างที่สาวกพระพุทธเจ้าเคยปฏิบัติในสมัยพุทธกาล
แม้ว่าท่านจะเป็นชาวต่างชาติแต่เรื่องภาษาไม่ใช่อุปสรรค เพราะท่านเชื่อว่าภาษาพื้นฐาน คือบาลีสันสกฤต ซึ่งทั้งคนไทยและต่างชาติก็ต้องเริ่มมาเรียนรู้เหมือนกัน ภาษามีความยากพอกัน แต่คนไทยอาจจะง่ายกว่าที่ศัพท์ไทยมีบาลีสันสกฤต ท่านจึงต้องพยายามและขยันมากหน่อย แต่ก็ไม่นาน โดยท่านใช้วิธีการท่องตัวอักษรจนกระทั่งอ่านได้ จากนั้นก็อยู่คนเดียว ค่อยๆ อ่าน ดูศัพท์ในดิกชันนารี อีกทั้งอยู่กับครูบาอาจารย์ ไม่ได้เรียนทฤษฎีอะไรมากมาย ก็ปฏิบัติไปด้วย มีการพิสูจน์ไปด้วย ได้ปรึกษาหารือกับครูบาอาจารย์ ได้อ่านได้ฟัง พูดคุยกับพระด้วยกัน ทั้งหมดเป็นชีวิตของท่าน ท่านเองก็ต้องคลุกคลีกับสิ่งนี้อยู่แล้วจึงไม่ยากเท่าไร
ปัจจุบันพระอาจารย์ชยสาโรพำนักอยู่ ณ สถานพำนักสงฆ์บ้านไร่ทอสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา[2]
อ้างอิง
- ↑ "ชยสาโรภิกขุ แรงศรัทธาบนความต่าง" กรุงเทพธุรกิจออนไลน์. เรียกข้อมูลวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553.
- ↑ " ธรรมเทศนาพระอาจารย์ชยสาโร".