ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ว็อล์ฟกัง เพาลี"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Tinuviel (คุย | ส่วนร่วม)
Tinuviel (คุย | ส่วนร่วม)
→‎อาชีพทางวิทยาศาสตร์: +แทนที่ "ดิราค" → "ดิแรก" ด้วยสจห.
บรรทัด 38: บรรทัด 38:
ในปี พ.ศ. 2501 เพาลีได้รับ เหรียญ มากซ์ พลางค์ ในปีเดียวกันนั้นเอง เขาได้ป่วยด้วยโรคมะเร็งในตับ เมื่อ ชารลส์ เอนซ์ ผู้ช่วยคนสุดท้ายของเขา ได้เข้าเยี่ยมเขาที่ โรงพยาบาล รอทเครอุซ (Rotkreuz hospital) ในเมืองเซริค เพาลีได้ถามเขาว่า "คุณเห็นหมายเลขของห้องหรือเปล่า" มันคือหมายเลข 137 ตลอดชีวิตของเขา เพาลี ได้ใช้เวลาเพื่อตอบคำถามที่ว่า ทำไม [[ค่าคงตัวโครงสร้างละเอียด]] (fine structure constant) ซึ่งเป็น ค่าคงตัวพื้นฐานที่ไม่มีมิติ ถึงได้มีค่าเกือบจะเท่ากับ 1/137 เพาลีเสียชีวิตในห้องนั้น ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2501
ในปี พ.ศ. 2501 เพาลีได้รับ เหรียญ มากซ์ พลางค์ ในปีเดียวกันนั้นเอง เขาได้ป่วยด้วยโรคมะเร็งในตับ เมื่อ ชารลส์ เอนซ์ ผู้ช่วยคนสุดท้ายของเขา ได้เข้าเยี่ยมเขาที่ โรงพยาบาล รอทเครอุซ (Rotkreuz hospital) ในเมืองเซริค เพาลีได้ถามเขาว่า "คุณเห็นหมายเลขของห้องหรือเปล่า" มันคือหมายเลข 137 ตลอดชีวิตของเขา เพาลี ได้ใช้เวลาเพื่อตอบคำถามที่ว่า ทำไม [[ค่าคงตัวโครงสร้างละเอียด]] (fine structure constant) ซึ่งเป็น ค่าคงตัวพื้นฐานที่ไม่มีมิติ ถึงได้มีค่าเกือบจะเท่ากับ 1/137 เพาลีเสียชีวิตในห้องนั้น ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2501


== อาชีพทางวิทยาศาสตร์ ==
== งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ==
[[ไฟล์:Bohr heisen pauli.jpg|thumb|[[นีลส์ บอร์]], [[แวเนอร์ ไฮเซนแบร์ก]], และโวล์ฟกัง เพาลี พ.ศ. 2478]]
เพาลีได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาที่สำคัญมากมายในวิชาชีพของเขาในฐานะนักฟิสิกส์ หลักๆ แล้ว ก็คือ การพัฒนาในวิชา กลศาสตร์ควอนตัม เขาตีพิมพ์ผลงานน้อยมาก เขาชอบที่จะเขียนตอบโต้กับเพื่อนๆ ของเขามากกว่า (เพื่อนๆ ของเขา อย่างเช่น [[บอห์ร]] และ [[ไฮเซนเบอร์ก]] ซึ่งเป็นผู้ที่เขามีความสนิทสนม) ความคิดใหม่ๆ และ ผลงาน หลายๆ อย่างของเขา ไม่เคยถูกตีพิมพ์ และ ได้ปรากฏอยู่ในจดหมายของเขาเท่านั้น ซึ่งบ่อยครั้งที่จดหมายเหล่านั้นจะถูกพิมพ์ซ้ำและแจกจ่ายวนเวียนอยู่ในหมู่ผู้ที่ได้รับจดหมายของเขา เป็นที่แจ่มชัดว่าเพาลีไม่ได้ตระหนักในการที่งานของเขาไม่ได้รับการอ้างอิง ข้างล่างนี้เป็นผลงานสำคัญหลักๆ ที่เขาได้รับการอ้างอิงถึง

เพาลีได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาที่สำคัญมากมายในวิชาชีพของเขาในฐานะนักฟิสิกส์ หลักๆ แล้ว ก็คือ การพัฒนาในวิชา กลศาสตร์ควอนตัม เขาตีพิมพ์ผลงานน้อยมาก เขาชอบที่จะเขียนตอบโต้กับเพื่อนๆ ของเขามากกว่า (เพื่อนๆ ของเขา อย่างเช่น [[นีลส์ บอร์|บอร์]] และ [[แวเนอร์ ไฮเซนแบร์ก|ไฮเซนแบร์ก]] ซึ่งเป็นผู้ที่เขามีความสนิทสนม) ความคิดใหม่ๆ และ ผลงาน หลายๆ อย่างของเขา ไม่เคยถูกตีพิมพ์ และ ได้ปรากฏอยู่ในจดหมายของเขาเท่านั้น ซึ่งบ่อยครั้งที่จดหมายเหล่านั้นจะถูกพิมพ์ซ้ำและแจกจ่ายวนเวียนอยู่ในหมู่ผู้ที่ได้รับจดหมายของเขา เป็นที่แจ่มชัดว่าเพาลีไม่ได้ตระหนักในการที่งานของเขาไม่ได้รับการอ้างอิง ข้างล่างนี้เป็นผลงานสำคัญหลักๆ ที่เขาได้รับการอ้างอิงถึง


* [[พ.ศ. 2467]] เพาลีได้เสนอ องศาความอิสระทางควอนตัม (quantum degree of freedom) ใหม่อันหนึ่ง ซึ่งได้แก้ปัญหาการไม่ลงรอยกันระหว่าง แถบความถี่จำเพาะของโมเลกุล (molecular spectra) ที่สังเกตได้ กับ ทฤษฎี กลศาสตร์ควอนตัม ที่กำลังได้รับการพัฒนา เขาได้สร้างสูตร หลักการกีดกันของเพาลี ขึ้น บางที นี่อาจจะเป็นงานที่สำคัญที่สุดของเขา เนื้อหาของงานนี้มีใจความว่า อิเล็กตรอนสองตัวใดๆ ที่มี สถานะทางควอนตัม (quantum state) เดียวกัน ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ หนึ่งปีหลังจากนั้น แนวคิดใหม่เกี่ยวกับสปินได้ถือกำเนิดขึ้นโดย ราล์ฟ ครอนิก, อูเลนเบค และ เกาด์สมิท เพื่อ ระบุ องศาความอิสระทางควอนตัม นี้ ในฐานะเป็น สปินของอิเล็กตรอน
* [[พ.ศ. 2467]] เพาลีได้เสนอ องศาความอิสระทางควอนตัม (quantum degree of freedom) ใหม่อันหนึ่ง ซึ่งได้แก้ปัญหาการไม่ลงรอยกันระหว่าง แถบความถี่จำเพาะของโมเลกุล (molecular spectra) ที่สังเกตได้ กับ ทฤษฎี กลศาสตร์ควอนตัม ที่กำลังได้รับการพัฒนา เขาได้สร้างสูตร หลักการกีดกันของเพาลี ขึ้น บางที นี่อาจจะเป็นงานที่สำคัญที่สุดของเขา เนื้อหาของงานนี้มีใจความว่า อิเล็กตรอนสองตัวใดๆ ที่มี สถานะทางควอนตัม (quantum state) เดียวกัน ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ หนึ่งปีหลังจากนั้น แนวคิดใหม่เกี่ยวกับสปินได้ถือกำเนิดขึ้นโดย ราล์ฟ ครอนิก, อูเลนเบค และ เกาด์สมิท เพื่อ ระบุ องศาความอิสระทางควอนตัม นี้ ในฐานะเป็น สปินของอิเล็กตรอน
* [[พ.ศ. 2469]] ไม่นานนักหลังจากที่ไฮเซนเบอร์ก ได้ตีพิมพ์ ทฤษฎีเมตริกซ์ของกลศาสตร์ควอนตัม สมัยใหม่ เพาลีได้ใช้มันในการสร้างสูตรที่ทำนาย เส้นความถี่จำเพาะของอะตอมของไฮโดรเจน ที่ได้รับการสังเกตไว้ ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนสำคัญในการคุ้มครองความน่าเชื่อถือของทฤษฎีของไฮเซนเบอร์ก
* [[พ.ศ. 2469]] ไม่นานนักหลังจากที่ไฮเซนเบอร์ก ได้ตีพิมพ์ ทฤษฎีเมตริกซ์ของกลศาสตร์ควอนตัม สมัยใหม่ เพาลีได้ใช้มันในการสร้างสูตรที่ทำนาย เส้นความถี่จำเพาะของอะตอมของไฮโดรเจน ที่ได้รับการสังเกตไว้ ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนสำคัญในการคุ้มครองความน่าเชื่อถือของทฤษฎีของไฮเซนเบอร์ก
* [[พ.ศ. 2470]] เขาได้เสนอ เมตริกซ์เพาลี เพื่อใช้เป็น ฐานหลัก ของ ตัวกระทำทางสปิน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหา ทฤษฎีที่ไม่เป็นสัมพัทธภาพ ของ สปิน (nonrelativistic theory of spin) งานชิ้นนี้บางครั้งได้ถูกกล่าวถึงว่ามีอิทธิพลต่อ [[ดิราค]] ในการค้นพบ[[สมการดิราค]] สำหรับ อิเล็กตรอนที่เป็นสัมพัทธภาพ แม้ว่า ดิราค จะกล่าวว่าเขาคิดค้น เมตริกซ์เดียวกันนี้ ด้วยตัวเขาเอง โดยที่ไม่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก เพาลี เลย ดิราค ได้คิดค้น เมตริกซ์ ที่คล้ายๆ กัน แต่ใหญ่กว่า สำหรับใช้ในการแก้ปัญหา สปินแบบเฟอร์มิออน (fermionic spin) ที่เป็น สัมพัทธภาพ
* [[พ.ศ. 2470]] เขาได้เสนอ เมตริกซ์เพาลี เพื่อใช้เป็น ฐานหลัก ของ ตัวกระทำทางสปิน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหา ทฤษฎีที่ไม่เป็นสัมพัทธภาพ ของ สปิน (nonrelativistic theory of spin) งานชิ้นนี้บางครั้งได้ถูกกล่าวถึงว่ามีอิทธิพลต่อ [[ดิแรก]] ในการค้นพบ[[สมการดิแรก]] สำหรับ อิเล็กตรอนที่เป็นสัมพัทธภาพ แม้ว่า ดิแรก จะกล่าวว่าเขาคิดค้น เมตริกซ์เดียวกันนี้ ด้วยตัวเขาเอง โดยที่ไม่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก เพาลี เลย ดิแรก ได้คิดค้น เมตริกซ์ ที่คล้ายๆ กัน แต่ใหญ่กว่า สำหรับใช้ในการแก้ปัญหา สปินแบบเฟอร์มิออน (fermionic spin) ที่เป็น สัมพัทธภาพ
* [[พ.ศ. 2473]] เพาลี ได้พิจารณาปัญหา การสลายตัวของเบต้า (beta decay) ในจดหมายของวันที่ 4 ธันวาคม เริ่มด้วยประโยค "สุภาพสตรี และ สุภาพบุรุษ แห่งการแผ่รังสี ที่รัก" (ส่งให้กับผู้รับ เช่น ลิส ไมท์เนอร์) เขาได้เสนอการมีอยู่ของ อนุภาคที่เป็นกลางทางไฟฟ้าที่ไม่เคยถูกสังเกตได้มาก่อน (นับถึง ณ เวลาที่เขาเขียนจดหมาย) ด้วยมวลที่น้อยนิด (ไม่เกิน ร้อยละ 1 ของ มวลของโปรตอน) เพื่อที่จะอธิบาย ความถี่จำเพาะต่อเนื่องของ การสลายตัวของเบต้า ในปี พ.ศ. 2477 [[เฟอร์มี]] ได้ รวมเอาอนุภาคนั้นไว้ในทฤษฎีการสลายตัวของเบต้าของเขา เฟอร์มีเรียกอนุภาคนั้นว่า นิวตริโน ในปี พ.ศ. 2502 นิวตริโนได้ถูกสังเกตได้เป็นครั้งแรกในเชิงการทดลอง
* [[พ.ศ. 2473]] เพาลี ได้พิจารณาปัญหา [[การสลายของอนุภาคบีตา]] (beta decay) ในจดหมายของวันที่ 4 ธันวาคม เริ่มด้วยประโยค "สุภาพสตรี และ สุภาพบุรุษ แห่งการแผ่รังสี ที่รัก" (ส่งให้กับผู้รับ เช่น ลิส ไมท์เนอร์) เขาได้เสนอการมีอยู่ของ อนุภาคที่เป็นกลางทางไฟฟ้าที่ไม่เคยถูกสังเกตได้มาก่อน (นับถึง ณ เวลาที่เขาเขียนจดหมาย) ด้วยมวลที่น้อยนิด (ไม่เกิน ร้อยละ 1 ของ มวลของโปรตอน) เพื่อที่จะอธิบาย ความถี่จำเพาะต่อเนื่องของ การสลายตัวของเบต้า ในปี พ.ศ. 2477 [[เฟอร์มี]] ได้ รวมเอาอนุภาคนั้นไว้ในทฤษฎีการสลายตัวของเบต้าของเขา เฟอร์มีเรียกอนุภาคนั้นว่า นิวตริโน ในปี พ.ศ. 2502 นิวตริโนได้ถูกสังเกตได้เป็นครั้งแรกในเชิงการทดลอง
* [[พ.ศ. 2483]] เขาได้พิสูจน์ [[ทฤษฎีบทสปินเชิงสถิติ]] (spin-statistics theorem) ซึ่งเป็นผลมาจาก [[ทฤษฎีสนามควอนตัม]] (quantum field theory) ที่สำคัญยิ่งยวด ทฤษฎีนี้มีใจความว่า อนุภาคซึ่งมี สปิน ครึ่งหนึ่งของจำนวนเต็ม เป็น [[เฟอร์มิออน]] ในขณะที่ อนุภาคที่มี สปิน เป็นจำนวนเต็ม เป็น [[โบซอน]]
* [[พ.ศ. 2483]] เขาได้พิสูจน์ [[ทฤษฎีบทสปินเชิงสถิติ]] (spin-statistics theorem) ซึ่งเป็นผลมาจาก [[ทฤษฎีสนามควอนตัม]] (quantum field theory) ที่สำคัญยิ่งยวด ทฤษฎีนี้มีใจความว่า อนุภาคซึ่งมีสปินครึ่งหนึ่งของจำนวนเต็ม เป็นอนุภาค[[เฟอร์มิออน]] ในขณะที่อนุภาคที่มีสปินเป็นจำนวนเต็ม เป็นอนุภาค[[โบซอน]]


เพาลี ได้ให้คำวิจารณ์ซ้ำๆ หลายครั้ง สำหรับ การวิเคราะห์สมัยใหม่ ของ ชีววิทยาเชิงวิวัฒนาการ <ref>Pauli, W. (1954) Naturwissenschaftliche und erkenntnistheoretische Aspekte der Ideen vom
เพาลี ได้ให้คำวิจารณ์ซ้ำๆ หลายครั้ง สำหรับ การวิเคราะห์สมัยใหม่ ของ ชีววิทยาเชิงวิวัฒนาการ <ref>Pauli, W. (1954) Naturwissenschaftliche und erkenntnistheoretische Aspekte der Ideen vom

รุ่นแก้ไขเมื่อ 01:02, 7 พฤศจิกายน 2553

โวล์ฟกัง เอิร์นสต์ เพาลี
เกิด25 เมษายน 2443
เวียนนา ออสเตรีย-ฮังการี
เสียชีวิต15 ธันวาคม 2501 (อายุ 58 ปี)
ซูริก สวิตเซอร์แลนด์
สัญชาติธงของประเทศออสเตรีย ออสเตรีย
ธงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์
 สหรัฐ
ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยลุดวิค-เมกซิมิลเลียนส์
มีชื่อเสียงจากหลักการกีดกันของเพาลี
รางวัล รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ (2488/1945)
เหรียญ ลอเรนทซ์ (2474/1931)
เหรียญ มักซ์ พลังค์ (2501/1958)
อาชีพทางวิทยาศาสตร์
สถาบันที่ทำงานเกททิงเงน
โคเปนเฮเกน
ฮัมเบิร์ก
ETH เซริค
มิชิแกน
พรินซ์ตัน
อาจารย์ที่ปรึกษาในระดับปริญญาเอกอาร์โนลด์ ซอมเมอร์เฟลด์
ลูกศิษย์ในระดับปริญญาเอกนิโคลาส เคมเมอร์

โวล์ฟกัง เอิร์นสต์ เพาลี (อังกฤษ: Wolfgang Ernst Pauli, 25 เมษายน พ.ศ. 2443 - 15 ธันวาคม พ.ศ. 2501) เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีชาวออสเตรีย และหนึ่งในกลุ่มผู้บุกเบิกด้านฟิสิกส์ควอนตัม เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ในปี พ.ศ. 2488 โดยได้รับเสนอชื่อจากอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จากผลงานอันเลื่องชื่อเกี่ยวกับทฤษฎีทางด้านสปิน โดยเฉพาะการค้นพบ หลักการกีดกันของเพาลี ซึ่งถือเป็นรากฐานสำหรับการศึกษาโครงสร้างของสสาร และรากฐานการศึกษาวิชาเคมีทั้งมวล

ประวัติ

เพาลีเกิดในกรุงเวียนนา เป็นบุตรนักเคมีชื่อ โวล์ฟกัง โยเซฟ เพาลี กับ เบร์ตา คามิลลา ชูทซ์ ชื่อกลางของเขาตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่พ่อทูนหัวซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ ชื่อ เอิร์นสต์ มัค ต้นตระกูลของเพาลีเป็นตระกูลชาวยิวที่มีชื่อเสียงในกรุงปราก ปู่ทวดของเพาลีคือ วูล์ฟ พาสเคเลส เป็นนักหนังสือพิมพ์เชื้อสายเชก-ยิว แต่บิดาของเพาลีเปลี่ยนศาสนาจากยิวไปเป็นโรมันคาทอลิกเพียงไม่นานก่อนแต่งงานในปี พ.ศ. 2442 มารดาของเพาลี หรือ เบร์ตา ชูทซ์ เติบโตขึ้นภายใต้การเลี้ยงดูแบบโรมันคาทอลิก ซึ่งเป็นศาสนาของมารดาของเธอ แต่บิดา (เฟียร์ดริช ชูทซ์) เป็นนักเขียนชาวยิว เพาลีเติบโตมาในศาสนาโรมันคาทอลิก แต่ในภายหลังทั้งตัวเขาและบิดามารดาก็ออกจากศาสนานั้น [1]

เพาลี เข้าเรียนในโรงเรียน เดอบลิงเงอร์-คุมเนเซียม ในเวียนนา จบจากโรงเรียนด้วยความโดดเด่นพิเศษ ในปี พ.ศ. 2461 โดยเพียงสองเดือนก่อนที่เขาจบการศึกษา ผลงานของเด็กมหัศจรรย์หนุ่มคนนี้เกี่ยวกับ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ของ ไอน์สไตน์ ก็ได้รับการตีพิมพ์ เขาได้เข้าศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัย ลุดวิค-เมกซิมิลเลียนส์ ของ มิวนิค โดยทำงานภายใต้การดูแลของ ซอมเมอร์เฟลด์ เขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต ใน เดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2464 จากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ด้วยหัวข้อวิทยานิพนธ์ เกี่ยวกับ ทฤษฎีควอนตัม ของ โมเลกุลไฮโดรเจน ที่มีประจุ ซอมเมอร์เฟลด์ ขอให้ เพาลี เขียนอธิบายทบทวน ทฤษฎีสัมพัทธภาพ สำหรับ Encyklopaedie der mathematischen Wissenschaften ("สารานุกรม ของ วิทยาศาสตร์ที่บรรยายด้วยคณิตศาสตร์") ซึ่งเป็น สารานุกรมของชาวเยอรมัน สองเดือนหลังจากได้รับปริญญาเอก เพาลี ก็ เขียนบทความสำเร็จ ซึ่งมีทั้งหมดถึง 237 หน้า มันเป็นผลงานที่ได้รับการสรรเสริญจาก ไอน์ไตน์ และได้รับการตีพิมพ์เป็นบทความเดี่ยว บทความนี้ยังคงเป็นบทความอ้างอิงมาตรฐาน เกี่ยวกับสัมพัทธภาพทั่วไป มากระทั่งถึงทุกวันนี้

โวล์ฟกัง เพาลี ในวัยหนุ่ม

เขาได้ใช้เวลาหนึ่งปีที่ มหาวิทยาลัยเกิตทิงเงน (University of Göttingen) ในฐานะผู้ช่วยของ มักซ์ บอร์น และ อีกหนึ่งปีถัดจากนั้น ที่สถานที่ซึ่งตอนนี้กลายมาเป็น สถาบัน นีลส์ บอห์ร สำหรับฟิสิกส์ทฤษฎี (Niels Bohr Institute for Theoretical Physics) ในกรุงโคเปนเฮเกน เขาได้ใช้เวลาช่วง ปี พ.ศ. 2466 ถึง 2471 ในฐานะผู้บรรยาย ที่ มหาวิทยาลัยฮัมเบิร์ก (University of Hamburg) ในช่วงนี้เอง เพาลี ได้เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนา ทฤษฎีใหม่ ของ กลศาสตร์ควอนตัม เมื่อกล่าวโดยเจาะจงแล้ว เขาได้พัฒนาสูตร หลักการกีดกัน และ ทฤษฎีที่ไม่เป็นสัมพัทธภาพ ของ สปิน (nonrelativistic theory of spin) ดูเพิ่มเติมข้างล่าง สำหรับรายชื่อผลงานทางวิทยาศาสตร์ของเขา

ในเดือน พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2472 เพาลี ได้ออกจากศาสนา โรมันคาทอลิก และ ในเดือนธันวาคม ปีเดียวกันนั้น เขาได้แต่งงานกับ เคเธ มาคาเรธเธ เดพเนอร์ การแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้รื่นรมย์นัก เพราะจบด้วยการหย่าร้าง ในปี 2473 ด้วยเวลาเพียงไม่ถึงปี ในต้นปี พ.ศ. 2474 หลังจากการหย่าร้างไม่นานนัก และ ทันทีหลังจากการเสนอการมีอยู่ของ นิวตริโน เพาลี ได้มีอาการผิดปกติทางจิต เขาได้ไปปรึกษากับจิตแพทย์ และ นักจิตบำบัด ที่ชื่อ คาร์ล จุง ผู้ซึ่งอาศัยใกล้กับ เซริค (Zürich) เหมือนกับ เพาลี

จุง ได้เริ่มแปลความฝันที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กัน (archetypal dreams) ของ เพาลี โดยทันที และ เพาลีได้กลายเป็นหนึ่งในนักเรียนที่ดีที่สุดของ นักจิตวิทยาในเชิงลึก ไม่นานนัก เขาได้เริ่มที่จะวิจารณ์ กระบวนการความรู้ (epistemology) เกี่ยวกับทฤษฎีของจุงอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ และ ได้มีส่วนที่ทำให้ ความเห็นในภายหลัง มีความกระจ่างขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับ ประสบการณ์เหตุการณ์ซ้อน (synchronicity) บทสนทนาจำนวนมากได้ถูกบันทึกไว้ใน จดหมาย เพาลี/จุง และ ในปัจจุบัน ได้รับการตีพิมพ์ในชื่อ "Atom and Archetype" (อะตอม และ บริบทเกิดซ้ำ) การวิเคราะห์อย่างถ้วนถี่ของจัง มากกว่า 400 รายการเกี่ยวกับความฝันของ เพาลี ได้ถูกทำให้เป็นอกสารในชื่อ “Psychology and Alchemy” (จิตวิทยา กับ การเล่นแร่แปรธาตุ) [2]

ในปี พ.ศ. 2471 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์ทฤษฎี ที่ ETH ใน เซริค สวิตเซอร์แลนด์ ที่ซึ่งเขาได้ก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อย่างมีนัยสำคัญ เขาได้รับ สถานภาพศาสตราจารย์เยือน ที่ มหาวิทยาลัย ของ มิชิแกน ในปี พ.ศ. 2474 และ ที่ สถาบันสำหรับการศึกษาก้าวหน้า (the Institute for Advanced Study) ใน ปรินซ์ตัน ในปี พ.ศ. 2478 เขาได้รับ เหรียญ ลอเรนทซ์ ในปี พ.ศ. 2474 ในปี พ.ศ. 2477 เขาได้แต่งงานกับ ฟรานซิสคา เบอร์ทแรม การแต่งงานครั้งนี้ได้ยืนยาวไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตของเขา อนึ่ง เขาทั้งสองไม่มีบุตร ธิดา ร่วมกัน

การผนวกยึดครองดินแดนของออสเตรีย เข้าร่วมกับ เยอรมัน ในปี 2481 ได้ทำให้ เพาลี เป็นพลเมืองของ เยอรมัน ซึ่งกลายเป็นความยากลำบาก เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองได้ประทุขึ้น ในปี พ.ศ. 2482 เพาลีได้ย้ายไปอยู่ที่ สหรัฐอเมริกาในปี 2483 ที่ซึ่งเขาได้เป็นศาสตราจารย์ทางด้านฟิสิกส์ทฤษฎี ให้กับ ปรินซ์ตัน เขาได้แปลงสัญชาติเป็นอเมริกัน ในปี พ.ศ. 2489 หลังจากสงครามจบลง ก่อนที่จะ กลับไปอยู่ที่ เซริค ซึ่งเป็นที่ที่เขาได้พำนักอยู่โดยมากก่อนเขาเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2488 เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ "สำหรับการค้นพบหลักการกีดกัน ซึ่งถูกเรียกได้อีกอย่างว่า หลักของเพาลี" ซึ่งผู้เสนอชื่อให้รับรางวัลก็คือไอน์สไตน์

ในปี พ.ศ. 2501 เพาลีได้รับ เหรียญ มากซ์ พลางค์ ในปีเดียวกันนั้นเอง เขาได้ป่วยด้วยโรคมะเร็งในตับ เมื่อ ชารลส์ เอนซ์ ผู้ช่วยคนสุดท้ายของเขา ได้เข้าเยี่ยมเขาที่ โรงพยาบาล รอทเครอุซ (Rotkreuz hospital) ในเมืองเซริค เพาลีได้ถามเขาว่า "คุณเห็นหมายเลขของห้องหรือเปล่า" มันคือหมายเลข 137 ตลอดชีวิตของเขา เพาลี ได้ใช้เวลาเพื่อตอบคำถามที่ว่า ทำไม ค่าคงตัวโครงสร้างละเอียด (fine structure constant) ซึ่งเป็น ค่าคงตัวพื้นฐานที่ไม่มีมิติ ถึงได้มีค่าเกือบจะเท่ากับ 1/137 เพาลีเสียชีวิตในห้องนั้น ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2501

งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์

ไฟล์:Bohr heisen pauli.jpg
นีลส์ บอร์, แวเนอร์ ไฮเซนแบร์ก, และโวล์ฟกัง เพาลี พ.ศ. 2478

เพาลีได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาที่สำคัญมากมายในวิชาชีพของเขาในฐานะนักฟิสิกส์ หลักๆ แล้ว ก็คือ การพัฒนาในวิชา กลศาสตร์ควอนตัม เขาตีพิมพ์ผลงานน้อยมาก เขาชอบที่จะเขียนตอบโต้กับเพื่อนๆ ของเขามากกว่า (เพื่อนๆ ของเขา อย่างเช่น บอร์ และ ไฮเซนแบร์ก ซึ่งเป็นผู้ที่เขามีความสนิทสนม) ความคิดใหม่ๆ และ ผลงาน หลายๆ อย่างของเขา ไม่เคยถูกตีพิมพ์ และ ได้ปรากฏอยู่ในจดหมายของเขาเท่านั้น ซึ่งบ่อยครั้งที่จดหมายเหล่านั้นจะถูกพิมพ์ซ้ำและแจกจ่ายวนเวียนอยู่ในหมู่ผู้ที่ได้รับจดหมายของเขา เป็นที่แจ่มชัดว่าเพาลีไม่ได้ตระหนักในการที่งานของเขาไม่ได้รับการอ้างอิง ข้างล่างนี้เป็นผลงานสำคัญหลักๆ ที่เขาได้รับการอ้างอิงถึง

  • พ.ศ. 2467 เพาลีได้เสนอ องศาความอิสระทางควอนตัม (quantum degree of freedom) ใหม่อันหนึ่ง ซึ่งได้แก้ปัญหาการไม่ลงรอยกันระหว่าง แถบความถี่จำเพาะของโมเลกุล (molecular spectra) ที่สังเกตได้ กับ ทฤษฎี กลศาสตร์ควอนตัม ที่กำลังได้รับการพัฒนา เขาได้สร้างสูตร หลักการกีดกันของเพาลี ขึ้น บางที นี่อาจจะเป็นงานที่สำคัญที่สุดของเขา เนื้อหาของงานนี้มีใจความว่า อิเล็กตรอนสองตัวใดๆ ที่มี สถานะทางควอนตัม (quantum state) เดียวกัน ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ หนึ่งปีหลังจากนั้น แนวคิดใหม่เกี่ยวกับสปินได้ถือกำเนิดขึ้นโดย ราล์ฟ ครอนิก, อูเลนเบค และ เกาด์สมิท เพื่อ ระบุ องศาความอิสระทางควอนตัม นี้ ในฐานะเป็น สปินของอิเล็กตรอน
  • พ.ศ. 2469 ไม่นานนักหลังจากที่ไฮเซนเบอร์ก ได้ตีพิมพ์ ทฤษฎีเมตริกซ์ของกลศาสตร์ควอนตัม สมัยใหม่ เพาลีได้ใช้มันในการสร้างสูตรที่ทำนาย เส้นความถี่จำเพาะของอะตอมของไฮโดรเจน ที่ได้รับการสังเกตไว้ ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนสำคัญในการคุ้มครองความน่าเชื่อถือของทฤษฎีของไฮเซนเบอร์ก
  • พ.ศ. 2470 เขาได้เสนอ เมตริกซ์เพาลี เพื่อใช้เป็น ฐานหลัก ของ ตัวกระทำทางสปิน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหา ทฤษฎีที่ไม่เป็นสัมพัทธภาพ ของ สปิน (nonrelativistic theory of spin) งานชิ้นนี้บางครั้งได้ถูกกล่าวถึงว่ามีอิทธิพลต่อ ดิแรก ในการค้นพบสมการดิแรก สำหรับ อิเล็กตรอนที่เป็นสัมพัทธภาพ แม้ว่า ดิแรก จะกล่าวว่าเขาคิดค้น เมตริกซ์เดียวกันนี้ ด้วยตัวเขาเอง โดยที่ไม่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก เพาลี เลย ดิแรก ได้คิดค้น เมตริกซ์ ที่คล้ายๆ กัน แต่ใหญ่กว่า สำหรับใช้ในการแก้ปัญหา สปินแบบเฟอร์มิออน (fermionic spin) ที่เป็น สัมพัทธภาพ
  • พ.ศ. 2473 เพาลี ได้พิจารณาปัญหา การสลายของอนุภาคบีตา (beta decay) ในจดหมายของวันที่ 4 ธันวาคม เริ่มด้วยประโยค "สุภาพสตรี และ สุภาพบุรุษ แห่งการแผ่รังสี ที่รัก" (ส่งให้กับผู้รับ เช่น ลิส ไมท์เนอร์) เขาได้เสนอการมีอยู่ของ อนุภาคที่เป็นกลางทางไฟฟ้าที่ไม่เคยถูกสังเกตได้มาก่อน (นับถึง ณ เวลาที่เขาเขียนจดหมาย) ด้วยมวลที่น้อยนิด (ไม่เกิน ร้อยละ 1 ของ มวลของโปรตอน) เพื่อที่จะอธิบาย ความถี่จำเพาะต่อเนื่องของ การสลายตัวของเบต้า ในปี พ.ศ. 2477 เฟอร์มี ได้ รวมเอาอนุภาคนั้นไว้ในทฤษฎีการสลายตัวของเบต้าของเขา เฟอร์มีเรียกอนุภาคนั้นว่า นิวตริโน ในปี พ.ศ. 2502 นิวตริโนได้ถูกสังเกตได้เป็นครั้งแรกในเชิงการทดลอง
  • พ.ศ. 2483 เขาได้พิสูจน์ ทฤษฎีบทสปินเชิงสถิติ (spin-statistics theorem) ซึ่งเป็นผลมาจาก ทฤษฎีสนามควอนตัม (quantum field theory) ที่สำคัญยิ่งยวด ทฤษฎีนี้มีใจความว่า อนุภาคซึ่งมีสปินครึ่งหนึ่งของจำนวนเต็ม เป็นอนุภาคเฟอร์มิออน ในขณะที่อนุภาคที่มีสปินเป็นจำนวนเต็ม เป็นอนุภาคโบซอน

เพาลี ได้ให้คำวิจารณ์ซ้ำๆ หลายครั้ง สำหรับ การวิเคราะห์สมัยใหม่ ของ ชีววิทยาเชิงวิวัฒนาการ [3][4] และ ผู้ซึ่งสนับสนุนเขาหลายคนได้ชีไปยัง การสืบทอดทาง เอพิเจนเนติกส์ (epigenetic inheritance) ซึ่งสนับสนุนข้อโต้แย้งของเขา [5]

บุคลิก และ เรื่องเล่าลือ

ปรากฏการณ์เพาลี ได้รับการตั้งชื่อ ดามความสามารถอันแปลกประหลาดของเขาที่สามารถทำอุปกรณ์การทดลองพังเพียงแค่เขาอยู่ใกล้เท่านั้น ตัวของเพาลีเองก็ตระหนักถึงเรื่องเล่าลือเรื่องนี้ และ ยินดีเบิกบาน ที่เมื่อไหร่ก็ตามที่ปรากฏการณ์นี้บังเกิดขึ้น

ในทางฟิสิกส์แล้ว เพาลีถึอได้ว่าเป็นนักยึดความสมบูรณ์แบบที่โด่งดัง ความประพฤตินี้ไม่ได้เพียงแค่ครอบคลุมงานของเขาเท่านั้น แต่ยังขยายตัวไปสู่งานของเพื่อนร่วมงานด้วย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกลายเป็นที่รู้จักภายในชุมชนฟิสิกส์ในฐานะ "ความตื่นตัวของฟิสิกส์" นักติเตียนสำหรับผู้ที่เพื่อนร่วมงานของเขาต้องได้รับผิดชอบด้วย เขาอาจจะวิจารณ์อย่างเสียๆ หายๆ ในการขับไล่ทฤษฎีใดๆ ก็ตามที่เขาพบว่าไม่สมบูรณ์ และ บ่อยครั้งที่ประกาศว่า มัน ganz falsch หรือ ผิดอย่างสมบูรณ์

อย่างไรก็ดี นี่ไม่ได้เป็นการวิจารณ์ที่เลวร้ายที่สุดของเขา เขาเก็บมันไว้สำหรับ ทฤษฎี หรือ วิทยานิพนธ์ ที่ถูกนำเสนออย่างไม่แจ่มชัดในฐานะที่ว่ามันไม่สามารถทดสอบ หรือ ไม่สามารถประเมินดูได้ และ ดังนั้นไม่ควรจะอาศัยอยู่ภายในอาณาจักรของวิทยาศาสตร์ แม้ว่าจะนำเสนอในทำนองนั้น สิ่งเหล่านั้นแย่ยิ่งกว่าผิดเสียอีก เพราะ พวกมันไม่สามารถจะถูกพิสูจน์ได้ว่าผิด คำพูดประโยคหนึ่งที่มีชื่อเสียง ซึ่งเขาพูดต่อผลงานชิ้นหนึ่งที่ไม่กระจ่างชัดเช่นนั้น คือ: "มันไม่แม้แต่จะผิด"

เหตุการณ์หนึ่งที่ได้รับการรายงานว่าได้เคยเกิดขึ้น [6] คือ เกิดกับ พอล เอห์เรนเฟสท์ นักฟิสิกส์ชั้นนำในขณะนั้น ผู้ซึ่งแสดง คำเลื่องลือความยโส ของ เพาลีนี้ เขาทั้งสองได้พบกันเป็นครั้งแรกในการประชุมครั้งหนึ่ง แม้ว่า เอห์เรนเฟสท์ จะไม่เคยพบ เพาลี มาก่อน แต่เขาก็มีความคุ้นเคยกับงานของเพาลี และ ค่อนข้างที่จะประทับใจกับมัน หลังจากเพียงไม่กี่นาทีของการสนทนา เอห์เรนเฟสท์ ได้กล่าวขึ้นว่า "ผมคิดว่าผมชอบงานของคุณมากกว่าตัวคุณนะ" ซึ่ง เพาลี ก็ตอบกลับว่า "ผมคิดว่าผมชอบคุณมากกว่างานของคุณ" ทั้งสองได้กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตั้งแต่นั้นมา

เรื่องตลกขบขันที่เป็นที่รู้จักกันดีอันหนึ่งในชุมชนฟิสิกส์ดำเนินไปอย่างนี้: หลังจากการตายของเขา เพาลี ได้รับอนุญาตให้เข้าไปคุยกับพระเจ้าได้ เพาลีถามพระเจ้าว่า ทำไม ค่าคงตัวของโครงสร้างละเอียดจึงมีค่า 1/(137.036...) พระเจ้าพยักหน้า แล้วไปที่กระดานดำ และ เริ่มที่จะเขียนสมการด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าผ่า เพาลีได้ดูเขาและทุบโต๊ะด้วยความพอใจอย่างยิ่ง แต่ ไม่นานนักได้เริ่มส่ายหัวอย่างแรง "Das ist ganz falsch!" (มันผิดอย่างสมบูรณ์)

ภาพอย่างหนึ่งที่ดูจะอบอุ่นกว่ามาจากเรื่องข้างล่างนี้ที่ปรากฏในบทความเกี่ยวกับ ดิราค: "เวอร์เนอร์ ไฮเซนเบอร์ก (ใน Physics and Beyond ปี พ.ศ. 2514) จำได้ถึงการสนทนาอย่างฉันท์มิตรอันหนึ่งระหว่างผู้เข้าร่วมประชุมหนุ่มๆ ที่ การประชุม โซล์เวย์ ปี พ.ศ. 2470 เกี่ยวกับ ทัศนคติของไอสไตน์ และ พลางค์ ในเรื่องศาสนา วูล์ฟคาง เพาลี, ไฮเซนเบอร์ก และ ดิราค ได้มีส่วนร่วมในการสนทนาด้วย ความเห็นในส่วนของ ดิราค นั้นเป็นการวิจาร์ณที่ คมกริบ และ ชัดเจน เกี่ยวกับการบังคับควบคุมศาสนาในทางการเมือง" บอห์ร ได้ชื่นชมในความชัดเจนนั้นเป็นอันมาก หลังจากไฮเซนเบอร์ก ได้รายงานความเห็นนั้นให้เขาฟัง ในท่ามกลางสิ่งเหล่าอื่น ดิราค ได้พูดว่า "ผมไม่สามารถที่จะเข้าใจว่าทำไมพวกเราจึงปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปด้วยการมาถกเถียงกันเรื่องศาสนา ถ้าเราซื่อสัตย์ และ ในฐานะที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ความซื่อสัตย์ เป็นหน้าที่อันเที่ยงตรงของพวกเรา เราช่วยไม่ได้ เว้นแต่จะยอมรับว่าศาสนาใดๆ ก็ตาม ต่างก็เป็นหีบห่ออันหนึ่งของคำกล่าวที่ผิดๆ ปราศจากพื้นฐานที่เป็นจริงอันใด ความเห็นอันเยี่ยมของพระเจ้าเป็นผลผลิตของจินตนาการของมนุษย์ [...] ผมไม่ได้จำเรื่องลึกลับทางศาสนาเรื่องไหนเลย อย่างน้อยก็เพราะมันขัดแย้งกันเอง [...]" ความเห็นของไฮเซนเบอร์กนั้นพอทนได้ ส่วน เพาลีได้นิ่งเงียบอยู่ หลังจากเสนอข้อสังเกตบางอย่างในตอนต้น แต่ท้ายแล้ว เมื่อเขาถูกถาม สำหรับความเห็นของเขา เขาพูดด้วยความขบขันว่า "ดี ผมควรจะพูดด้วยว่าเพื่อนของเรา ดิราค ได้มีศาสนาแล้ว และ คำสั่งข้อแรกของศาสนานี้คือ พระเจ้าไม่มีอยู่จริง และ พอล ดิราค เป็น ผู้พยากรณ์ของเขา"" ทุกคนต่างระเบิดออกมาเป็นเสียงหัวเราะ รวมทั้ง ดิราค ด้วย

อ้างอิง

  1. "Jewish Physicists". {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |access_date= ถูกละเว้น (help)
  2. Jung, C.G. (1980). Psychology and Alchemy. Princeton, New Jersey: Princeton Univ. Press
  3. Pauli, W. (1954) Naturwissenschaftliche und erkenntnistheoretische Aspekte der Ideen vom Unbewussten. Dialectica 8, 283–301
  4. Atmanspacher, H. and Primas, H. (2006) Pauli’s ideas on mind and matter in the context of contemporary science. Journal of Consciousness Studies 13 (3) , 5-50.
  5. การประชุมเรื่อง Wolfgang Pauli's Philosophical Ideas and Contemporary Science จัดโดย ETH 20 - 25 พฤษภาคม 2550 บทคัดย่อของผลงานที่ถกเกี่ยวกับเรื่องนี้โดย ริชาร์ด จอร์เกนเซน (Richard Jorgensen) อยู่ที่ นี่
  6. ไม่ได้รับการยืนยัน | ต้องการการอ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น