ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การพิชิตอังกฤษของชาวนอร์มัน"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Xqbot (คุย | ส่วนร่วม)
โรบอต แก้ไข: es:Invasión normanda de Inglaterra; ปรับแต่งให้อ่านง่าย
Mattis (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 5: บรรทัด 5:


== ที่มา ==
== ที่มา ==
[[นอร์มังดี]]เป็นบริเวณทางตะวันตกเฉียงเหนือของ[[ประเทศฝรั่งเศส]]ปัจจุบัน ก่อนปี ค.ศ. 1066 [[ไวกิง]]เป็นจำนวนมากเดินทางมาตั้งถิ่นฐานในนอร์มังดี ในปี ค.ศ. 911 [[สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ซิมเปิล]] (Charles the Simple) แห่ง[[ราชวงศ์คาโรลิงเกียน]]ทรงอนุญาตให้ชาวไวกิงกลุ่มหนึ่งภายใต้การนำของ[[โรลโลแห่งนอร์มังดี]] (Rollo of Normandy) ตั้งถิ่นฐานทางตอนเหนือของฝรั่งเศส โดยทรงหวังว่าไวกิงจะช่วยป้องกันดินแดนทางริมฝั่งทะเลจากการรุกรานของชาวไวกิงกลุ่มอื่นในอนาคตซึ่งก็ได้ผล ชาวไวกิงที่มาตั้งถิ่นฐานรู้จักกันว่า “Northmen” (ชาวเหนือ) ซึ่งมาเพี้ยนเป็น “Normandy” (นอร์มังดี) ต่อมา นอกจากนั้นชาวไวกิงก็ยอมรับ[[วัฒนธรรม]]ท้องถิ่นและละทิ้งความเชื่อ[[ลัทธินอกศาสนา]] (paganism) และเปลื่ยนมานับถือ[[คริสต์ศาสนา]] และเริ่มใช้[[:en:langue d'oïl|langue d'oïl]]ซึ่งเป็นภาษาในกลุ่มแกลโล-โรมานซ์ที่พูดกันในท้องถิ่นแทนภาษานอร์สซึ่งกลายมาเป็น[[ภาษานอร์มัน]] การยอมรับวัฒนธรรมรวมไปถึงการแต่งงานกับชนท้องถิ่น และยังใช้ดินแดน (Duchy) ที่ได้รับมาเป็นฐานในการขยายเขตแดนไปทางตะวันตกผนวกดินแดนที่รวมทั้งเบส์แซง และแหลมโคเต็งแตง และหมู่เกาะแชนเนล (ปัจจุบันเป็นของอังกฤษ)
[[นอร์มังดี]]เป็นบริเวณทางตะวันตกเฉียงเหนือของ[[ประเทศฝรั่งเศส]]ปัจจุบัน ก่อนปี ค.ศ. 1066 [[ไวกิง]]เป็นจำนวนมากเดินทางมาตั้งถิ่นฐานในนอร์มังดี ในปี ค.ศ. 911 [[Charles the Simple|สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ซิมเปิล]] (Charles the Simple) แห่ง[[ราชวงศ์คาโรลิงเกียน]]ทรงอนุญาตให้ชาวไวกิงกลุ่มหนึ่งภายใต้การนำของ[[Rollo of Normandy|โรลโลแห่งนอร์มังดี]] (Rollo of Normandy) ตั้งถิ่นฐานทางตอนเหนือของฝรั่งเศส โดยทรงหวังว่าไวกิงจะช่วยป้องกันดินแดนทางริมฝั่งทะเลจากการรุกรานของชาวไวกิงกลุ่มอื่นในอนาคตซึ่งก็ได้ผล ชาวไวกิงที่มาตั้งถิ่นฐานรู้จักกันว่า “Northmen” (ชาวเหนือ) ซึ่งมาเพี้ยนเป็น “Normandy” (นอร์มังดี) ต่อมา นอกจากนั้นชาวไวกิงก็ยอมรับ[[วัฒนธรรม]]ท้องถิ่นและละทิ้งความเชื่อ[[ลัทธิเพกัน]] และเปลื่ยนมานับถือ[[คริสต์ศาสนา]] และเริ่มใช้[[:en:langue d'oïl|ภาษาเอยล์]] (Langues d'oïl) ซึ่งเป็นภาษาในกลุ่มแกลโล-โรมานซ์ที่พูดกันในท้องถิ่นแทนภาษานอร์สซึ่งกลายมาเป็น[[ภาษานอร์มัน]] การยอมรับวัฒนธรรมรวมไปถึงการแต่งงานกับชนท้องถิ่น และยังใช้[[อาณาจักรดยุค]]ที่ได้รับมาเป็นฐานในการขยายเขตแดนไปทางตะวันตกผนวกดินแดนที่รวมทั้งเบส์แซง และแหลมโคเต็งแตง และหมู่เกาะแชนเนล (ปัจจุบันเป็นของอังกฤษ)


ในระยะเวลาเดียวกันในอังกฤษ การโจมตีของไวกิงเริ่มขึ้นอีกครั้งในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 และในปี ค.ศ. 991 [[สมเด็จพระเจ้าเอเธล์เรดที่ 2 แห่งอังกฤษ|พระเจ้าเอเธลเรดที่ 2]]ทรงตกลงแต่งงานกับ[[พระราชินีเอ็มมาแห่งนอร์มังดี|เอ็มมาแห่งนอร์มังดี]]ธิดาของดยุคแห่งนอร์มังดีซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ช่วยยุติการโจมตีของไวกิง เมื่อ[[สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพ]]เสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1066 โดยไม่มีรัชทายาทจึงทำให้เกิดการอ้างสิทธิในราชบัลลังก์จากหลายฝ่าย ในจำนวนผู้อ้างสิทธิก็มีที่สำคัญๆ อยู่สามคน
ในระยะเวลาเดียวกันในอังกฤษ การโจมตีของไวกิงเริ่มขึ้นอีกครั้งในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 และในปี [[ค.ศ. 991]] [[สมเด็จพระเจ้าเอเธล์เรดที่ 2 แห่งอังกฤษ|พระเจ้าเอเธลเรดที่ 2]]ทรงตกลงที่จะเสกสมรสกับ[[พระราชินีเอ็มมาแห่งนอร์มังดี|เอ็มมาแห่งนอร์มังดี]]ธิดาของ[[ดยุคแห่งนอร์มังดี]]ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในการช่วยยุติการโจมตีของไวกิง เมื่อ[[สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพ]]เสด็จสวรรคตในปี [[ค.ศ. 1066]] โดยไม่มีรัชทายาทจึงทำให้เกิดการอ้างสิทธิในราชบัลลังก์จากหลายฝ่าย ในจำนวนผู้อ้างสิทธิก็มีที่สำคัญๆ อยู่สามคน


::* ฝ่ายหนึ่งคือ[[พระเจ้าฮาโรลด์ที่ 3 แห่งนอร์เวย์]] หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “Harald Hardraada” แฮโรลด์อ้างว่าเป็นผลจากการตกลงระหว่าง[[พระเจ้าแม็กนัสที่ 1 แห่งนอร์เวย์]]และ[[สมเด็จพระเจ้าฮาร์ธาคานูท]]ที่ว่าถ้าคนใดคนหนึ่งตายก่อนโดยไม่มีรัชทายาท อีกผู้หนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่หรือผู้สืบเชื้อสายจากผู้นั้นก็จะได้รับราชบัลลังก์ของทั้งสองอาณาจักร
::* ฝ่ายหนึ่งคือ[[พระเจ้าฮาโรลด์ที่ 3 แห่งนอร์เวย์]] หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “Harald Hardraada” แฮโรลด์อ้างว่าเป็นผลจากการตกลงระหว่าง[[พระเจ้าแม็กนัสที่ 1 แห่งนอร์เวย์]]และ[[สมเด็จพระเจ้าฮาร์ธาคานูท]]ที่ว่าถ้าคนใดคนหนึ่งตายก่อนโดยไม่มีรัชทายาท อีกผู้หนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่หรือผู้สืบเชื้อสายจากผู้นั้นก็จะได้รับราชบัลลังก์ของทั้งสองอาณาจักร

รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:54, 5 พฤษภาคม 2553

The ผ้าปักบายู (Bayeux Tapestry) แสดงศึกเฮสติงส์และเหตุการณ์ที่นำมาสู่เหตุการณ์ที่ว่า

ชัยชนะของชาวนอร์มันต่ออังกฤษ หรือ การรุกรานของชาวนอร์มัน (ภาษาอังกฤษ: Norman conquest of England) เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1066 โดยการรุกรานราชอาณาจักรอังกฤษที่นำโดยดยุคแห่งนอร์มังดี และชัยชนะที่ได้รับที่ศึกเฮสติงส์ (Battle of Hastings) ผลของสงครามคือการปกครองของชาวนอร์มันในอังกฤษ เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นจุดทำให้มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ หลายอย่างในประวัติศาสตร์อังกฤษ ชัยชนะของชาวนอร์มันทำให้อังกฤษเพิ่มความใกล้ชิดระหว่างอังกฤษและผืนแผ่นดินใหญ่ยุโรปโดยการนำเจ้านายนอร์มันเข้ามาปกครองบริหารอังกฤษซึ่งทำให้ลดอิทธิพลจากสแกนดิเนเวียลง ชัยชนะทำให้เกิดราชวงศ์ที่มีอำนาจมากที่สุดราชวงศ์หนึ่งในยุโรปรวมทั้งการก่อตั้งระบบการปกครองที่มีระเบียบแบบแผน และชัยชนะเปลี่ยนแปลงภาษาและวัฒนธรรมอังกฤษและเป็นพื้นฐานของความเป็นคู่แข่งระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสที่ต่อเนื่องกันมาเป็นพักๆ ร่วมพันปี

ที่มา

นอร์มังดีเป็นบริเวณทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศสปัจจุบัน ก่อนปี ค.ศ. 1066 ไวกิงเป็นจำนวนมากเดินทางมาตั้งถิ่นฐานในนอร์มังดี ในปี ค.ศ. 911 สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ซิมเปิล (Charles the Simple) แห่งราชวงศ์คาโรลิงเกียนทรงอนุญาตให้ชาวไวกิงกลุ่มหนึ่งภายใต้การนำของโรลโลแห่งนอร์มังดี (Rollo of Normandy) ตั้งถิ่นฐานทางตอนเหนือของฝรั่งเศส โดยทรงหวังว่าไวกิงจะช่วยป้องกันดินแดนทางริมฝั่งทะเลจากการรุกรานของชาวไวกิงกลุ่มอื่นในอนาคตซึ่งก็ได้ผล ชาวไวกิงที่มาตั้งถิ่นฐานรู้จักกันว่า “Northmen” (ชาวเหนือ) ซึ่งมาเพี้ยนเป็น “Normandy” (นอร์มังดี) ต่อมา นอกจากนั้นชาวไวกิงก็ยอมรับวัฒนธรรมท้องถิ่นและละทิ้งความเชื่อลัทธิเพกัน และเปลื่ยนมานับถือคริสต์ศาสนา และเริ่มใช้ภาษาเอยล์ (Langues d'oïl) ซึ่งเป็นภาษาในกลุ่มแกลโล-โรมานซ์ที่พูดกันในท้องถิ่นแทนภาษานอร์สซึ่งกลายมาเป็นภาษานอร์มัน การยอมรับวัฒนธรรมรวมไปถึงการแต่งงานกับชนท้องถิ่น และยังใช้อาณาจักรดยุคที่ได้รับมาเป็นฐานในการขยายเขตแดนไปทางตะวันตกผนวกดินแดนที่รวมทั้งเบส์แซง และแหลมโคเต็งแตง และหมู่เกาะแชนเนล (ปัจจุบันเป็นของอังกฤษ)

ในระยะเวลาเดียวกันในอังกฤษ การโจมตีของไวกิงเริ่มขึ้นอีกครั้งในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 และในปี ค.ศ. 991 พระเจ้าเอเธลเรดที่ 2ทรงตกลงที่จะเสกสมรสกับเอ็มมาแห่งนอร์มังดีธิดาของดยุคแห่งนอร์มังดีซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในการช่วยยุติการโจมตีของไวกิง เมื่อสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1066 โดยไม่มีรัชทายาทจึงทำให้เกิดการอ้างสิทธิในราชบัลลังก์จากหลายฝ่าย ในจำนวนผู้อ้างสิทธิก็มีที่สำคัญๆ อยู่สามคน

อ้างอิง

  1. Other contenders later came to the fore. The first was Edgar Ætheling, Edward the Confessor's great nephew who was of direct descent from King Edmund II of England. He was the son of Edward the Exile, son of Edmund Ironside and after his father's return to and subsequent death in England in 1057, Edgar had by far the strongest hereditary claim to the throne. Unfortunately for Edgar,he was only about thirteen or fourteen at the time of Edward the Confessor's death and with little family to support him, his claim was passed over by the Witan. Another contender was Sweyn II of Denmark, who had a claim to the throne as the grandson of Sweyn I of Denmark and nephew of Canute the Great, but he did not make his bid for the throne until 1069. Tostig Godwinson's attacks in early 1066 may have been the beginning of a bid for the throne, but after defeat at the hands of Edwin, Earl of Mercia and Morcar of Northumbria and the desertion of most of his followers he threw his lot in with Harald Hardrada.


ดูเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น

แม่แบบ:Link FA