ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โกลด มอแน"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Xqbot (คุย | ส่วนร่วม)
โรบอต แก้ไข: el:Κλοντ Μονέ
บรรทัด 160: บรรทัด 160:
[[da:Claude Monet]]
[[da:Claude Monet]]
[[de:Claude Monet]]
[[de:Claude Monet]]
[[el:Κλωντ Μονέ]]
[[el:Κλοντ Μονέ]]
[[en:Claude Monet]]
[[en:Claude Monet]]
[[eo:Claude Monet]]
[[eo:Claude Monet]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 06:07, 17 เมษายน 2553

โกลด มอแน

โกลด โมเน (ภาษาฝรั่งเศส: Claude Monet หรือ Oscar-Claude Monet หรือ Claude Oscar Monet) (14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1840 - 5 ธันวาคม ค.ศ. 1926)[1] เป็นจิตรกรสมัยอิมเพรสชั่นนิสม์ และเป็นจิตรกรคนสำค้ญของประเทศฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึง 20 มีความสำคัญในการเป็นผู้ริเริ่มศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์และมีบทบาทสำคัญในปรัชญาและการปฏิบัติของขบวนการนี้ ซึ่งเป็นการวาดภาพจากความประทับใจในสิ่งที่เห็นของผู้วาด (perception) แทนที่จะพยายามทำให้เหมือนจริงตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในจิตรกรรมภูมิทัศน์ (Landscape painting) [2] คำว่า “Impressionism” มาจากชื่อภาพเขียนของโมเนเองชื่อ “Impression, Sunrise” (ความประทับใจของพระอาทิตย์ขึ้น)

ชีวิตเบื้องต้น

“บนฝั่งแม่น้ำเซน, เบเนคอรท์ (On the Bank of the Seine, Bennecourt)” (ค.ศ. 1868) ตัวอย่างแรกของการวาดภาพอิมเพรสชั่นนิสม์นอกสถานที่
“Impression, Sunrise” (ค.ศ. 1872-1873)

โมเนท์เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1840 บนชั้น 5 ของบ้านเลขที่ 45 ถนนลาฟีตเขต 9 ในปารีส[3] เป็นลูกชายคนที่สองของโกลด อดอลฟ และลุย จุสตีน โอเบรผู้เป็นนักร้อง ทั้งสองคนเป็นชาวปารีสชั่วคนที่สอง โมเนรับศึลจุ่มเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมปีต่อมาที่วัดโนทเตรอตามเดอโลเร็ต ในชื่อ ออสคาร์ โคลด[3] เมื่อปี ค.ศ. 1845, ครอบครัวของโมเนท์ย้ายไปเมืองลาฟ (Le Havre) ในนอร์มังดีทางเหนือของฝรั่งเศส พ่อของโมเนอยากให้โมเนทำกิจการร้านขายของชำของครอบครัวแต่โมเนอยากเป็นศิลปิน

เมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1851 โมเนท์ก็เข้าเรียนศิลปะที่โรงเรียนมัธยมศิลปะที่ลาฟ และเป็นที่รู้จักกันในฝีมือการเขียนรูปการ์ตูน (caricature) ด้วยถ่านที่โมเนขายในราคา 10 ถึง 20 ฟรังส์ นอกจากนั้นโมเนก็ยังเรียนการเขียนภาพเป็นครั้งแรกกับยาร์ค ฟรองซัวส์ โอชารด์ (Jacques-François Ochard) ผู้เป็นลูกศิษย์ของยาร์ค หลุยส์ เดวิด (Jacques-Louis David) ระหว่างปี ค.ศ. 1856-1857 โมเนพบยูจีน บูแดง (Eugène Boudin) ผู้เป็นจิตรกรและผู้ที่โมเนถือว่าเป็นครูและเป็นผู้สอนให้โมเนท์วาดภาพด้วยด้วยสีน้ำมัน และสอนวิธีวาดภาพ “นอกสถานที่” (en plein air)[4]

แม่ของโมเนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1857 เมื่อโมเนอายุได้ 16 โมเนก็ลาออกจากโรงเรียนไปอยู่กับน้ามารี จอง เลอคาเดร (Marie-Jeanne Lecadre) ผู้เป็นแม่ม่ายและไม่มีลูกของตนเอง

ปารีส

เมื่อโมเนไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ที่ปารีส โมเนพบว่างานเขียนที่เห็นในพิพิธภัณฑ์เป็นภาพที่ลอกมาจากภาพของครูบาสมัยเก่า แทนที่จะนั่งลอกภาพเขียนที่แขวนในพิพิธภัณฑ์ โมเนก็กลับเอาขาหยั่งไปตั้งริมหน้าต่างและวาดภาพสิ่งที่เห็นนอกหน้าต่าง โมเนอยู่ปารีสเป็นเวลาหลายปีและได้พบจิตรกรหลายคนผู้กลายมาเป็นเพื่อนและจิตรกรอิมเพรสชั่นนิสม์ร่วมสมัยของโมเน เพื่อนคนหนึ่งของโมเนคือเอดวด มาเนท์

เมื่อเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1861 โมเนสมัครเป็นทหารกับกอง First Regiment of African Light Cavalry ในประเทศแอลจีเรียโมเนเป็นทหารอยู่ได้สองปีก็เป็นไข้ไทฟอยด์ มาดามเลอคาเดรจึงให้โมเนลาออกจากการเป็นทหารโดยให้สัญญาว่าต้องไปเรียนวิชาศิลปะต่อให้จบที่มหาวิทยาลัย อาจจะเป็นได้ว่าโยฮันน์ ยองคินด์ (Johan Jongkind) จิตรกรชาวเนเธอร์แลนด์ผู้โมเนรู้จัก มีส่วนในการให้ข้อเสนอแนะนี้ แต่โมเนก็ไม่พอใจกับทฤษฏีการสอนตามแบบที่ทำกันมาของมหาวิทยาลัย ในปี ค.ศ. 1862 โมเนก็ไปเป็นลูกศิษย์ของมาร์ค ชาร์ล เกเบรียล เกลร์ (Marc-Charles-Gabriel Gleyre) ที่ปารีสซึ่งเป็นที่ที่โมเนได้พบปีแยร์ ออกุสต์ เรอนัวร์, เฟรดดริค บาซีลล์ (Frédéric Bazille) และ อัลเฟรด ซิสลีย์ สามคนนี้ก็มีแนวนิยมในการเขียนภาพแบบใหม่ร่วมกัน--การเขียนที่พิจารณาถึงผลของแสงที่มีต่อสิ่งที่วาดนอกสถานที่ การใช้แสงแตกหัก และฝีแปรงที่หยาบที่กลายมาเป็นลักษณะอิมเพรสชั่นนิสม์ที่เรารู้จักกันทุกวันนี้

เมื่อปี ค.ศ. 1866 โมเนเขียนภาพ “คามิลล์” (Camille) และ “ผู้หญิงในชุดเขียว” (La Femme à la Robe Verte) ซึ่งเป็นภาพที่นำชื่อเสียงมาสู่โมเน และเป็นภาพในบรรดาหลายภาพที่โมเนเขียนโดยมีคามิลล์ ดองโซเป็นแบบ หลังจากนั้นไม่นานคามิลล์ก็ท้องและมีลูกคนแรกด้วยกันกับโมเน--ชอง โมเน เมื่อปี ค.ศ. 1866 โมเนพยายามกระโดดน้ำฆ่าตัวตายซึ่งคงมาจากปัญหาความขัดสน

สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย, อิมเพรสชั่นนิสม์, และ อาร์จองทุย

“เรือประมงออกจากอ่าว” (ลาฟ)

หลังจากเกิดสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1870 โมเนก็ลี้ภัยไปอยู่อังกฤษเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1870 [5] ขณะที่อยู่ที่นั่นโมเนก็ศึกษางานภาพภูมิทัศน์ของ จอห์น คอนสเตเบิล (John Constable) และ โจเซฟ มัลลอร์ด วิลเลียม เทอร์เนอร์ (Joseph Mallord William Turner) ซึ่งมามีอิทธิพลต่อการศึกษาเรื่องการใช้สี เมื่อฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1871 ทางราชสถาบันศิลปะ (Royal Academy) ไม่ยอมแสดงผลงานของโมเน[6]

เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1871 โมเนท์ก็ย้ายจากลอนดอนไปซานดาม (Zaandam) ในประเทศเนเธอร์แลนด์[6] ซึ่งเป็นที่โมเนเขียนภาพ 25 ภาพ (เป็นที่ที่ตำรวจสงสัยว่าโมเนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ[7]) จากซานดามโมเนก็มีโอกาสไปอัมสเตอร์ดัมซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ประมาณเดือนตุลาคม หรือพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1871 โมเนก็ย้ายกลับปารีส ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ. 1871 ถึง ค.ศ. 1878 โมเนอาศัยอยู่ที่ อาร์จองทุย (Argenteuil) ซึ่งเป็นหมู่บ้านริมฝั่งแม่น้ำเซนใกล้ปารีส และเป็นที่ที่โมเนวาดภาพที่กลายมาเป็นภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดของโมเน และเป็นภาพที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายหลายภาพ ในปี ค.ศ. 1874 โมเนกลับไปเนเธอร์แลนด์อยู่ระยะหนึ่ง[8]

ประมาณปี ค.ศ. 1872 หรือ 1873 โมเนวาดภาพ “Impression, Sunrise” (Impression: soleil levant—ความประทับใจของพระอาทิตย์ขึ้น) ซึ่งเป็นภาพภูมิทัศน์ของลาฟ ภาพนี้ตั้งแสดงที่งานนิทรรศการศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1874 ในปัจจุบันตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์มาโมแตง-โมเน ที่ปารีส หลุยส์ เลอรอยนักวิจารณ์ศิลปะเริ่มใช้คำ “อิมเพรสชั่นนิสม์” จากชื่อภาพในการบรรยายศิลปะลักษณะนี้อย่างเยาะๆ แต่จิตรกรอิมเพรสชั่นนิสม์นิยมคำและเริ่มใช้เรียกตัวเอง[9]

โมเนและคามิลล์ ดองโซแต่งงานกันเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1870 ไม่นานก่อนเกิดสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย[6] พอปี ค.ศ. 1876 คามิลล์ก็เริ่มป่วย หลังจากมีมิเชลลูกคนที่สองเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 1878 สุขภาพของคามิลล์ก็เสื่อมลง ในที่สุดก็เสียชีวิตเมื่ออายุได้ 32 ปีด้วยวัณโรคเมื่อวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1879 โมเนท์วาดภาพคามิลล์บนเตียงที่คามิลล์นอนป่วย[10] [11]

ภาพเขียนสมัยแรก

ชีวิตสมัยหลัง

หลังจากโมเนโศกเศร้ากับการตายของคามิลล์อยู่หลายเดือนโมเนก็สัญญากับตนเองว่าจะไม่ยอมเป็นทาสความยากไร้อีก โดยเริ่มเขียนภาพจริงๆ จังๆ และสร้างงานที่ดึที่สุดของตนเองของสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อต้นคริสต์ทศศตวรรษ 1880 โมเนก็วาดภาพภูมิทัศน์ของชนบทฝรั่งเศสด้วยความตั้งใจที่จะทำเป็นหลักฐานของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งทำให้เกิดการวาดภาพเป็นชุดหลายชุดที่เกี่ยวกับภูมิทัศน์ของชนบทฝรั่งเศส

ภาพชุดพอพพลา

เมื่อปีค.ศ. 1878 โมเนและคามิลล์ย้ายไปอยู่ที่บ้านของเอิร์นเนส โอเชด (Ernest Hoschedé) เป็นการชั่วคราว โอเชดเป็นเจ้าของร้านสรรพสินค้าผู้มีฐานะและเป็นผู้อุปถัมป์ศิลปิน สองครอบครัวนี้ก็อยู่ด้วยกันที่เวทุย (Vétheuil) ระหว่างหน้าร้อน หลังจากที่เอิร์นเนสล้มละลายและย้ายไปประเทศเบลเยียมเมื่อปีค.ศ. 1878 และหลังจากที่คามิลล์เสียชีวิตเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1879 โมเนก็ยังคงอาศัยอยู่ที่เวทุย โดยมีอลิซ ภรรยาของเอิร์นเนส โอเชดก็ช่วยโมเนดูแลบุตรชายสองคน อลิซนำลูกของโมเนท์ไปเลี้ยงร่วมกับลูกของอลิซเองอีก 6 คนที่ปารีสอยู่ระยะหนึ่ง[12] ก่อนที่จะย้ายกลับมาเวทุยพร้อมกับลูกๆ อีกครั้งเมื่อปีค.ศ. 1880 [13] ในปีค.ศ. 1881 ทั้งสองครอบครัวก็ย้ายไปปอยซี (Poissy) ซึ่งเป็นที่ที่โมเนไม่ชอบ จากหน้าต่างรถไฟระหว่างแวร์นองและกาสนีโมเนก็พบจิแวร์นีย์ (Giverny) ในนอร์มังดี ในเดือนเมษายนปีค.ศ. 1883 โมเนท์ก็ย้ายไปแวร์นองและต่อมาจิแวร์นีย์ ซึ่งเป็นที่ที่โมเนท์ทำสวนขนาดใหญ่และเป็นที่ที่โมเนเขียนภาพตลอดในบั้นปลายของชีวิต หลังจากเอิร์นเนสเสียชีวิต อลิซก็แต่งงานกับโมเนเมื่อปีค.ศ. 1892[4]

จิแวร์นีย์

บ้านและสวนที่จิแวร์นีย์

เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1883 โมเนก็เช่าที่ดินสองเอเคอร์ที่จิแวร์นีย์จากเจ้าของที่ดินบริเวณนั้น ตัวบ้านตั้งอยู่ใกล้ถนนสายหลักระหว่างแวร์นองกับกาสนี ตัวบ้านมีโรงนาที่โมเนท์ใช้เป็นห้องสำหรับเขียนภาพ ภูมิทัศน์บริเวณนั้นก็เหมาะกับการเขียนภาพของโมเนท์ นอกจากนั้นครอบครัวก็ยังช่วยกันทำสวนดอกไม้ใหญ่ ฐานะของโมเนท์ก็เริ่มดีขึ้นเมื่อมีพอล ดูรานด์ รูลเป็นนายหน้าขายภาพเขียนให้ ในปี ค.ศ. 1890 โมเนท์ก็มีฐานะดีพอที่จะซื้อบ้าน สิ่งก่อสร้างในบริเวณนั้น และที่ดินเป็นของตนเอง ต่อมาโมเนท์ก็สร้างห้องเขียนภาพอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่กว่าเดิมและเป็นเพดานที่มีแสงส่องเข้ามาได้ ตั้งแต่คริสต์ทศศตวรรษ 1880 จนกระทั่งโมเนท์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1926 โมเนท์เขียนภาพหลายชุดสำหรับการแสดงภาพเขียน ซึ่งแต่ละชุดโมเนท์ก็จะวาดตัวแบบเดียวกันแต่จากมุมต่างๆกันและต่างเวลากันตามแต่แสงและภาวะอากาศจะเปลี่ยนแสงสีของสิ่งที่วาด เช่นภาพชุดกองฟางที่เขียนระหว่างปี ค.ศ. 1890-1891 ซึ่งเขียนจากหลายมุมและต่างฤดูและต่างเวลากันในแต่ละวัน ภาพเขียนชุดอื่นๆ ที่โมเนท์ก็ได้แก่ ชุดมหาวิหารรูออง, ชุดต้นพอพพลา, ชุดตึกรัฐสภาอังกฤษ, ชุดยามเช้าบนฝั่งแม่น้ำเซน, และชุดดอกบัวซึ่งโมเนท์เขียนที่จิแวร์นีย์

บางครั้งโมเนท์ยังชอบเขียนภาพธรรมชาติที่ตกแต่งแล้วเช่นภายในสวนที่โมเนท์จัดตกแต่งเองที่บ้านจิแวร์นีย์[1] ซึ่งเป็นสวนที่มีสระน้ำ, สะพานเล็กๆ ข้ามสระ, ต้นวิลโลร้องไห้, และดอกบัว ซึ่งสวนจริงยังมีให้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ นอกจากนั้นก็ยังเดินขึ้นล่องริมฝั่งแม่น้ำเซนเพื่อเขียนรูป ระหว่างปี ค.ศ. 1883 ถึงปี ค.ศ. 1908 โมเนท์เดินทางไปเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งโมเนท์เขียนภาพสิ่งที่น่าสนใจ, ภูมิทัศน์ และ ทะเลทัศน์ เมื่อไปเวนิสโมเนท์ก็เขียนภาพชุดเวนิส และลอนดอนเป็นชุดตึกรัฐสภาอังกฤษ และสะพานชาริงครอส

อลิซและลูกชายคนโตของโมเนท์ผู้แต่งงานกับแบลนช์ ลูกสาวคนโตของอลิซเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1911[4] หลังจากนั้นแบลนช์ก็ดูแลโมเนท์ ระหว่างนี้โมเนท์ก็เริ่มเป็นต้อ[14]

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งลูกชายคนที่สองเป็นทหารและจอร์จ เคลมองโซ (Georges Clemenceau) ผู้เป็นเพื่อนและผู้นำฝรั่งเศส โมเนท์เขียนภาพชุด “วิลโลร้องไห้” (Weeping Willow) เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ชาวฝรั่งเศสผู้เสียชีวิตในสงคราม โมเนท์ได้รับการผ่าตัดต้อสองครั้งในปี ค.ศ. 1923 ต้อของโมเนท์มีผลต่อสีของภาพเขียนๆ ระหว่างที่เป็นต้อจะออกโทนแดงซึ่งเป็นลักษณะของผู้เป็นต้อ นอกจากนั้นโมเนท์ยังสามารถมองเห็นคลื่นแสงอัลตราไวโอเล็ทที่ตาปกติจะมองไม่เห็นซึ่งอาจจะทำให้มีผลต่อการเห็นสีของโมเนท์ หลังจากผ่าตัดแล้วโมเนท์ก็พยายามทาสีบางภาพใหม่ เช่นภาพชุดดอกบัวที่เป็นสีน้ำเงินกว่าเมื่อก่อนได้รับการผ่าตัด [15]

ภาพเขียนสมัยหลัง

บั้นปลาย

“สระบัว” ค.ศ. 1920-1926

โมเนท์เสียชีวิตจากโรคมะเร็งที่ปอดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1926 เมื่ออายุ 86 ปี ร่างของโมเนท์ถูกฝังไว้ที่วัดที่จิแวร์นีย์ [16] โมเนท์ขอให้เป็นพิธีง่ายๆ ฉะนั้นจึงมีผู้ร่วมงานศพเพียง 50 คน[17]

เมื่อปี ค.ศ. 1966 ลูกหลานของโมเนท์ก็ยกบ้าน สวนและบึงบัวให้กับสถาบันศิลปะแห่งฝรั่งเศส (Academy of Fine Arts) ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980[18] นอกจากสิ่งของของโมเนท์แล้ว ภายในบ้านยังเป็นภาพพิมพ์แกะไม้ของญี่ปุ่น (Japanese woodcut prints) ที่โมเนท์สะสมด้วย

อ้างอิง

โมเนท์ (ขวา) ในสวนที่ แวร์นอง ค.ศ. 1922
  1. Biography of Claude Monet giverny.org. Retrieved 6 January 2007
  2. House, John, et al: Monet in the 20th Century, page 2. Yale University Press, 1998.
  3. 3.0 3.1 P. Tucker Claude Monet: Life and Art, p.5
  4. 4.0 4.1 4.2 Biography for Claude Monet Guggenheim Collection. Retrieved 6 January 2007.
  5. Monet, Claude Nicolas Pioch, www.ibiblio.org, 19 September 2002. Retrieved 6 January 2007
  6. 6.0 6.1 6.2 Charles Stuckey "Monet, a Retrospective", Hugh Lauter Levin Associates, 195
  7. The texts of seven police reports, written on 2 June – 9 October 1871 are included in Monet in Holland, the catalog of an exhibition in the Amsterdam Van Gogh Museum (1986).
  8. His paintings are shown and discussed here
  9. Impressionism — Overview ARTinthePICTURE.com. Retrieved 6 January 2007
  10. http://www.artelino.com/articles/la_japonaise.asp accessed 25 September 2007
  11. http://members.aol.com/wwjohnston/camille.htm accessed 25 September 2007
  12. online biography retrieved December 28, 2007
  13. Charles Merrill Mount, Monet a biography, Simon and Schuster publisher, copyright 1966, pp.309-322.
  14. Forge, Andrew, and Gordon, Robert, Monet, page 224. Harry N. Abrams, 1989.
  15. Let the light shine in Guardian News, 30 May 2002. Retrieved 6 January 2007.
  16. The village of Giverny giverny.org. Retrieved 6 January 2007
  17. P. Tucker Claude Monet: Life and Art, p.224
  18. Fondation Claude Monet - Giverny

ข้อมูลเพิ่มเติม

แหล่งข้อมูลอื่น

วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ โคลด โมเนท์ วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ จิแวร์นีย์ วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ จิตรกรรมอิมเพรสชั่นนิสม์