ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ประวัติศาสตร์ของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ปรับการใช้ภาษาที่ไม่มีอคติทางเพศ
ปรับการใช้ภาษาที่ไม่มีอคติทางเพศ
บรรทัด 16: บรรทัด 16:


=== สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ===
=== สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ===
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีกรณีของกรมหลวงรักษรณเรศร พระราชโอรสในรัชกาลที่ 1 ซึ่งมีคณะโขนละครในวังที่ผู้เล่นเป็นผู้ชายล้วน ได้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ กับบรรดาโขนละครที่เลี้ยงไว้ ไม่สนใจเลี้ยงลูกเมียจนเป็นที่รับรู้กันทั่วไป ทำให้เกิดขัดเคืองพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงโปรดเกล้าให้ ถอดจากกรมหลวงให้เรียกว่า "หม่อมไกรสร" แล้วให้ไป[[สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์]]ที่[[วัดปทุมคงคา]] แต่อย่างไรก็ตาม บางกระแสก็ระบุว่าการตัดสินประหารชีวิต เป็นเหตุผลด้านการเมืองว่าเป็นผู้มัก ใหญ่ใฝ่สูง มากกว่าพฤติกรรมรักร่วมเพศ ส่วนพี่ชายของกรมหลวงรักษรณเรศร ก็เป็นผู้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศโดยไม่อยู่กินกับลูกเมียเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่ถูกตำหนิหรือลงโทษแต่ประการใด
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีกรณีของ[[กรมหลวงรักษรณเรศร]] พระราชโอรสในรัชกาลที่ 1 ซึ่งมีคณะโขนละครในวังที่ผู้เล่นเป็นผู้ชายล้วน ได้มีพฤติกรรมรักเพศเดียวกันกับบรรดาโขนละครที่เลี้ยงไว้ ไม่สนใจเลี้ยงลูกเมียจนเป็นที่รับรู้กันทั่วไป ทำให้เกิดขัดเคืองพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก


จึงโปรดเกล้าให้ ถอดจากกรมหลวงให้เรียกว่า "หม่อมไกรสร" แล้วให้ไป[[สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์]]ที่[[วัดปทุมคงคา]] แต่อย่างไรก็ตาม บางกระแสก็ระบุว่าการตัดสินประหารชีวิต เป็นเหตุผลด้านการเมือง ว่าเป็นผู้มักใหญ่ใฝ่สูง มากกว่าพฤติกรรมรักเพศเดียวกัน ส่วนพี่ชายของกรมหลวงรักษรณเรศร ก็เป็นผู้มีพฤติกรรมรักเพศเดียวกัน โดยไม่อยู่กินกับลูกเมียเช่นกัน แต่กลับไม่ถูกตำหนิหรือลงโทษแต่ประการใด
หลักฐานพฤติกรรม รักร่วมเพศชายหรือที่เรียกว่า "เล่นสวาท" ยังปรากฏหลักฐานในประชุมประกาศในรัชกาลที่ 4 ที่บันทึกพฤติกรรมของพระภิกษุที่ว่า "...บางจำพวกเป็นคนเกียจคร้าน กลัวจะเกณฑ์ให้ราชการ หลบลี้หนีเข้าบวชเป็นภิกษุ สามเณร อาศัยพึ่งพระศาสนาเลี้ยงชีวิต แล้วประพฤติอนาจารทุจริตต่างๆ จนถึงเล่นสวาทเป็นปาราชิกก็มีอยู่ โดยมาก..."<ref>พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า, ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 พ.ศ. 2399-2400</ref> โดยคำว่า "เล่นสวาท" ยังได้ใช้อย่างกว้างขวางในยุคนั้น ส่วนพฤติกรรมการ "เล่นเพื่อน" ที่เป็นพฤติกรรมรักร่วมเพศฝ่ายหญิง มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงชาววังเพราะอยู่รวมกันหลายคน จึงมีการประกาศใช้กฎมณเฑียรบาลข้อที่ 124 ดังความว่า "อนึ่งสนม กำนัลคบผู้หญิงหนึ่งกัน ทำดุจชายเป็นชู้เมียกัน ให้ลงโทษด้วยลวดหนัง 50 ที ศักคอประจานรอบพระราชวัง ที่หนึ่งให้เอาเป็นชาวสตึง ที่หนึ่งให้แก่พระเจ้าลูก เธอหลานเธอ" พฤติกรรมของผู้หญิงในพระราชสำนักเป็นที่โจษจัน มากจนในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงเคยมีพระราชหัตถเลขากำชับสั่งพระเจ้าลูกยาเธอฯ ทั้งหลายห้ามเล่นเพื่อนด้วย


หลักฐานพฤติกรรมชายที่รักเพศเดียวกัน หรือที่เรียกว่า "เล่นสวาท" ยังปรากฏหลักฐานในประชุมประกาศในรัชกาลที่ 4 ที่บันทึกพฤติกรรมของพระภิกษุที่ว่า
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงออกออกกฎหมายที่พาดพิงถึงพฤติกรรมรักร่วมเพศ อย่างเช่น ประมวลกฎหมายลักษณะ ร.ศ.127 ในส่วนที่ 6 ที่ว่าด้วยความผิดที่กระทำอนาจาร หมวดที่ 1 ความผิดฐานกระทำอนาจารเกี่ยวกับสาธารณะ มาตรา 124 ที่กล่าวว่า "ผู้ใดกระทำชำเราผิดธรรมดามนุษย์ ด้วยชายก็ดี หญิงก็ดี หรือกระทำ ชำเราด้วยสัตว์เดียรฉานก็ดี ท่านว่ามันมีความผิด ต้องรวางโทษติดคุกตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป จนถึง 3 ปี แลให้ปรับตั้งแต่ 50 บาทขึ้นไปถึง 500 บาทด้วยอิกโสด 1"<ref>กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 ส่วนที่ 6 หมวดที่ 1 มาตรา 242, หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, มร.5ย/24</ref> ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่สังคมได้ได้รับวัฒนธรรมตะวันตกค่อนข้างมาก พระองค์ยังทรงเข้าใจเรื่องพฤติกรรมรักร่วมเพศได้เป็นอย่างดี ถึงขนาดทรงนิพนธ์บทความในหนังสือพิมพ์ ดุสิตสมิตของพระองค์ ในหัวเรื่อง "กะเทย" และ "ทำไมกะเทยจึงรู้มากในทางผัวๆ เมียๆ ?" ที่ให้ความรู้ อธิบายความเข้าใจอย่างถูกต้อง ไม่เกิดการรังเกียจหรือทำร้ายบุคคลในกลุ่มดังกล่าว


"...บางจำพวกเป็นคนเกียจคร้าน กลัวจะเกณฑ์ให้ราชการ หลบลี้หนีเข้าบวชเป็นภิกษุ สามเณร อาศัยพึ่งพระศาสนาเลี้ยงชีวิต แล้วประพฤติอนาจารทุจริตต่างๆ จนถึงเล่นสวาทเป็นปาราชิกก็มีอยู่ โดยมาก..."<ref>พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า, ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 พ.ศ. 2399-2400</ref>
ในสมัยรัชกาลที่ 7 มีการใช้คำว่า "Homosexual" เพิ่มมาอีก จากงานเขียนบทความเรื่อง "กามรมณ์และ สมรส" ในหนังสือรวมปกฐกถาเกี่ยวกับปัญหาชีวิตของคนทั่วไปตามหลักจิตวิทยา อธิบายให้ความรู้ด้านจิตวิทยามากกว่าเรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรมรัก ร่วมเพศ พฤติกรรมรักร่วมเพศ โดยในยุคนี้เป็นยุคที่วงการแพทย์ไทยได้เริ่มเข้ามาศึกษาและหาแนวทางแก้ไขรักษา กลุ่มที่มีพฤติกรรมดังกล่าว

โดยคำว่า "เล่นสวาท" ยังถูกใช้อย่างกว้างขวางในยุคนั้น ส่วนพฤติกรรมการ "เล่นเพื่อน" ที่เป็นพฤติกรรมของหญิงที่รักเพศเดียวกัน มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงชาววังเพราะอยู่รวมกันหลายคน จึงมีการประกาศใช้กฎมณเฑียรบาลข้อที่ 124 ดังความว่า

"อนึ่งสนม กำนัลคบผู้หญิงหนึ่งกัน ทำดุจชายเป็นชู้เมียกัน ให้ลงโทษด้วยลวดหนัง 50 ที ศักคอประจานรอบพระราชวัง ที่หนึ่งให้เอาเป็นชาวสตึง ที่หนึ่งให้แก่พระเจ้าลูกเธอหลานเธอ" พฤติกรรมของผู้หญิงในพระราชสำนักเป็นที่โจษจัน มากจนในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงเคยมีพระราชหัตถเลขากำชับสั่งพระเจ้าลูกยาเธอฯ ทั้งหลายห้ามเล่นเพื่อนด้วย

ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงออกออกกฎหมายที่พาดพิงถึงพฤติกรรมรักเพศเดียวกัน อย่างเช่น [[ประมวลกฎหมาย]]ลักษณะ ร.ศ.127 ในส่วนที่ 6 ที่ว่าด้วยความผิดที่กระทำอนาจาร หมวดที่ 1 ความผิดฐานกระทำอนาจารเกี่ยวกับสาธารณะ มาตรา 124 ที่กล่าวว่า

"ผู้ใดกระทำชำเราผิดธรรมดามนุษย์ ด้วยชายก็ดี หญิงก็ดี หรือกระทำ ชำเราด้วยสัตว์เดียรฉานก็ดี ท่านว่ามันมีความผิด ต้องรวางโทษติดคุกตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป จนถึง 3 ปี แลให้ปรับตั้งแต่ 50 บาทขึ้นไปถึง 500 บาทด้วยอิกโสด 1"<ref>กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 ส่วนที่ 6 หมวดที่ 1 มาตรา 242, หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, มร.5ย/24</ref>

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่สังคมได้ได้รับวัฒนธรรมตะวันตกค่อนข้างมาก พระองค์ยังทรงเข้าใจเรื่องพฤติกรรมรักเพศเดียวกันได้เป็นอย่างดี ถึงขนาดทรงนิพนธ์บทความในหนังสือพิมพ์ ดุสิตสมิตของพระองค์ ในหัวเรื่อง "กะเทย" และ "ทำไมกะเทยจึงรู้มากในทางผัวๆ เมียๆ ?" ที่ให้ความรู้ อธิบายความเข้าใจอย่างถูกต้อง ไม่เกิดการรังเกียจหรือทำร้ายบุคคลในกลุ่มดังกล่าว

ในสมัยรัชกาลที่ 7 มีการใช้คำว่า "[[Homosexual]]" เพิ่มมาอีก จากงานเขียนบทความเรื่อง "กามรมณ์และสมรส" ในหนังสือรวมปกฐกถาเกี่ยวกับปัญหาชีวิตของคนทั่วไปตามหลักจิตวิทยา อธิบายให้ความรู้ด้านจิตวิทยามากกว่าเรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรมรักเพศเดียวกัน โดยในยุคนี้เป็นยุคที่วงการแพทย์ไทยได้เริ่มเข้ามาศึกษาและหาแนวทางแก้ไขรักษา กลุ่มที่มีพฤติกรรมดังกล่าว


=== ยุคเริ่มต้นประชาธิปไตย ===
=== ยุคเริ่มต้นประชาธิปไตย ===

รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:12, 5 มีนาคม 2553

ในประเทศไทยมีประวัติของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ มาเนิ่นนานตั้งแต่ในอดีต ที่ปรากฏคำเรียกเกี่ยวกับพฤติกรรมรักร่วมเพศอย่าง "กะเทย" หรือ "บันเดาะ" หรือ "บันเฑาะก์" หรือ "เล่นสวาท" ในฝ่ายชาย และ "เล่นเพื่อน" ในฝ่ายหญิง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 เริ่มมีการใช้คำว่า "Homosexual" ส่วนพฤติกรรมรักร่วมเพศของคนทั่วไปเริ่มเป็นที่รับรู้ในสมัยหลังประชาธิปไตย และในยุคหลังเริ่มมีสื่อของเกย์ มากขึ้น นอกจากนี้กะเทยและเกย์ยังถูกแต่งเป็นเรื่องราวในภาพยนตร์และนวนิยายอีกด้วย

ประวัติ

จุดเริ่มต้น

จากหลักฐาน พฤติกรรมรักเพศเดียวกันมาตั้งแต่ในอดีต ในทางพุทธศาสนาตั้งแต่ครั้งบรรพกาลได้มีเรื่องกล่าวขานเกี่ยวข้องไว้พอสมควร ทั้งในส่วนพุทธชาดก อีกทั้งภาพพฤติกรรมรักเพศเดียวกันที่ปรากฏบนจิตรกรรมฝาผนังของวัดต่างๆ ในประเทศไทย

นอกจากนี้ในพระไตรปิฎก ยังได้ระบุคำสำคัญอย่าง "กะเทย" หรือ "บันเดาะ" หรือ "บันเฑาะก์" ที่มีความหมายว่า "ชายที่มีราคะจัด ชอบประพฤตินอกรีตในการเสพกามและยั่วยวนชายอื่นให้ประพฤติตาม" และยังบัญญัติบุคคลที่ไม่สามารถบวชได้ในทางพุทธศาสนา "บันเฑาะก์" เป็นข้อห้ามที่ไม่ยินยอมให้บวช และในไตรภูมิพระร่วง ยังกล่าวถึงคน คนที่เกิดเป็นกะเทยเนื่องจากผลกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อนๆ คือ เป็นชายที่ผิดเมียผู้อื่น ซึ่งหากตกนรกปีนต้นงิ้วแล้ว ยังต้องไปเกิดเป็นกะเทยอีก 1000 ชาติ จึงจะพ้นกรรม[1]

คำว่ากะเทย (เขียนว่า "กเทย") ยังพบอยู่ใน "พะจะนะพาสาไท" ที่เขียนโดย บาทหลวงปาลเลอกัวซ์ ในปี พ.ศ. 2397 โดยแปลมาจากภาษาอังกฤษว่า "Hermaphrodite"[2]

จากหลักฐานในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ร.2 เขียนไว้เกี่ยวกับ พระสังฆราชวัดมหาธาตุมีพฤติกรรมรักเพศเดียวกันกับลูกศิษย์หนุ่ม ในการสัมผัสจับต้อง ลูบคลำอวัยวะเพศ ได้ถูกถอดจากสมณศักดิ์และเนรเทศให้ออกไปจากวัดมหาธาตุ

อีกเหตุการณ์ในสังคมไทยในอดีต[3] ในปี ค.ศ. 1634 อดีตเจ้าหน้าที่การค้าของฮอลันดา ประจำกรุงศรีอยุธยา ที่ชื่อนายโยส สเคาเต็น ถูกลงโทษประหารชีวิตโดยรัฐบาลฮอลแลนด์ที่เมืองปัตตาเวีย ในข้อหามีพฤติกรรมรักเพศเดียวกันซึ่งเป็นความผิดอย่างร้ายแรงใน สังคมตะวันตก

โดยนายสเคาเต็นยอมรับสารภาพและอ้างว่า ได้รับตัวอย่างพฤติกรรมรักเพศเดียวกันจากคนในกรุงศรีอยุธยา แต่ถึงกระนั้น บันทึกและเรื่องบอกเล่าในหลักฐานของประวัติศาสตร์ไทยก็มีไม่มาก เนื่องจากเป็นพฤติกรรมน่ารังเกียจ น่าอับอาย เป็นเรื่องอัปมงคล สมควรแก่การปกปิดหากกระทำผิดต่อวงศ์ตระกูลและครอบครัว ในทัศนคติของสังคมสมัยนั้น

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์

ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีกรณีของกรมหลวงรักษรณเรศร พระราชโอรสในรัชกาลที่ 1 ซึ่งมีคณะโขนละครในวังที่ผู้เล่นเป็นผู้ชายล้วน ได้มีพฤติกรรมรักเพศเดียวกันกับบรรดาโขนละครที่เลี้ยงไว้ ไม่สนใจเลี้ยงลูกเมียจนเป็นที่รับรู้กันทั่วไป ทำให้เกิดขัดเคืองพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

จึงโปรดเกล้าให้ ถอดจากกรมหลวงให้เรียกว่า "หม่อมไกรสร" แล้วให้ไปสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคา แต่อย่างไรก็ตาม บางกระแสก็ระบุว่าการตัดสินประหารชีวิต เป็นเหตุผลด้านการเมือง ว่าเป็นผู้มักใหญ่ใฝ่สูง มากกว่าพฤติกรรมรักเพศเดียวกัน ส่วนพี่ชายของกรมหลวงรักษรณเรศร ก็เป็นผู้มีพฤติกรรมรักเพศเดียวกัน โดยไม่อยู่กินกับลูกเมียเช่นกัน แต่กลับไม่ถูกตำหนิหรือลงโทษแต่ประการใด

หลักฐานพฤติกรรมชายที่รักเพศเดียวกัน หรือที่เรียกว่า "เล่นสวาท" ยังปรากฏหลักฐานในประชุมประกาศในรัชกาลที่ 4 ที่บันทึกพฤติกรรมของพระภิกษุที่ว่า

"...บางจำพวกเป็นคนเกียจคร้าน กลัวจะเกณฑ์ให้ราชการ หลบลี้หนีเข้าบวชเป็นภิกษุ สามเณร อาศัยพึ่งพระศาสนาเลี้ยงชีวิต แล้วประพฤติอนาจารทุจริตต่างๆ จนถึงเล่นสวาทเป็นปาราชิกก็มีอยู่ โดยมาก..."[4]

โดยคำว่า "เล่นสวาท" ยังถูกใช้อย่างกว้างขวางในยุคนั้น ส่วนพฤติกรรมการ "เล่นเพื่อน" ที่เป็นพฤติกรรมของหญิงที่รักเพศเดียวกัน มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงชาววังเพราะอยู่รวมกันหลายคน จึงมีการประกาศใช้กฎมณเฑียรบาลข้อที่ 124 ดังความว่า

"อนึ่งสนม กำนัลคบผู้หญิงหนึ่งกัน ทำดุจชายเป็นชู้เมียกัน ให้ลงโทษด้วยลวดหนัง 50 ที ศักคอประจานรอบพระราชวัง ที่หนึ่งให้เอาเป็นชาวสตึง ที่หนึ่งให้แก่พระเจ้าลูกเธอหลานเธอ" พฤติกรรมของผู้หญิงในพระราชสำนักเป็นที่โจษจัน มากจนในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงเคยมีพระราชหัตถเลขากำชับสั่งพระเจ้าลูกยาเธอฯ ทั้งหลายห้ามเล่นเพื่อนด้วย

ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงออกออกกฎหมายที่พาดพิงถึงพฤติกรรมรักเพศเดียวกัน อย่างเช่น ประมวลกฎหมายลักษณะ ร.ศ.127 ในส่วนที่ 6 ที่ว่าด้วยความผิดที่กระทำอนาจาร หมวดที่ 1 ความผิดฐานกระทำอนาจารเกี่ยวกับสาธารณะ มาตรา 124 ที่กล่าวว่า

"ผู้ใดกระทำชำเราผิดธรรมดามนุษย์ ด้วยชายก็ดี หญิงก็ดี หรือกระทำ ชำเราด้วยสัตว์เดียรฉานก็ดี ท่านว่ามันมีความผิด ต้องรวางโทษติดคุกตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป จนถึง 3 ปี แลให้ปรับตั้งแต่ 50 บาทขึ้นไปถึง 500 บาทด้วยอิกโสด 1"[5]

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่สังคมได้ได้รับวัฒนธรรมตะวันตกค่อนข้างมาก พระองค์ยังทรงเข้าใจเรื่องพฤติกรรมรักเพศเดียวกันได้เป็นอย่างดี ถึงขนาดทรงนิพนธ์บทความในหนังสือพิมพ์ ดุสิตสมิตของพระองค์ ในหัวเรื่อง "กะเทย" และ "ทำไมกะเทยจึงรู้มากในทางผัวๆ เมียๆ ?" ที่ให้ความรู้ อธิบายความเข้าใจอย่างถูกต้อง ไม่เกิดการรังเกียจหรือทำร้ายบุคคลในกลุ่มดังกล่าว

ในสมัยรัชกาลที่ 7 มีการใช้คำว่า "Homosexual" เพิ่มมาอีก จากงานเขียนบทความเรื่อง "กามรมณ์และสมรส" ในหนังสือรวมปกฐกถาเกี่ยวกับปัญหาชีวิตของคนทั่วไปตามหลักจิตวิทยา อธิบายให้ความรู้ด้านจิตวิทยามากกว่าเรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรมรักเพศเดียวกัน โดยในยุคนี้เป็นยุคที่วงการแพทย์ไทยได้เริ่มเข้ามาศึกษาและหาแนวทางแก้ไขรักษา กลุ่มที่มีพฤติกรรมดังกล่าว

ยุคเริ่มต้นประชาธิปไตย

ในยุคนี้พฤติกรรมรักร่วมเพศได้เกิดขึ้นกับ บุคคลทั่วไปมากขึ้น ประชาชนสามารถสื่อสารเรื่องราวนี้ได้อย่างกว้างขวาง เช่นหนังสือพิมพ์รายวันศรีกรุง ฉบับประจำวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2478 ระบุว่ามีการเปิดซ่องของ โสเภณีชายของนายถั่วดำหรือการุณ ผาสุก โดยนายถั่วดำหลอกลวงเด็กชายวัย 10-16 ปี มาร่วมอยู่ด้วยในห้องแถวเช่า ตำบลตรอกถั่วงอก อำเภอป้อมปราบ พร้อมทั้งสอนวิธีสำเร็จความใคร่ให้กับเด็กและให้เด็กสำเร็จความใคร่กับแขก ได้รับเงินค่าขายบริการเยี่ยงหญิงโสเภณี ซึ่งเรื่องราวของนายถั่วดำ ทำให้กลายเป็นคำสแลงที่เรียกพฤติกรรมรักร่วมเพศจนถึงปัจจุบัน[6] อีกข่าวดัง จากการลงข่าวในหนังสือพิมพ์สยามนิกร ประจำวันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2493 ที่รายงานถึงพฤติกรรมของเหล่านักโทษในคุกที่มักเสพเมถุนทางเว็จมรรค ทำให้เรื่องราวพฤติกรรมรักร่วมเพศเป็นที่รับรู้ในสังคมมากขึ้น และตอกย้ำถึงความผิดธรรมชาติ ผิดศีลธรรม โดยคนส่วนใหญ่ถือเป็นเรื่องงน่าอับอายและน่ารังเกียจต่อผู้มีพฤติกรรมดังกล่าว

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เริ่มมีชาวต่างชาติเข้ามาอาศัยและตั้งบ้านเรือนอย่างย่านถนนสีลมและพัฒน์พงษ์ มากขึ้น เหล่าชาวต่างชาติได้นำวัฒนธรรมรักร่วมเพศตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ด้วย เช่นใช้พื้นที่สวนสาธารณะต่าง ในย่านสนามหลวง สะพานพุทธ สวนลุมพินีและวังสราญรมย์ แสดงความรักต่อกันโดยไม่อายสายตา หรือการรื่นเริงสังสรรค์ที่มีกะเทยแต่งตัวเป็นหญิง และจากข้อมูลในคอลัมน์ คุยเฟื่องเรื่องเซ็กส์" ของลุงหนวด ในนิตยสารคู่ทุกข์คู่ยาก ฉบับเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2526 เขียนไว้ว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กะเทยไทยเริ่มออกค้าประเวณีกับทหารสหประชาชาติ ในสมัยนั้นสังคมไทยยังคิดว่า กะเทยเป็นกลุ่มเดียวเท่านั้นที่เป็นพวกรักร่วมเพศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2507 เริ่มมีธุรกิจการขายบริการทางเพศในประเทศไทย เพื่อสนองความต้องการให้กับชาวต่างชาติเป็นหลัก ตามย่านถนนสีลมและพัฒน์พงษ์ เป็นต้น ในข่าวจากหนังสือพิมพ์สยามนิกรในเดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2508 พูดถึงการกวาดล้างกะเทยที่มั่วสุม ขายบริการทางเพศ ย่านประตูน้ำ ถ.เพชรบุรี และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทั้งยังก่ออาชญากรรม โดยการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ และฆ่าฝรั่งที่มาซื้อบริการทางเพศ

สีเสียด แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เขียนวิจารณ์ในคอลัมน์ "สารพันปัญหา" ว่า "พฤติกรรมประเภทนี้เกิดขึ้นในสังคมไทยและเป็นความวิปริตหรือเป็นโรคจิตอย่างหนึ่ง ทั้งนี้เป็นเพราะรับเอาวัฒนธรรมดังกล่าวมาจากประเทศตะวันตกที่ยอมรับและชื่นชอบต่อ พฤติกรรมดังกล่าวเข้ามาในสังคมไทย โดยชาวต่างชาติและคนไทยที่ไป ศึกษาในต่างประเทศเป็นผู้นำมาประพฤติปฏิบัติในสังคม อันถือว่าเป็นความเสื่อมทรามและไม่เหมาะสมในสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง" ส่วนทางด้านงานวิชาการ ปีเตอร์ แจ็คสัน กล่าวว่า สื่อมวลชนมักนำเสนอเกย์ในสังคมไทยในเรื่องที่เสื่อมเสีย เช่นเรื่องอาชญากรรม การล่อลวงเด็ก การขายตัว ต่างชาติมาถ่ายภาพยนตร์และวิดีโอเกย์ลามกในประเทศไทย การระบาดของโรคเอดส์ในกลุ่มเกย์ ดังนั้นเกย์ในสังคมไทยยังไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวเองนัก และสังคมไทยยังสับสนต่อกลุ่มผู้รักร่วมเพศ โดยมองว่ากลุ่มรักร่วมเพศเป็นพวกกะเทยหรือลักเพศมากกว่าความหมายทางด้านพฤติกรรมรักร่วมเพศ

ยุคสื่อสิ่งพิมพ์เฟื่องฟู

สื่อสิ่งพิมพ์ เริ่มได้รับความนิยมอย่างมาก โดยนิตยสารแปลก เป็นนิตยสารที่กลุ่มผู้รักร่วมเพศนิยมอ่านกันมากที่สุด โดยเฉพาะคอลัมน์ของ "โก๋ ปากน้ำ" ที่นำเสนอเรื่องเล่า การระบายความในใจ ประสบการณ์ การมีเพศสัมพันธ์แบบชายต่อชาย ทำให้ "โก๋ ปากน้ำ" โด่งดัง และส่งผลทำให้ยอดจำหน่ายขายดีต่อท้องตลาด นิตยสารแปลกยังได้บัญญัติคำอย่าง "เกย์คิงและเกย์ควีน" ให้เป็นที่รู้จักในสังคมไทย

นิตยสารอื่นที่กำเนิดขึ้นมาเพื่อกลุ่มรักร่วมเพศ อย่าง "บี อาร์" ของบุรินทร์ วงศ์สงวน นิตยสารสำหรับสตรี ที่มีรูปการตีพิมพ์ภาพหนุ่มหล่อกึ่งเปลือย และยังมีนิตยสารแนวเกย์เขียนโดย อาทิตย์ สุรทิน ควบคู่กันไป และยังมีนิตยสาร "MAN" ของพจนาถ เกศจินดา ได้ปรากฏ ตัวเข้ามาเพื่อกลุ่มรักร่วมเพศโดยเฉพาะ ที่มีภาพเปลือยของดาราชายพร้อมบทสัมภาษณ์ของดาราเป็นจุดขาย นอกจากนี้ยังมีนิตยสารบันเทิงชื่อ "จักรวาลดาว" ของพิชัย สัตยพันธ์ ที่นำเสนอภาพกึ่งเปลือยของดาราชาย ส่วนนิตยสารหนุ่มสาว ซึ่งเป็นนิตยสารสำหรับผู้ชายและผู้หญิง เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเพศ บันเทิง และสาระความรู้ทั่วไป ที่ระยะหลังเริ่มตีพิมพ์ผู้ชายกึ่งเปลือยเพิ่มมากขึ้น และในปี 2524 ได้มีนิตยสารสำหรับกลุ่มเกย์และเลสเบียนโดยเฉพาะที่ชื่อ "เชิงชาย" ทั้งเนื้อหาและรูปภาพภายในของชายและหญิง ในปี 2526 นิตยสารมิถุนา ได้ออกมาสู่ท้องตลาด เป็นเล่มขนาดใหญ่ ต่อมานิตยสารนีออน โดย ปกรณ์ พงษ์วราภา เป็นนิตยสารเกย์ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2528

ในระยะนี้เกิดนิตยสารเกย์เป็นจำนวนมาก เช่น นิตยสารมรกต (ชื่อเดิมเพทาย) และเกสร (นิตยสารในเครือมิถุนา) ปี 2529 มิดเวย์ ปี 2530 Him ปี 2531 เกิดนิตยสาร My way และในปีต่อมาได้แก่ The Guy ในช่วงกลางศตวรรษที่ 2530 ต่อมาได้พัฒนาเป็นนิตยสารสำหรับผู้อ่านกลุ่มผู้รักร่วมเพศ ได้แก่ Violet ลับเฉพาะชาวสีม่วง เมล์ (Male) ฮีท (Heat) ไวโอเล็ท ฮอทกาย แมน และจีอาร์ เป็นต้น และในช่วงศตวรรษที่ 2540 มีนิตยสารออกหลายฉบับอย่างเอ็มคอร์ เคเอกซ์เอ็ม ดิ๊ก เอชเอ็มแอนด์เอ็ม เกย์ และแม็กซ์ เป็นต้น

กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในสื่อ

น้องตุ้ม นักมวยสาวประเภทสอง

นอกเหนือจากสิ่งพิมพ์ในยุคเริ่มต้นแล้ว สังคมไทยเริ่มเข้าใจต่อกลุ่มผู้รักร่วมเพศที่ดีขึ้น แม้ในระยะแรกจะมีภาพทางลบ ในสื่อภาพยนตร์ยังถ่ายทอดเรื่องราว อย่างเรื่อง "เกมส์" ในปี พ.ศ. 2519 ซึ่งถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดเรื่องเกย์เป็นครั้งแรก แต่นำเสนอเกี่ยวกับความเสียใจของผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับผู้ชายที่เป็นเกย์ ต่อมาพิศาล อัครเศรณี นำเสนอภาพยนตร์เกี่ยวกับสาวประเภทสองคณะโชว์คาบาเร่ต์แห่งเมืองพัทยา เรื่อง "เพลงสุดท้าย" ภาคที่ 1 และภาคที่ 2 ในปี พ.ศ. 2528 และปี พ.ศ. 2529 ตามลำดับ และต่อมา ดร.เสรี วงษ์มณฑา นำเสนอละครเวทีที่โด่งดังอย่างมากเรื่อง "ฉันผู้ชายนะยะ" ในช่วงหลังปี พ.ศ. 2516 เริ่มปรากฏนวนิยายเรื่องรักร่วมเพศ ทั้งนำเสนอเรื่องราวของคนรักร่วมเพศโดยตรง และการนำมาใช้สร้างเป็นตัวละครในนวนิยาย[7]

ส่วนละครโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเกย์เช่น น้ำตาลไหม้ ชายไม่จริงหญิงไม่แท้ รักไร้อันดับ ซอยปรารถนา 2500 ท่านชายกำมะลอ ปัญญาชนก้นครัว รักเล่ห์เพทุบาย ไม้แปลกป่า เมืองมายา สะพานดาว กามเทพเล่นกล รัก 8009 เป็นต้น ที่มีนักแสดงบางส่วนเป็นเกย์และที่ไม่ได้เป็นผู้รักร่วมเพศ มาสวมบทบาท

นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์ไทยที่มีตัวละครเป็นสาวประเภทสอง กะเทย รวมถึงเนื้อหารักร่วมเพศจำนวนมากในเวลาต่อมา อย่างเช่น พรางชมพู กะเทยประจัญบาน, ปล้นนะยะ, ว้ายบึ้ม เชียร์กระหึ่มโลก, บิวตี้ฟูล บ๊อกเซอร์, Go Six: โกหก ปลิ้นปล้อน กระล่อน ตอแหล, หอแต๋วแตก และ รักแห่งสยาม เป็นต้น

ปัจจุบัน

ปี พ.ศ. 2530 ได้มีการรวมตัวของหลายฝ่ายเพื่อรณรงค์ด้านโรคเอดส์ที่ระบาดอยู่อย่างจริงจัง โดยจัดตั้งกลุ่มเพื่อส่งเสริมและรณรงค์ให้ความรู้การป้องกันโรค นอกจากนี้ยังมี "กลุ่มเส้นสีขาว" เคลื่อนไหวให้มีการตื่นตัวต่ออันตรายของโรคเอดส์ ผ่านการแสดง ต่อมามีการจัดตั้งกลุ่ม "ภราดรภาพยับยั้งโรคเอดส์แห่งประเทศไทย" ให้ความรู้และรณรงค์เกี่ยวกับโรคเอดส์อย่างกว้างขวาง

ในปี พ.ศ. 2544 ได้มีการจัดตั้งกลุ่มฟ้าสีรุ้ง เพื่อรณรงค์การป้องกันโรคเอดส์ในกลุ่มผู้รักร่วมเพศชายเรียกร้องสิทธิต่างๆ และความเท่าเทียมในสังคม สร้างความเข้าใจอันดีของกลุ่มผู้รักร่วมเพศต่อสังคม ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็น องค์การฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย (Rainbow Sky Organization of Thailand) โดยร่วมมือกับองค์กรอย่างศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และองค์กรระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีองค์กรอื่นอย่าง องค์กรบางกอกเรนโบว์ (Bangkok Rainbow Organization) ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2545

อ้างอิง

  1. กะเทย / บั๊ณเฑาะก์ / ขันที / นักเทษ gotoknow.org
  2. ปาลเลอกัวร์, พะจะนะพาสาไท (พระนคร : ม.ป.ท., 2397)
  3. เจ้าพระยาทิพากรวงศ์, พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ร.2
  4. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า, ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4 พ.ศ. 2399-2400
  5. กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 ส่วนที่ 6 หมวดที่ 1 มาตรา 242, หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, มร.5ย/24
  6. จากถั่วดำถึงตุ๋ย
  7. การใช้เรื่องรักร่วมเพศในนวนิยายไทย พ.ศ. 2516 - พ.ศ. 2525

ดูเพิ่ม