ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แบริออน"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Tinuviel (คุย | ส่วนร่วม)
หน้าใหม่: '''แบริออน''' ({{lang-en|Baryon}}) เป็นตระกูลหนึ่งของอนุภาค[[อนุภาคประกอบ|ปร...
 
Tinuviel (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
'''แบริออน''' ({{lang-en|Baryon}}) เป็นตระกูลหนึ่งของ[[อนุภาค]][[อนุภาคประกอบ|ประกอบ]]ที่เกิดจาก[[ควาร์ก]] 3 ตัว ตรงข้ามกับ [[มีซอน]] ซึ่งเป็นตระกูลอนุภาคประกอบที่เกิดจากควาร์ก 1 ตัวและแอนติควาร์ก 1 ตัว ทั้งแบริออนและมีซอนต่างเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลอนุภาคที่ใหญ่กว่า ประกอบด้วยอนุภาคทั้งหมดที่เกิดจากควาร์ก เรียกว่า [[ฮาดรอน]] คำว่า ''แบริออน'' มาจาก[[ภาษากรีก]] ว่า ''βαρύς'' (''แบรี'') มีความหมายว่า "หนัก" เนื่องจากเมื่อครั้งที่ตั้งชื่อนั้น เชื่อกันว่าแบริออนมีมวลมากกว่าอนุภาคอื่นๆ
'''แบริออน''' ({{lang-en|Baryon}}) เป็นตระกูลหนึ่งของ[[อนุภาค]][[อนุภาคประกอบ|ประกอบ]]ที่เกิดจาก[[ควาร์ก]] 3 ตัว ตรงข้ามกับ [[มีซอน]] ซึ่งเป็นตระกูลอนุภาคประกอบที่เกิดจากควาร์ก 1 ตัวและแอนติควาร์ก 1 ตัว ทั้งแบริออนและมีซอนต่างเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลอนุภาคที่ใหญ่กว่า ประกอบด้วยอนุภาคทั้งหมดที่เกิดจากควาร์ก เรียกว่า [[ฮาดรอน]] คำว่า ''แบริออน'' มาจาก[[ภาษากรีก]] ว่า ''βαρύς'' (''แบรี'') มีความหมายว่า "หนัก" เนื่องจากเมื่อครั้งที่ตั้งชื่อนั้น เชื่อกันว่าแบริออนมีมวลมากกว่าอนุภาคอื่นๆ


จนเมื่อไม่นานมานี้ เชื่อกันว่ามีการทดลองบางอย่างที่สามารถแสดงถึงการมีอยู่ของ ''[[เพนตาควาร์ก]]'' หรือแบริออนประหลาดที่ประกอบด้วยควาร์ก 4 ตัวกับแอนติควาร์ก 1 ตัว<ref>H. Muir (2003)</ref><ref>K. Carter (2003)</ref> ชุมชนนักฟิสิกส์อนุภาคทั้งหมดไม่เคยมองการมีอยู่ของอนุภาคในลักษณะนี้มาก่อนจนกระทั่ง ค.ศ. 2006<ref name=PDGPentaquarks2006>W.-M. Yao ''et al.'' (2006): [http://pdg.lbl.gov/2006/reviews/theta_b152.pdf Particle listings – &Theta;<sup>+</sup>]</ref> และในปี ค.ศ. 2008 มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือซึ่งล้มล้างความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของเพนตาควาร์ก<ref name=PDGPentaquarks2008>C. Amsler ''et al.'' (2008): [http://pdg.lbl.gov/2008/reviews/pentaquarks_b801.pdf Pentaquarks]</ref>
จนถึงเร็วๆ นี้ ยังเชื่อกันว่ามีการทดลองบางอย่างที่สามารถแสดงถึงการมีอยู่ของ ''[[เพนตาควาร์ก]]'' หรือแบริออนประหลาดที่ประกอบด้วยควาร์ก 4 ตัวกับแอนติควาร์ก 1 ตัว<ref>H. Muir (2003)</ref><ref>K. Carter (2003)</ref> ชุมชนนักฟิสิกส์อนุภาคทั้งหมดไม่เคยมองการมีอยู่ของอนุภาคในลักษณะนี้มาก่อนจนกระทั่ง ค.ศ. 2006<ref name=PDGPentaquarks2006>W.-M. Yao ''et al.'' (2006): [http://pdg.lbl.gov/2006/reviews/theta_b152.pdf Particle listings – &Theta;<sup>+</sup>]</ref> แต่ในปี ค.ศ. 2008 มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือซึ่งล้มล้างความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของเพนตาควาร์ก<ref name=PDGPentaquarks2008>C. Amsler ''et al.'' (2008): [http://pdg.lbl.gov/2008/reviews/pentaquarks_b801.pdf Pentaquarks]</ref>


เนื่องจากแบริออนประกอบด้วยควาร์ก มันจึงมี[[อันตรกิริยาอย่างเข้ม]] ตรงข้ามกับ[[เลปตอน]] ซึ่งไม่มีส่วนประกอบของควาร์ก จึงไม่มีคุณสมบัติอันตรกิริยาอย่างเข้ม แบริออนที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ [[โปรตอน]] และ [[นิวตรอน]] ซึ่งเป็นส่วนประกอบของมวลของ[[สสาร]]ที่มองเห็นได้ในเอกภพ ขณะที่[[อิเล็กตรอน]] (ส่วนประกอบหลักอีกอย่างหนึ่งของ[[อะตอม]]) เป็นเลปตอน แบริออนแต่ละตัวจะมีคู่ปฏิอนุภาคเรียกว่า แอนติแบริออน ซึ่งควาร์กจะถูกแทนที่ด้วยคู่ตรงข้ามของมันคือ แอนติควาร์ก ตัวอย่างเช่น [[โปรตอน]]ประกอบด้วย 2 ควาร์กอัพ และ 1 ควาร์กดาวน์ คู่ปฏิอนุภาคของมันคือ [[แอนติโปรตอน]] ประกอบด้วย 2 แอนติควาร์กอัพ และ 1 แอนติควาร์กดาวน์
เนื่องจากแบริออนประกอบด้วยควาร์ก มันจึงมี[[อันตรกิริยาอย่างเข้ม]] ตรงข้ามกับ[[เลปตอน]] ซึ่งไม่มีส่วนประกอบของควาร์ก จึงไม่มีคุณสมบัติอันตรกิริยาอย่างเข้ม แบริออนที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ [[โปรตอน]] และ [[นิวตรอน]] ซึ่งเป็นส่วนประกอบของมวลของ[[สสาร]]ที่มองเห็นได้ในเอกภพ ขณะที่[[อิเล็กตรอน]] (ส่วนประกอบหลักอีกอย่างหนึ่งของ[[อะตอม]]) เป็นเลปตอน แบริออนแต่ละตัวจะมีคู่ปฏิอนุภาคเรียกว่า แอนติแบริออน ซึ่งควาร์กจะถูกแทนที่ด้วยคู่ตรงข้ามของมันคือ แอนติควาร์ก ตัวอย่างเช่น [[โปรตอน]]ประกอบด้วย 2 ควาร์กอัพ และ 1 ควาร์กดาวน์ คู่ปฏิอนุภาคของมันคือ [[แอนติโปรตอน]] ประกอบด้วย 2 แอนติควาร์กอัพ และ 1 แอนติควาร์กดาวน์

รุ่นแก้ไขเมื่อ 00:16, 3 มกราคม 2553

แบริออน (อังกฤษ: Baryon) เป็นตระกูลหนึ่งของอนุภาคประกอบที่เกิดจากควาร์ก 3 ตัว ตรงข้ามกับ มีซอน ซึ่งเป็นตระกูลอนุภาคประกอบที่เกิดจากควาร์ก 1 ตัวและแอนติควาร์ก 1 ตัว ทั้งแบริออนและมีซอนต่างเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลอนุภาคที่ใหญ่กว่า ประกอบด้วยอนุภาคทั้งหมดที่เกิดจากควาร์ก เรียกว่า ฮาดรอน คำว่า แบริออน มาจากภาษากรีก ว่า βαρύς (แบรี) มีความหมายว่า "หนัก" เนื่องจากเมื่อครั้งที่ตั้งชื่อนั้น เชื่อกันว่าแบริออนมีมวลมากกว่าอนุภาคอื่นๆ

จนถึงเร็วๆ นี้ ยังเชื่อกันว่ามีการทดลองบางอย่างที่สามารถแสดงถึงการมีอยู่ของ เพนตาควาร์ก หรือแบริออนประหลาดที่ประกอบด้วยควาร์ก 4 ตัวกับแอนติควาร์ก 1 ตัว[1][2] ชุมชนนักฟิสิกส์อนุภาคทั้งหมดไม่เคยมองการมีอยู่ของอนุภาคในลักษณะนี้มาก่อนจนกระทั่ง ค.ศ. 2006[3] แต่ในปี ค.ศ. 2008 มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือซึ่งล้มล้างความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของเพนตาควาร์ก[4]

เนื่องจากแบริออนประกอบด้วยควาร์ก มันจึงมีอันตรกิริยาอย่างเข้ม ตรงข้ามกับเลปตอน ซึ่งไม่มีส่วนประกอบของควาร์ก จึงไม่มีคุณสมบัติอันตรกิริยาอย่างเข้ม แบริออนที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ โปรตอน และ นิวตรอน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของมวลของสสารที่มองเห็นได้ในเอกภพ ขณะที่อิเล็กตรอน (ส่วนประกอบหลักอีกอย่างหนึ่งของอะตอม) เป็นเลปตอน แบริออนแต่ละตัวจะมีคู่ปฏิอนุภาคเรียกว่า แอนติแบริออน ซึ่งควาร์กจะถูกแทนที่ด้วยคู่ตรงข้ามของมันคือ แอนติควาร์ก ตัวอย่างเช่น โปรตอนประกอบด้วย 2 ควาร์กอัพ และ 1 ควาร์กดาวน์ คู่ปฏิอนุภาคของมันคือ แอนติโปรตอน ประกอบด้วย 2 แอนติควาร์กอัพ และ 1 แอนติควาร์กดาวน์

อ้างอิง

  1. H. Muir (2003)
  2. K. Carter (2003)
  3. W.-M. Yao et al. (2006): Particle listings – Θ+
  4. C. Amsler et al. (2008): Pentaquarks
  • C. Amsler et al. (Particle Data Group) (2008). "Review of Particle Physics". Physics Letters B]. 667 (1): 1–1340.
  • H. Garcilazo, J. Vijande, and A. Valcarce (2007). "Faddeev study of heavy-baryon spectroscopy". Journal of Physics G. 34 (5): 961–976. doi:10.1088/0954-3899/34/5/014.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  • K. Carter (2006). "The rise and fall of the pentaquark". Fermilab and SLAC. สืบค้นเมื่อ 2008-05-27.
  • W.-M. Yao et al.(Particle Data Group) (2006). "Review of Particle Physics". Journal of Physics G. 33: 1–1232. doi:10.1088/0954-3899/33/1/001.
  • D.M. Manley (2005). "Status of baryon spectroscopy". Journal of Physics: Conference Series. 5: 230–237. doi:10.1088/1742-6596/9/1/043.
  • H. Muir (2003). "Pentaquark discovery confounds sceptics". New Scientist. สืบค้นเมื่อ 2008-05-27.
  • S.S.M. Wong (1998a). "Chapter 2—Nucleon Structure". Introductory Nuclear Physics (2nd ed.). New York (NY): John Wiley & Sons]. pp. 21–56. ISBN 0-471-23973-9.
  • S.S.M. Wong (1998b). "Chapter 3—The Deuteron". Introductory Nuclear Physics (2nd ed.). New York (NY): John Wiley & Sons. pp. 57–104. ISBN 0-471-23973-9.
  • R. Shankar (1994). Principles of Quantum Mechanics (2nd ed.). New York (NY): Plenum Press. ISBN 0-306-44790-8.
  • E. Wigner (1937). "On the Consequences of the Symmetry of the Nuclear Hamiltonian on the Spectroscopy of Nuclei". Physical Review. 51 (2): 106–119. doi:10.1103/PhysRev.51.106.
  • M. Gell-Mann (1964). "A Schematic of Baryons and Mesons". Physics Letters. 8 (3): 214–215. doi:10.1016/S0031-9163(64)92001-3.
  • W. Heisenberg (1932). "Über den Bau der Atomkerne I". Zeitschrift für Physik. 77: 1–11. doi:10.1007/BF01342433. (เยอรมัน)
  • W. Heisenberg (1932). "Über den Bau der Atomkerne II". Zeitschrift für Physik. 78: 156–164. doi:10.1007/BF01337585. (เยอรมัน)
  • W. Heisenberg (1932). "Über den Bau der Atomkerne III". Zeitschrift für Physik. 80: 587–596. doi:10.1007/BF01335696. (เยอรมัน)