ผลต่างระหว่างรุ่นของ "บ็อบบี ร็อบสัน"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
KungDekZa (คุย | ส่วนร่วม)
KungDekZa (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 123: บรรทัด 123:
| publisher = Soccerbase
| publisher = Soccerbase
| accessdate = 2007-08-27
| accessdate = 2007-08-27
}}</ref> ทำให้เขาไม่สามารถช่วยทีมให้รอดพ้นจากการตกชั้นสู่[[ฟุตบอลลีกดิวิชันสอง|ดิวิชันสอง]]ได้]]<ref>{{cite book
}}</ref> ทำให้เขาไม่สามารถช่วยทีมให้รอดพ้นจากการตกชั้นสู่[[ฟุตบอลลีกดิวิชันสอง|ดิวิชันสอง]]ได้<ref>{{cite book
| last = Robson
| last = Robson
| title = Farewell but Not Goodbye
| title = Farewell but Not Goodbye

รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:52, 2 สิงหาคม 2552

เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม โรเบิร์ต วิลเลียม ร็อบสัน
ตำแหน่ง กองหน้าตัวริมเส้น
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
1950-1956
1956-1962
1962-1967
1967-1968
ฟูแลม
เวสต์บรอมวิชอัลเบียน
ฟูแลม
แวนคูเวอร์รอยัลส์
ทีมชาติ
1957-1962 ทีมชาติอังกฤษ
จัดการทีม
1968
1969-1982
1982-1990
1990-1992
1992-1994
1994-1996
1996-1997
1998-1999
1999-2004
2006-2007
ฟูแลม
อิปสวิชทาวน์
ทีมชาติอังกฤษ
พีเอสวีไอนด์โฮเฟน
สปอร์ติงลิสบอน
เอฟซีปอร์โต
บาร์เซโลนา
พีเอสวีไอนด์โฮเฟน
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด
ทีมชาติไอร์แลนด์ (ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์)
* นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น

เซอร์ โรเบิร์ต วิลเลียม ร็อบสัน (อังกฤษ: Sir Robert William Robson) (18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 193331 กรกฎาคม ค.ศ. 2009) หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักในชื่อว่า เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน (อังกฤษ: Sir Bobby Robson) เป็นอดีตนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวอังกฤษ

เขาเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกองหน้า ในเวลาเกือบ 20 ปี เขาลงเล่นให้กับ 3 ทีม ได้แก่ ฟูแลม, เวสต์บรอมวิชอัลเบียน และแวนคูเวอร์รอยัลส์ เขาลงเล่นในนามทีมชาติอังกฤษ 20 นัด และยิงได้ 4 ประตู

เขาเป็นที่รู้จักจากการเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จทั้งกับทีมชาติและสโมสร เขาสามารถคว้าแชมป์ลีกได้ใน 2 ประเทศ คือเนเธอร์แลนด์ และโปรตุเกส และคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยในอังกฤษและสเปน รวมทั้งยังสามารถนำทีมชาติอังกฤษเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโลก 1990 และประสบความสำเร็จในการคุมทีมชาติไอร์แลนด์

เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน เสียชีวิตลงอย่างสงบในขณะที่มีอายุ 76 ปี ด้วยโรคมะเร็งที่บ้านของเขา เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 หลังจากที่ป่วยมานานถึง 15 ปี

ประวัติ

ร็อบสันเกิดที่มณฑลเดอแรม เขาเป็นลูกชายคนที่ 4 จาก 5 คน ของฟิลิปป์ และลิเลียน ร็อบสัน ในวัยเด็กพ่อของเขามักจะพาเขาไปชมเกมการแข่งขันของนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่เซนต์เจมส์พาร์คอยู่เสมอ[1][2][3] ร็อบสันชื่นชอบ แจ็คกี มิลเบิร์น และเลน แช็คเลย์ตัน ว่าเป็นฮีโร่ในวัยเด็กของเขา โดยทั้ง 2 คนเป็นนักฟุตบอลที่เล่นในตำแหน่งกองหน้า ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่เขาเล่นเมื่อตอนค้าแข้ง

สมัยเป็นนักเตะ

ในนามสโมสร

สถิติในฐานะผู้เล่น

ระดับสโมสร เกมลีก ฟุตบอลถ้วย ลีกคัพ รวม
ฤดูกาลสโมสรลีก ลงเล่นประตูลงเล่นประตู ลงเล่นประตู ลงเล่นประตู
อังกฤษ ลีกเอฟเอคัพ ลีกคัพ รวม
1950–51 ฟูแลม ดิวิชันหนึ่ง 1 0 - - 1 0
1951–52 16 3 - - 16 3
1952–53 ดิวิชันสอง 35 19 1 0 - 36 19
1953–54 33 13 1 1 - 34 14
1954–55 42 23 1 0 - 43 23
1955–56 25 10 2 0 - 27 10
1955–56 เวสต์บรอมวิชอัลเบียน ดิวิชันหนึ่ง 10 1 - - 10 1
1956–57 39 12 2 1 - 41 13
1957–58 41 24 7 3 - 48 27
1958–59 29 4 1 1 - 30 5
1959–60 41 6 3 0 - 44 6
1960–61 40 5 1 0 - 41 5
1961–62 39 4 4 0 - 43 4
1962–63 ฟูแลม 34 1 2 1 2 0 38 2
1963–64 39 1 2 0 1 0 42 1
1964–65 42 1 2 0 3 1 47 2
1965–66 36 6 - 3 0 39 6
1966–67 41 0 3 0 3 0 47 0
รวม อังกฤษ 583 133 32 7 12 1 627 141
สรุปรวม 583 133 32 7 12 1 627 141

ในนามทีมชาติ

บทบาทในฐานะผู้จัดการทีม

การคุมทีมในช่วงแรก

ใน ค.ศ. 1959 ร็อบสันได้เข้าดำรงตำแหน่งเป็นโค้ชให้กับทีมชาติอังกฤษ ร็อบสันดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมเป็นครั้งแรกในเดือนมกราคม ค.ศ. 1968 โดยเป็นผู้จัดการทีมของฟูแลม อดีตต้นสังกัดของเขาในสมัยค้าแข้ง ภายใต้การคุมทีมของเขาจาก 24 นัด ฟูแลมมีคะแนนเพียงแค่ 16 คะแนนเท่านั้น[4][5] ทำให้เขาไม่สามารถช่วยทีมให้รอดพ้นจากการตกชั้นสู่ดิวิชันสองได้[6] ซึ่งการตกชั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน[7]

ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ

การคุมทีมอื่นๆในทวีปยุโรป

กลับคืนสู่เกาะอังกฤษ

ภายหลังสัญญาระหว่างร็อบสันกับพีเอสวีหมดลง เขาได้กลับสู่อังกฤษอีกครั้ง และมีตำแหน่งในทีมชาติอังกฤษด้วย[8] แต่หลังจากนั้น รุด กุลลิท ผู้จัดการทีมนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง บอร์ดบริหารจึงตัดสินใจแต่งตั้งให้ร็อบสันดำรงตำแหน่งแทนในวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1999[9] และสโมสรก็ได้ทำให้ร็อบสันเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมากเนื่องจากให้เงินค่าซื้อขายเพียง 1 ล้านปอนด์เท่านั้น[10]

ในนัดแรกที่ร็อบสันคุมทีม เขาสามารถพาทีมถล่มเชฟฟิลด์เวนส์เดย์ไปได้อย่างขาดลอยถึง 8-0 และพาทีมจบในอันดับที่ 11 ในฤดูกาลแรก โดยจากการแข่ง 32 นัด นิวคาสเซิลสามารถเก็บชัยชนะได้ถึง 14 นัด ภายใต้การคุมทีมของเขา[10][11] หลังปี ค.ศ. 2000 เควิน คีแกน ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ทำให้มีการเจรจาให้ร็อบสันเข้ารับตำแหน่งแทนเป็นการชั่วคราว แต่ร็อบสันก็ได้ปฏิเสธที่จะเข้ารับตำแหน่ง[12] ในฤดูกาล 2001-02 นิวคาสเซิลภายใต้การคุมทีมของร็อบสันสามารถจบฤดูกาลได้ในอันดับที่ 4 ของตาราง[13] ในฤดูกาลถัดมานิวคาสเซิลจบฤดูกาลในอันดับที่ 3 ของตาราง พร้อมทั้งได้สิทธิ์ลงแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบคัดเลือก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน[14] อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถพาทีมให้เขารอบต่อไปได้ ทำให้ต้องแข่งขันยูฟ่าคัพแทนในฤดูกาล 2003-04[15] โดยในฤดูกาล 2003-04 นิวคาสเซิลจบฤดูกาลในอันดับที่ 5 ของตาราง ห่างจากทีมอันดับที่ 4 เพียง 4 คะแนนเท่านั้น ทำให้ในฤดูกาล 2004-05 นิวคาสเซิลไม่สามารถแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ แต่ต้องไปแข่งขันยูฟ่าคัพแทน[16]

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2004 เฟรดดี เชพเพิร์ด ประธานสโมสร ประกาศปลดร็อบสันออกจากตำแหน่ง เนื่องจากเริ่มฤดูกาลใหม่อย่างย่ำแย่ และขัดแย้งกับนักเตะ[17] โดยสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง แกรม ซูเนสส์ เข้าดำรงตำแหน่งแทนร็อบสัน

ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์

ในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2005 เขาได้ปฏิเสธข้อเสนอของฮาร์ทส์ที่ต้องการให้เขาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีม เนื่องจากเขาต้องการอาศัยอยู่ที่นิวคาสเซิล[18] ต่อมาในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2006 สตีฟ สตอนตัน เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติไอร์แลนด์ โดยพร้อมกันนี้ได้แต่งตั้งให้ร็อบสันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้วย[19] และเขาก็ได้ประกาศรีไทร์จากวงการฟุตบอลด้วยเหตุผลด้านสุขภาพใน ค.ศ. 2007

ชีวิตนอกสนามฟุตบอล

ชีวิตส่วนตัว

ร็อบสันสมรสกับเอลซีตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1995[20] มีลูกชาย 3 คน คือ แอนดรูว์, พอล และมาร์ค[1][21]

ตั้งแต่ ค.ศ. 1992 เป็นต้นมา ร็อบสันจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในบางครั้งนั้นต้องมีการผ่าตัดด้วย ทำให้ส่งผลต่อด้านการงานของเขาเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างสมัยที่เขาเป็นผู้จัดการทีมเอฟซีปอร์โต เขาต้องพลาดการคุมทีมหลายเดือนในฤดูกาล 1995-96 เนื่องจากตรวจพบว่าเป็นมะเร็งผิวหนัง และเนื้องอกในปอดข้างขวา[22][23]

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 ร็อบสันเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งอีกเป็นครั้งที่ 5 ต่อมาวันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพที่สนามเวมบลีย์ ซึ่งปอร์ทสมัธเอาชนะคาร์ดิฟฟ์ซิตีไปได้ 1-0 โดยเขาเป็นผู้มอบถ้วยแชมป์ให้กับ โซล แคมป์เบลล์ กัปตันทีมปอร์ทสมัธ

การเสียชีวิต

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ร็อบสันเสียชีวิตลงอย่างสงบในขณะที่มีอายุ 76 ปี ด้วยโรคมะเร็ง[24]ที่บ้านของเขา หลังจากที่ป่วยมานานถึง 15 ปี หลังจากมีการเผยแพร่ข่าวการเสียชีวิตของเขาไปทั่วโลก ทำให้คนในแวดวงต่างๆเกิดความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ออกมาสดุดีร็อบสันว่าเป็นยอดคนของวงการลูกหนัง โดยเฟอร์กูสันกล่าวว่า "ผมเสียใจมากต่อการจากไปของเพื่อนผู้ยิ่งใหญ่ ของบุคคลที่มหัศจรรย์ และเป็นคนที่มีความรู้ในเกมอย่างสูง" ส่วน กอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก็ร่วมกล่าวไว้อาลัยร็อบสันเช่นกัน โดยบราวน์กล่าวว่า "ผมรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของ เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน ผมเคยได้พบกับบ็อบบี้ในหลายๆโอกาส เขาคือภาพรวมที่ชัดเจนสำหรับทุกๆเรื่องราวอันยอดเยี่ยมเกี่ยวกับฟุตบอลในประเทศนี้"[25]

กิจกรรมอื่นๆ

มูลนิธิ เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน

เกียรติยศ

สถิติในฐานะผู้จัดการทีม

สถิติการคุมทีม

ทีม ประเทศ ตั้งแต่ ถึง Record
แข่ง ชนะ แพ้ เสมอ ชนะ %
ฟูแลม อังกฤษ มกราคม 1968 พฤศจิกายน 1968 36 6 21 9 16.67
อิปสวิชทาวน์[26] อังกฤษ มกราคม 1969 สิงหาคม 1982 709 316 220 173 44.57
ทีมชาติอังกฤษ[27] อังกฤษ 1982 1990 95 47 18 30 49.47
พีเอสวีไอนด์โฮเฟน เนเธอร์แลนด์ 1990 1992 76 52 7 17 68.42
สปอร์ติงลิสบอน โปรตุเกส 1992 1994 59 34 12 13 57.63
เอฟซีปอร์โต โปรตุเกส 1994 1996 120 86 11 23 71.67
บาร์เซโลนา สเปน 1996 1997 58 38 8 12 65.52
พีเอสวีไอนด์โฮเฟน เนเธอร์แลนด์ 1998 1999 38 20 8 10 52.63
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด อังกฤษ กันยายน 1999 สิงหาคม 2004 255 119 72 64 46.67
ทั้งหมด 1446 718 377 351 49.65

เกียรติยศจากการคุมทีม

เกียรติยศ ทีม ปี
Texaco Cup อิปสวิชทาวน์ 1973
เอฟเอคัพ 1978
ยูฟ่าคัพ 1981
Rous Cup ทีมชาติอังกฤษ 1986, 1988, 1989
พรีเมียร์ดัตช์ พีเอสวีไอนด์โฮเฟน 1991, 1992
คัพออฟโปรตุเกส เอฟซีปอร์โต 1994
โปรตุกีสแชมเปียนชิพ 1995, 1996
สเปนิชซูเปอร์คัพ บาร์เซโลนา 1996
โคปาเดลดีเลย์ 1997
ยูโรเปียนคัพวินเนอร์คัพ 1997

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 "Sir Bobby: My fight against cancer". Daily Mail. 2007-05-05. สืบค้นเมื่อ 2007-05-15.
  2. "Robson: Dream to manage Newcastle". BBC Sport. 1999-09-30. สืบค้นเมื่อ 2007-06-13.
  3. Robson. Farewell but Not Goodbye. p. 15.
  4. Robson. Farewell but Not Goodbye. p. 299.
  5. "Final 1967/1968 English Division 1 (old) Table". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 2007-08-27.
  6. Robson. Farewell but Not Goodbye. p. 66.
  7. "Bobby Robson". Fulham F.C. สืบค้นเมื่อ 2007-05-16.
  8. "Robson: Dream to manage Newcastle". BBC Sport. 1999-08-30. สืบค้นเมื่อ 2007-08-17.
  9. "Robson takes Newcastle hotseat". BBC Sport. 1999-09-03. สืบค้นเมื่อ 2007-05-15.
  10. 10.0 10.1 Robson. "Going home". Farewell but Not Goodbye. p. 190.
  11. "England 1999/2000". rsssf.com. สืบค้นเมื่อ 2007-08-26.
  12. Brian McNally (2000-10-15). "Football: FA Warned: Hands off our Bobby". findarticles.com, originally Sunday Mirror. สืบค้นเมื่อ 2007-05-15.
  13. "FA Premier League 2001-2002". fchd.btinternet.co.uk. สืบค้นเมื่อ 2007-08-26.
  14. "FA Premier League - 2002-03". fchd.btinternet.co.uk. สืบค้นเมื่อ 2007-08-26.
  15. Michael Walker. "Newcastle pay price of failure | Football | The Guardian". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 2008-09-13.
  16. "2003/2004 | Newcastle United | nufc.co.uk | Matches | Tables". Nufc.premiumtv.co.uk. สืบค้นเมื่อ 2008-09-13.
  17. "Newcastle force Robson out". BBC Sport. 2004-08-30. สืบค้นเมื่อ 2007-05-14.
  18. "Robson rejects approach by Hearts". BBC Sport. 2005-06-07. สืบค้นเมื่อ 2007-05-15.
  19. "Republic appoint Staunton as boss". BBC Sport. 2006-01-13. สืบค้นเมื่อ 2007-05-14.
  20. "Bobby Robson diagnosed With Cancer for Fifth time". Medindia.net. 2007-05-07. สืบค้นเมื่อ 2009-07-31.
  21. "Sir Bobby Robson receives knighthood". BBC News. 2002-11-21. สืบค้นเมื่อ 2007-05-15.
  22. Robson. Farewell but Not Goodbye. pp. 162–68.
  23. "Robson discharged from hospital". BBC. 2006-08-07. สืบค้นเมื่อ 2007-05-13.
  24. Jonathan Stewart. "Football legend Sir Bobby Robson dies". 4ni.co.uk. สืบค้นเมื่อ 2009-07-31.
  25. Football honours Sir Bobby Robson BBC News 2009-08-01
  26. "Bobby Robson". Pride of Anglia. สืบค้นเมื่อ 2008-02-14.
  27. "England Hall of Fame". FA.com. สืบค้นเมื่อ 2007-05-14.

แหล่งข้อมูลอื่น