ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาในอิตาลี"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Mattis (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Mattis (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 9: บรรทัด 9:


ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลีเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในความสำเร็จทางด้าน[[วัฒนธรรม]] [[วรรณกรรมฟื้นฟูศิลปวิทยา]]ของอิตาลีรวม[[ลัทธิมนุษยนิยม|นักมนุษยนิยม]]ผู้มีชื่อเสียงเช่น[[เปตราก]]ที่รู้จักกันดีในงาน[[ซอนเน็ต]] “Il Canzoniere”; [[จิโอวานนิ บอคคาซิโอ]] (Giovanni Boccaccio) ในงานเรื่องเล่า “Decameron” และ[[นักมนุษย์วิทยาเรอเนสซองซ์]]เช่น[[โปลิซิอาโน]] (Poliziano), [[มาร์ซิลิโอ ฟิซิโน]] (Marsilio Ficino), [[โลเร็นโซ วาลลา]] (Lorenzo Valla), [[อัลโด มานูซิโอ]] (Aldo Manuzio), [[โพจจิโอ บราชชิโอลินิ]] (Poggio Bracciolini) นอกจากนั้นก็มีนักประพันธ์[[มหากาพย์เรอเนสซองซ์]]เช่น[[บัลดัสซาเร คาสติกลิโอเน]] (Baldassare Castiglione) (“The Book of the Courtier”), [[ลุโดวิโค อริโอสโต]] (Ludovico Ariosto) (“Orlando Furioso”) และ[[ทอร์ควาโท ทาสโซ]] (Torquato Tasso) (“Jerusalem Delivered”) และนักประพันธ์ร้อยแก้วเช่น[[นิคโคโล มาเคียเวลลี]] (“The Prince”) [[จิตรกรรมเรอเนสซองซ์อิตาลี]]เป็นจิตรกรรมที่มีอิทธิพลต่อ[[จิตรกรรมตะวันตก]]ต่อมาอีกหลายร้อยปี โดยมีจิตรกรเช่น[[ไมเคิล แอนเจโล]], [[ราฟาเอล]], [[ซานโดร บอตติเชลลี]], [[ทิเชียน]] และ[[เลโอนาร์โด ดา วินชี]] และเช่นเดียวกันกับ[[สถาปัตยกรรมฟื้นฟูศิลปวิทยา]] โดยมีสถาปนิกเช่น[[อันเดรอา ปัลลาดีโอ]] และงานเช่น[[มหาวิหารฟลอเรนซ์]] และ[[มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์]]ในกรุงโรม ในขณะเดียวกันนักประวัติศาสตร์ในปัจจุบันเห็นว่าเป็นสมัยของความหดตัวทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมามีความก้าวหน้ามากกว่าในวัฒนธรรมของโปรเตสแตนต์ในคริสต์ศตวรรษที่ 17
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลีเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในความสำเร็จทางด้าน[[วัฒนธรรม]] [[วรรณกรรมฟื้นฟูศิลปวิทยา]]ของอิตาลีรวม[[ลัทธิมนุษยนิยม|นักมนุษยนิยม]]ผู้มีชื่อเสียงเช่น[[เปตราก]]ที่รู้จักกันดีในงาน[[ซอนเน็ต]] “Il Canzoniere”; [[จิโอวานนิ บอคคาซิโอ]] (Giovanni Boccaccio) ในงานเรื่องเล่า “Decameron” และ[[นักมนุษย์วิทยาเรอเนสซองซ์]]เช่น[[โปลิซิอาโน]] (Poliziano), [[มาร์ซิลิโอ ฟิซิโน]] (Marsilio Ficino), [[โลเร็นโซ วาลลา]] (Lorenzo Valla), [[อัลโด มานูซิโอ]] (Aldo Manuzio), [[โพจจิโอ บราชชิโอลินิ]] (Poggio Bracciolini) นอกจากนั้นก็มีนักประพันธ์[[มหากาพย์เรอเนสซองซ์]]เช่น[[บัลดัสซาเร คาสติกลิโอเน]] (Baldassare Castiglione) (“The Book of the Courtier”), [[ลุโดวิโค อริโอสโต]] (Ludovico Ariosto) (“Orlando Furioso”) และ[[ทอร์ควาโท ทาสโซ]] (Torquato Tasso) (“Jerusalem Delivered”) และนักประพันธ์ร้อยแก้วเช่น[[นิคโคโล มาเคียเวลลี]] (“The Prince”) [[จิตรกรรมเรอเนสซองซ์อิตาลี]]เป็นจิตรกรรมที่มีอิทธิพลต่อ[[จิตรกรรมตะวันตก]]ต่อมาอีกหลายร้อยปี โดยมีจิตรกรเช่น[[ไมเคิล แอนเจโล]], [[ราฟาเอล]], [[ซานโดร บอตติเชลลี]], [[ทิเชียน]] และ[[เลโอนาร์โด ดา วินชี]] และเช่นเดียวกันกับ[[สถาปัตยกรรมฟื้นฟูศิลปวิทยา]] โดยมีสถาปนิกเช่น[[อันเดรอา ปัลลาดีโอ]] และงานเช่น[[มหาวิหารฟลอเรนซ์]] และ[[มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์]]ในกรุงโรม ในขณะเดียวกันนักประวัติศาสตร์ในปัจจุบันเห็นว่าเป็นสมัยของความหดตัวทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมามีความก้าวหน้ามากกว่าในวัฒนธรรมของโปรเตสแตนต์ในคริสต์ศตวรรษที่ 17

==ที่มา==
===อิตาลีตอนเหนือในยุคกลาง===
เมื่อมาถึงปลาย[[สมัยกลาง]]ทางตอนกลางและ[[อิตาลีตอนใต้]]ที่เป็นศูนย์กลางของ[[จักรวรรดิโรมัน]]ก็จนลงกว่าทางเหนือ [[โรม]]เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยซากสิ่งก่อสร้างโบราณและ[[รัฐของพระสันตะปาปา]] (Papal States) ก็เป็นบริเวณการปกครองอย่างหลวมๆ ที่แทบจะไม่มีกฎหมายหรือระบบแต่อย่างใดเพราะสำนักพระสันตะปาปาย้ายไปอยู่ที่[[ราชสำนักพระสันตะปาปาอาวินยอง|อาวินยอง]]โดยความกดดันของ[[พระเจ้าฟิลลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส]] ทางด้านไต้[[เนเปิลส์]], [[ซิซิลี]] และ[[ซาร์ดิเนีย]]ตกอยู่ภายใต้การปกครองของต่างประเทศมาระยะหนึ่งแล้วโดยอาหรับและต่อมาก็โดย[[นอร์มัน]] ซิซิลีมั่งคั่งขึ้นมาเป็นเวลาสองสามร้อยปีระหว่างการปกครองของ[[เอ็มมิเรตแห่งซิซิลี]] (Emirate of Sicily) และเมื่อต้นสมัย[[ราชอาณาจักรซิซิลี]]แต่มาเสื่อมโทรมลงเมื่อมาถึงปลาย[[สมัยกลาง]]

ทางตอนเหนือกลายมามั่งคั่งกว่าทางไต้โดยมีอาณาจักรต่างๆ ทางตอนเหนือที่เป็นอาณาจักรที่ร่ำรวยที่สุดใน[[ยุโรป]] [[สงครามครูเสด]]สร้างเส้นทางการค้าขายกับ[[บริเวณลว้าน]] (Levant) และ[[สงครามครูเสดครั้งที่ 4]] ก็ทำลาย[[จักรวรรดิไบแซนไทน์]]ผู้เป็นคู่แข่งทางการค้าขายชองเวนิสและ[[รัฐอาณาจักรเจนัว]]เกือบหมดสิ้น เส้นทางการค้าขายหลักจากตะวันออกผ่านทะลุจักรวรรดิไบแซนไทน์หรือดินแดนอาหรับ และต่อไปยังเมืองท่าเจนัว, ปิซา และ[[เวนิส]] สินค้าฟุ่มเฟือยที่หาซื้อได้จาก[[บริเวณลว้าน]]ก็ถูกนำเช่นเครื่องเทศ, สีย้อมผ้า และไหมก็ถูกนำเข้ามายังอิตาลีและขายต่อไปยังยุโรป นอกจากนั้น[[นครรัฐ]] (city-state) ที่ไม่ได้อยู่ติดกับทะเลก็ได้รับผลประโยชน์จากการเกษตรกรรมในบริเวณลุ่ม[[แม่น้ำโป]]

จากฝรั่งเศส, เยอรมนี และกลุ่มประเทศต่ำโดย[[เทศกาลสินค้าแชมเปญ]] (Champagne fairs), ทางบก และทางเรือ ก็นำสินค้าเช่นขนแกะ, ข้าวสาลี และโลหะมีค่าเข้ามาในอิตาลี บริเวณการค้าขายตั้งแต่[[อียิปต์]]ไปจนถึง[[บริเวณบอลติค]]ทำให้อิตาลีเป็นแหล่งสินค้าที่เกินเลยที่ทำให้สามารถมีอำนาจในการลงทุนในการทำเหมืองและทำการอุตสาหกรรมได้ ฉะนั้นแม้ว่าทางเหนือของอิตาลีจะไม่ร่ำรวยทางทรัพยากรเมื่อเทียบกับส่วนอื่นของยุโรปแต่การพัฒนาที่เกิดจากการค้าขายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความมั่งคั่ง ฟลอเรนซ์กลายเป็นเมืองที่มั่งคั่งที่สุดทางตอนเหนือของอิตาลีเพราะการผลิตผลิตภัณฑ์ผ้าภายใต้การควบคุมของสมาคมพ่อค้าผ้า “Arte della Lana” ขนแกะนำเข้าจากทางเหนือของยุโรปและในคริสต์ศตวรรษที่ 16 จากสเปน<ref>Jensen, De Lamar. ''Renaissance Europe''. p. 95.</ref> โดยใช้สีย้อมผ้าจากตะวันออกที่ทำให้ผลิตผ้าที่มีคุณภาพสูงได้

นอกจากนั้นเส้นทางการค้าขายของอิตาลีที่รวมบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนและไกลไปจากนั้นก็ยังเป็นที่มาของวัฒนธรรมและความรู้ ในสมัยกลางงานที่เป็นการศึกษาคลาสสิคของกรีกเริ่มเข้ามาสู่ยุโรปตะวันตกโดยงานแปลจากภาษาละตินเป็นภาษาอาหรับจากโทเลโดในสเปน และจากพาเลอร์โมในอิตาลีโดยเฉพาะในช่วงที่เรียกว่า[[ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของคริสต์ศตวรรษที่ 12]] หลังจากที่เสปนได้รับชัยชนะต่ออาหรับ (Reconquista) ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ก็ทำให้งานแปลจากภาษาอาหรับในสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์, ปรัชญา, และคณิตศาสตร์เผยแพร่เข้ามายังทางตอนเหนือของอิตาลี หลังจาก[[การเสียเมืองคอนสแตนติโนเปิล]] (Fall of Constantinople) ในปี ค.ศ. 1453 ก็มีผู้คงแก่เรียนกรีกจำนวนมากที่ลี้ภัยเข้ามายังอิตาลีซึ่งเป็นชนวนที่ทำให้เกิดความสนใจในการศึกษาทางภาษาศาสตร์ระหว่างยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาและช่วยฟื้นฟูสถาบันการศึกษาในฟลอเรนซ์และเวนิส นักมนุษยนิยมเที่ยวค้นหาในห้องสมุดของสำนักสงฆ์เพื่อหาหนังสือโบราณและพบงานของนักประพันธ์ภาษาละตินสำคัญๆ มากมายเช่น[[แทซิทัส]] นอกจากนั้นก็ยังพบทฤษฎีพื้นฐานทางสถาปัตยกรรมของ[[วิทรูเวียส]] สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ความเจริญทางวัฒนธรรมในด้านต่างๆ รุ่งเรืองขึ้น


== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==
บรรทัด 23: บรรทัด 33:
*Raffini, Christine, ''Marsilio Ficino, Pietro Bembo, Baldassare Castiglione: Philosophical, Aesthetic, and Political Approaches in Renaissance Platonism''. Renaissance and Baroque Studies and Texts, v.21, Peter Lang Publishing, 1998. ISBN 0-8204-3023-4
*Raffini, Christine, ''Marsilio Ficino, Pietro Bembo, Baldassare Castiglione: Philosophical, Aesthetic, and Political Approaches in Renaissance Platonism''. Renaissance and Baroque Studies and Texts, v.21, Peter Lang Publishing, 1998. ISBN 0-8204-3023-4
* Capra, Fritjof (2008), The Science of Leonardo. Inside the Mind of the Great Genius of the Renaissance. Doubleday ISBN:978-0-385-51390-6
* Capra, Fritjof (2008), The Science of Leonardo. Inside the Mind of the Great Genius of the Renaissance. Doubleday ISBN:978-0-385-51390-6

==ที่มา==
===อิตาลีตอนเหนือในยุคกลาง===
เมื่อมาถึงปลาย[[สมัยกลาง]]ทางตอนกลางและ[[อิตาลีตอนใต้]]ที่เป็นศูนย์กลางของ[[จักรวรรดิโรมัน]]ก็จนลงกว่าทางเหนือ [[โรม]]เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยซากสิ่งก่อสร้างโบราณและ[[รัฐของพระสันตะปาปา]] (Papal States) ก็เป็นบริเวณการปกครองอย่างหลวมๆ ที่แทบจะไม่มีกฎหมายหรือระบบแต่อย่างใดเพราะสำนักพระสันตะปาปาย้ายไปอยู่ที่[[ราชสำนักพระสันตะปาปาอาวินยอง|อาวินยอง]]โดยความกดดันของ[[พระเจ้าฟิลลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส]] ทางด้านไต้[[เนเปิลส์]], [[ซิซิลี]] และ[[ซาร์ดิเนีย]]ตกอยู่ภายใต้การปกครองของต่างประเทศมาระยะหนึ่งแล้วโดยอาหรับและต่อมาก็โดย[[นอร์มัน]] ซิซิลีมั่งคั่งขึ้นมาเป็นเวลาสองสามร้อยปีระหว่างการปกครองของ[[เอ็มมิเรตแห่งซิซิลี]] (Emirate of Sicily) และเมื่อต้นสมัย[[ราชอาณาจักรซิซิลี]]แต่มาเสื่อมโทรมลงเมื่อมาถึงปลาย[[สมัยกลาง]]

ทางตอนเหนือกลายมามั่งคั่งกว่าทางไต้โดยมีอาณาจักรต่างๆ ทางตอนเหนือที่เป็นอาณาจักรที่ร่ำรวยที่สุดใน[[ยุโรป]] [[สงครามครูเสด]]สร้างเส้นทางการค้าขายกับ[[บริเวณลว้าน]] (Levant) และ[[สงครามครูเสดครั้งที่ 4]] ก็ทำลาย[[จักรวรรดิไบแซนไทน์]]ผู้เป็นคู่แข่งทางการค้าขายชองเวนิสและ[[รัฐอาณาจักรเจนัว]]เกือบหมดสิ้น เส้นทางการค้าขายหลักจากตะวันออกผ่านทะลุจักรวรรดิไบแซนไทน์หรือดินแดนอาหรับ และต่อไปยังเมืองท่าเจนัว, ปิซา และ[[เวนิส]] สินค้าฟุ่มเฟือยที่หาซื้อได้จาก[[บริเวณลว้าน]]ก็ถูกนำเช่นเครื่องเทศ, สีย้อมผ้า และไหมก็ถูกนำเข้ามายังอิตาลีและขายต่อไปยังยุโรป นอกจากนั้น[[นครรัฐ]] (city-state) ที่ไม่ได้อยู่ติดกับทะเลก็ได้รับผลประโยชน์จากการเกษตรกรรมในบริเวณลุ่ม[[แม่น้ำโป]]

จากฝรั่งเศส, เยอรมนี และกลุ่มประเทศต่ำโดย[[เทศกาลสินค้าแชมเปญ]] (Champagne fairs), ทางบก และทางเรือ ก็นำสินค้าเช่นขนแกะ, ข้าวสาลี และโลหะมีค่าเข้ามาในอิตาลี บริเวณการค้าขายตั้งแต่[[อียิปต์]]ไปจนถึง[[บริเวณบอลติค]]ทำให้อิตาลีเป็นแหล่งสินค้าที่เกินเลยที่ทำให้สามารถมีอำนาจในการลงทุนในการทำเหมืองและทำการอุตสาหกรรมได้ ฉะนั้นแม้ว่าทางเหนือของอิตาลีจะไม่ร่ำรวยทางทรัพยากรเมื่อเทียบกับส่วนอื่นของยุโรปแต่การพัฒนาที่เกิดจากการค้าขายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความมั่งคั่ง ฟลอเรนซ์กลายเป็นเมืองที่มั่งคั่งที่สุดทางตอนเหนือของอิตาลีเพราะการผลิตผลิตภัณฑ์ผ้าภายใต้การควบคุมของสมาคมพ่อค้าผ้า “Arte della Lana” ขนแกะนำเข้าจากทางเหนือของยุโรปและในคริสต์ศตวรรษที่ 16 จากสเปน<ref>Jensen, De Lamar. ''Renaissance Europe''. p. 95.</ref> โดยใช้สีย้อมผ้าจากตะวันออกที่ทำให้ผลิตผ้าที่มีคุณภาพสูงได้

นอกจากนั้นเส้นทางการค้าขายของอิตาลีที่รวมบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนและไกลไปจากนั้นก็ยังเป็นที่มาของวัฒนธรรมและความรู้ ในสมัยกลางงานที่เป็นการศึกษาคลาสสิคของกรีกเริ่มเข้ามาสู่ยุโรปตะวันตกโดยงานแปลจากภาษาละตินเป็นภาษาอาหรับจากโทเลโดในสเปน และจากพาเลอร์โมในอิตาลีโดยเฉพาะในช่วงที่เรียกว่า[[ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของคริสต์ศตวรรษที่ 12]] หลังจากที่เสปนได้รับชัยชนะต่ออาหรับ (Reconquista) ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ก็ทำให้งานแปลจากภาษาอาหรับในสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์, ปรัชญา, และคณิตศาสตร์เผยแพร่เข้ามายังทางตอนเหนือของอิตาลี หลังจาก[[การเสียเมืองคอนสแตนติโนเปิล]] (Fall of Constantinople) ในปี ค.ศ. 1453 ก็มีผู้คงแก่เรียนกรีกจำนวนมากที่ลี้ภัยเข้ามายังอิตาลีซึ่งเป็นชนวนที่ทำให้เกิดความสนใจในการศึกษาทางภาษาศาสตร์ระหว่างยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาและช่วยฟื้นฟูสถาบันการศึกษาในฟลอเรนซ์และเวนิส นักมนุษยนิยมเที่ยวค้นหาในห้องสมุดของสำนักสงฆ์เพื่อหาหนังสือโบราณและพบงานของนักประพันธ์ภาษาละตินสำคัญๆ มากมายเช่น[[แทซิทัส]] นอกจากนั้นก็ยังพบทฤษฎีพื้นฐานทางสถาปัตยกรรมของ[[วิทรูเวียส]] สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ความเจริญทางวัฒนธรรมในด้านต่างๆ รุ่งเรืองขึ้น



== ดูเพิ่ม ==
== ดูเพิ่ม ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 07:05, 2 พฤษภาคม 2552


ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอิตาลี (ภาษาอังกฤษ: Italian Renaissance) เป็นจุดแรกของการเริ่มยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาซึ่งเป็นช่วงเวลาของความเจริญทางวัฒนธรรมที่สูงสุดในยุโรปที่เริ่มตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ไปจนสิ้นสุดลงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 ที่เป็นช่วงเวลาที่เชื่อมระหว่างยุคกลางของยุโรปกับยุโรปสมัยใหม่ตอนต้น (Early Modern Europe)

คำว่า “เรอเนสซองซ์” เป็นคำสมัยใหม่ที่มาใช้กันในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในงานของนักประวัติศาสตร์เช่นเจคอป เบิร์คฮาร์ดท์ (Jacob Burckhardt) ที่มาของขบวนการฟื้นฟูศิลปวิทยาจะเริ่มจากการวิวัฒนาการทางวรรณกรรมของผู้ก่อตั้งในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14 แต่ วัฒนธรรมด้านอื่นๆของอิตาลีในขณะนั้นยังคงเป็นวัฒนธรรมของยุคกลาง ปรัชญาฟื้นฟูศิลปวิทยามิได้แพร่หลายอย่างเต็มที่จนกระทั่งปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 คำว่า “เรอเนสซองซ์” หรือ “Rinascimento” ในภาษาอิตาลีหมายความว่า “เกิดใหม่” และเป็นสมัยที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในการฟื้นฟูความสนใจในวัฒนธรรมของกรีกโรมันหลังจากสมัยที่นักมนุษย์วิทยาเรอเนสซองซ์ (Renaissance humanist) ตั้งชื่อว่ายุคมืด (Dark Ages) ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญแต่จำกัดอยู่แต่ในกลุ่มชนชั้นสูงและทิ้งให้ประชากรส่วนใหญ่ในยุโรปยังมีความเป็นอยู่ที่ไม่ต่างจากสมัยกลางที่ผ่านมา

ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลีเริ่มในทัสเคนีโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ฟลอเรนซ์และเซียนา และต่อมาในเวนิสที่มีผลเป็นอันมาก เพราะงานต่างๆ ของกรีกโบราณถูกนำไปรวบรวมไว้ที่เวนิสซึ่งทำให้กลายเป็นแหล่งความรู้ต่างๆ ที่ใหม่ๆ ให้แก่นักมนุษยนิยม ผู้คงแก่เรียนในเวนิสในขณะนั้น ต่อมาปรัชญาฟื้นฟูศิลปวิทยาก็มามีอิทธิพลในกรุงโรม ที่ทำให้เกิดการสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ๆ มากมายที่ส่วนใหญ่โดยการอุปถัมภ์ของพระสันตปาปาในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลีรุ่งเรืองที่สุดในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 หลังจากนั้นก็ลดถอยลงหลังจากการรุกรานจากต่างประเทศที่ก่อให้สงครามในอิตาลี แต่การฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลีก็มิได้หยุดนิ่งลงแต่เผยแพร่ไปทั่วยุโรปและเริ่มยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนเหนือของยุโรปและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอังกฤษและประเทศอื่นๆ ในยุโรป

ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลีเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในความสำเร็จทางด้านวัฒนธรรม วรรณกรรมฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลีรวมนักมนุษยนิยมผู้มีชื่อเสียงเช่นเปตรากที่รู้จักกันดีในงานซอนเน็ต “Il Canzoniere”; จิโอวานนิ บอคคาซิโอ (Giovanni Boccaccio) ในงานเรื่องเล่า “Decameron” และนักมนุษย์วิทยาเรอเนสซองซ์เช่นโปลิซิอาโน (Poliziano), มาร์ซิลิโอ ฟิซิโน (Marsilio Ficino), โลเร็นโซ วาลลา (Lorenzo Valla), อัลโด มานูซิโอ (Aldo Manuzio), โพจจิโอ บราชชิโอลินิ (Poggio Bracciolini) นอกจากนั้นก็มีนักประพันธ์มหากาพย์เรอเนสซองซ์เช่นบัลดัสซาเร คาสติกลิโอเน (Baldassare Castiglione) (“The Book of the Courtier”), ลุโดวิโค อริโอสโต (Ludovico Ariosto) (“Orlando Furioso”) และทอร์ควาโท ทาสโซ (Torquato Tasso) (“Jerusalem Delivered”) และนักประพันธ์ร้อยแก้วเช่นนิคโคโล มาเคียเวลลี (“The Prince”) จิตรกรรมเรอเนสซองซ์อิตาลีเป็นจิตรกรรมที่มีอิทธิพลต่อจิตรกรรมตะวันตกต่อมาอีกหลายร้อยปี โดยมีจิตรกรเช่นไมเคิล แอนเจโล, ราฟาเอล, ซานโดร บอตติเชลลี, ทิเชียน และเลโอนาร์โด ดา วินชี และเช่นเดียวกันกับสถาปัตยกรรมฟื้นฟูศิลปวิทยา โดยมีสถาปนิกเช่นอันเดรอา ปัลลาดีโอ และงานเช่นมหาวิหารฟลอเรนซ์ และมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงโรม ในขณะเดียวกันนักประวัติศาสตร์ในปัจจุบันเห็นว่าเป็นสมัยของความหดตัวทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมามีความก้าวหน้ามากกว่าในวัฒนธรรมของโปรเตสแตนต์ในคริสต์ศตวรรษที่ 17

ที่มา

อิตาลีตอนเหนือในยุคกลาง

เมื่อมาถึงปลายสมัยกลางทางตอนกลางและอิตาลีตอนใต้ที่เป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันก็จนลงกว่าทางเหนือ โรมเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยซากสิ่งก่อสร้างโบราณและรัฐของพระสันตะปาปา (Papal States) ก็เป็นบริเวณการปกครองอย่างหลวมๆ ที่แทบจะไม่มีกฎหมายหรือระบบแต่อย่างใดเพราะสำนักพระสันตะปาปาย้ายไปอยู่ที่อาวินยองโดยความกดดันของพระเจ้าฟิลลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทางด้านไต้เนเปิลส์, ซิซิลี และซาร์ดิเนียตกอยู่ภายใต้การปกครองของต่างประเทศมาระยะหนึ่งแล้วโดยอาหรับและต่อมาก็โดยนอร์มัน ซิซิลีมั่งคั่งขึ้นมาเป็นเวลาสองสามร้อยปีระหว่างการปกครองของเอ็มมิเรตแห่งซิซิลี (Emirate of Sicily) และเมื่อต้นสมัยราชอาณาจักรซิซิลีแต่มาเสื่อมโทรมลงเมื่อมาถึงปลายสมัยกลาง

ทางตอนเหนือกลายมามั่งคั่งกว่าทางไต้โดยมีอาณาจักรต่างๆ ทางตอนเหนือที่เป็นอาณาจักรที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรป สงครามครูเสดสร้างเส้นทางการค้าขายกับบริเวณลว้าน (Levant) และสงครามครูเสดครั้งที่ 4 ก็ทำลายจักรวรรดิไบแซนไทน์ผู้เป็นคู่แข่งทางการค้าขายชองเวนิสและรัฐอาณาจักรเจนัวเกือบหมดสิ้น เส้นทางการค้าขายหลักจากตะวันออกผ่านทะลุจักรวรรดิไบแซนไทน์หรือดินแดนอาหรับ และต่อไปยังเมืองท่าเจนัว, ปิซา และเวนิส สินค้าฟุ่มเฟือยที่หาซื้อได้จากบริเวณลว้านก็ถูกนำเช่นเครื่องเทศ, สีย้อมผ้า และไหมก็ถูกนำเข้ามายังอิตาลีและขายต่อไปยังยุโรป นอกจากนั้นนครรัฐ (city-state) ที่ไม่ได้อยู่ติดกับทะเลก็ได้รับผลประโยชน์จากการเกษตรกรรมในบริเวณลุ่มแม่น้ำโป

จากฝรั่งเศส, เยอรมนี และกลุ่มประเทศต่ำโดยเทศกาลสินค้าแชมเปญ (Champagne fairs), ทางบก และทางเรือ ก็นำสินค้าเช่นขนแกะ, ข้าวสาลี และโลหะมีค่าเข้ามาในอิตาลี บริเวณการค้าขายตั้งแต่อียิปต์ไปจนถึงบริเวณบอลติคทำให้อิตาลีเป็นแหล่งสินค้าที่เกินเลยที่ทำให้สามารถมีอำนาจในการลงทุนในการทำเหมืองและทำการอุตสาหกรรมได้ ฉะนั้นแม้ว่าทางเหนือของอิตาลีจะไม่ร่ำรวยทางทรัพยากรเมื่อเทียบกับส่วนอื่นของยุโรปแต่การพัฒนาที่เกิดจากการค้าขายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความมั่งคั่ง ฟลอเรนซ์กลายเป็นเมืองที่มั่งคั่งที่สุดทางตอนเหนือของอิตาลีเพราะการผลิตผลิตภัณฑ์ผ้าภายใต้การควบคุมของสมาคมพ่อค้าผ้า “Arte della Lana” ขนแกะนำเข้าจากทางเหนือของยุโรปและในคริสต์ศตวรรษที่ 16 จากสเปน[1] โดยใช้สีย้อมผ้าจากตะวันออกที่ทำให้ผลิตผ้าที่มีคุณภาพสูงได้

นอกจากนั้นเส้นทางการค้าขายของอิตาลีที่รวมบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนและไกลไปจากนั้นก็ยังเป็นที่มาของวัฒนธรรมและความรู้ ในสมัยกลางงานที่เป็นการศึกษาคลาสสิคของกรีกเริ่มเข้ามาสู่ยุโรปตะวันตกโดยงานแปลจากภาษาละตินเป็นภาษาอาหรับจากโทเลโดในสเปน และจากพาเลอร์โมในอิตาลีโดยเฉพาะในช่วงที่เรียกว่ายุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของคริสต์ศตวรรษที่ 12 หลังจากที่เสปนได้รับชัยชนะต่ออาหรับ (Reconquista) ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ก็ทำให้งานแปลจากภาษาอาหรับในสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์, ปรัชญา, และคณิตศาสตร์เผยแพร่เข้ามายังทางตอนเหนือของอิตาลี หลังจากการเสียเมืองคอนสแตนติโนเปิล (Fall of Constantinople) ในปี ค.ศ. 1453 ก็มีผู้คงแก่เรียนกรีกจำนวนมากที่ลี้ภัยเข้ามายังอิตาลีซึ่งเป็นชนวนที่ทำให้เกิดความสนใจในการศึกษาทางภาษาศาสตร์ระหว่างยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาและช่วยฟื้นฟูสถาบันการศึกษาในฟลอเรนซ์และเวนิส นักมนุษยนิยมเที่ยวค้นหาในห้องสมุดของสำนักสงฆ์เพื่อหาหนังสือโบราณและพบงานของนักประพันธ์ภาษาละตินสำคัญๆ มากมายเช่นแทซิทัส นอกจากนั้นก็ยังพบทฤษฎีพื้นฐานทางสถาปัตยกรรมของวิทรูเวียส สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ความเจริญทางวัฒนธรรมในด้านต่างๆ รุ่งเรืองขึ้น

อ้างอิง

  1. Jensen, De Lamar. Renaissance Europe. p. 95.
  • Baron, Hans. The Crisis of the Early Italian Renaissance: Civic Humanism and Republican Liberty in an Age of Classicism and Tyranny. Princeton: Princeton University Press, 1966.
  • Jacob Burckhardt (1878), The Civilization of the Renaissance in Italy, trans. S.G.C Middlemore[1]
  • Burke, Peter. The Italian Renaissance: Culture and Society in Italy Princeton: Princeton University Press, 1999.
  • Vincent Cronin, The Florentine Renaissance (1967) ISBN 0-00-211262-0; The Flowering of the Renaissance (1969) ISBN 0-7126-9884-1; The Renaissance (1992) ISBN 0-00-215411-0
  • Hagopian, Viola L. "Italy", in The New Grove Dictionary of Music and Musicians, ed. Stanley Sadie. 20 vol. London, Macmillan Publishers Ltd., 1980. ISBN
  • Denys Hay. The Italian Renaissance in Its Historical Background. Cambridge: Cambridge University Press, 1977.
  • Jensen, De Lamar (1992), Renaissance Europe (ISBN)
  • Lopez, Robert Sabatino, The Three Ages of the Italian Renaissance Charlottesville: University Press of Virginia, 1970.
  • Pullan, Brian S. History of Early Renaissance Italy. London: Lane, 1973.
  • Raffini, Christine, Marsilio Ficino, Pietro Bembo, Baldassare Castiglione: Philosophical, Aesthetic, and Political Approaches in Renaissance Platonism. Renaissance and Baroque Studies and Texts, v.21, Peter Lang Publishing, 1998. ISBN 0-8204-3023-4
  • Capra, Fritjof (2008), The Science of Leonardo. Inside the Mind of the Great Genius of the Renaissance. Doubleday ISBN:978-0-385-51390-6

ดูเพิ่ม