ผลต่างระหว่างรุ่นของ "คดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2551"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 33: บรรทัด 33:
คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ตั้งคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนขึ้น โดยมีนายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ เป็นประธาน คณะอนุกรรมการให้เจ้าหน้าที่ กกต.ประสานงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อเปิดโอกาสให้ไปชี้แจงกรณีที่ถูกพาดพิง<ref>ข่าวสด, อนุฯ กกต.เรียกชี้แจงคดีนอมินี, 1 เมษายน 2551, หน้า 10</ref> และ กกต.เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการขยายเวลาสอบสวนไปอีก 15 วันนับตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2551<ref>มติชน, [http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0102160451&day=2008-04-16&sectionid=0101 ชุด"ไพฑูรย์"เล็งยกกม.ทาบ ส่อสรุป"พปช."นอมินี"ทรท."], 16 เมษายน 2551</ref>
คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ตั้งคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนขึ้น โดยมีนายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ เป็นประธาน คณะอนุกรรมการให้เจ้าหน้าที่ กกต.ประสานงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อเปิดโอกาสให้ไปชี้แจงกรณีที่ถูกพาดพิง<ref>ข่าวสด, อนุฯ กกต.เรียกชี้แจงคดีนอมินี, 1 เมษายน 2551, หน้า 10</ref> และ กกต.เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการขยายเวลาสอบสวนไปอีก 15 วันนับตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2551<ref>มติชน, [http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0102160451&day=2008-04-16&sectionid=0101 ชุด"ไพฑูรย์"เล็งยกกม.ทาบ ส่อสรุป"พปช."นอมินี"ทรท."], 16 เมษายน 2551</ref>


วันที่ 1 พฤษภาคม 2551 คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณากรณีดังกล่าวโดยแบ่งเป็นสองประเด็น คำร้องของนายประสิทธิ์นั้น กกต.มีมติ 4 ต่อ 1 ให้ยกคำร้อง เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดได้ ส่วนคำร้องของนายวีระ กกต.มีมติ 3:1:1 สามเสียงเห็นว่าปรากฏหลักฐานเพียงพอที่พรรคพลังประชาชนเข้าข่ายเป็นตัวแทนของพรรคไทยรักไทย แต่เมื่อพิจารณาตามกฎหมายแล้วไม่เข้าข่ายมีความผิดตามมาตราใดของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง หนึ่งเสียงเห็นว่าไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิดและไม่มีพฤติการณ์เข้าองค์ประกอบความผิด ส่วนอีกหนึ่งเสียงเห็นว่าควรแจ้งนายทะเบียนพรรคดำเนินการตรวจ
วันที่ 1 พฤษภาคม 2551 คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณากรณีดังกล่าวโดยแบ่งเป็นสองประเด็น คำร้องของนายประสิทธิ์นั้น กกต.มีมติ 4 ต่อ 1 ให้ยกคำร้อง เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดได้ ส่วนคำร้องของนายวีระ กกต.มีมติ 3:1:1 สามเสียงเห็นว่าปรากฏหลักฐานเพียงพอที่พรรคพลังประชาชนเข้าข่ายเป็นตัวแทนของพรรคไทยรักไทย แต่เมื่อพิจารณาตามกฎหมายแล้วไม่เข้าข่ายมีความผิดตามมาตราใดของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง หนึ่งเสียงเห็นว่าไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิดและไม่มีพฤติการณ์เข้าองค์ประกอบความผิด ส่วนอีกหนึ่งเสียงเห็นว่าควรแจ้งนายทะเบียนพรรคดำเนินการตรวจ
สรุปคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ
ผลการตัดสิน
เวลา 12.00-13.32 น.คณะตุลาการรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยกรณีอัยการสูงสุดมีคำร้องให้ยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย

และพรรคมัชฌิมาธิปไตยโดยมีคำสั่งให้ยุบพรรคทั้ง3พรรค รวมทั้งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งต่อกรรมการบริหารพรรคเป็นจำนวน 37 คน, 43 คน, และ 29 คน ตามลำดับ มีกำหนด 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญคำสั่งให้ยุบพรรคสามารถสรุปได้ดังนี้
ในวันที่2 ธันวาคม พ.ศ.2551 ในที่สุดผลจากคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้อ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และ พรรคมัชฌิมาธิปไตย อันเนื่องมาจากกรณีทุจริตการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช แสดงให้เห็นว่าการได้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินที่ผ่านมานั้นไม่ใช่วิถี ทางของประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการได้มาซึ่งอำนาจด้วยการทุจริตการเลือกตั้ง
สำหรับกรณีของพรรคพลังประชาชน นั้น ตุลาการรัฐธรรมนูญ ระบุว่ากรณีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคกระทำการฝ่าฝืนและขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.พ.ศ.2550 ที่มีผลทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริต และได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่พรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ ต้องร่วมรับผิดชอบ
ศาลรัฐธรรมนูญจึงตัดสินยุบ พรรคพลังประชาชน, พรรคมัชฌิมาธิปไตย, พรรคชาติไทยและตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา5ปี
ศาลวินิจฉัยแล้วเห็นว่าคำแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกร้องฟังไม่ขึ้น เนื่องจากนายยงยุทธ เป็นนักการเมืองหลายสมัย มีฐานะเป็นถึงรองหัวหน้าพรรค และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ย่อมต้องเพิ่มความเข้มงวดที่จะไม่กระทำการใดๆ อันฝ่าฝืนกฎหมาย แต่นายยงยุทธ กลับกระทำผิดเสียเอง
นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค
นอกจากนี้กรณีที่พรรคพลังประชาชนโต้แย้งว่าได้จัดการประชุมชี้แจงเพื่อกำชับไม่ให้ผู้สมัครของพรรคกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้งแล้วก็ตามนั้น ศาลเห็นว่าแม้พรรคจะมีการกระทำดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้เป็นข้อยกเว้นความรับผิดในการที่กรรมการบริหารพรรคจะไปกระทำผิดเอง เพราะทำให้เห็นว่ามาตรการดังกล่าวไม่ได้มีผลบังคับใช้
ส่วนที่มีข้อโต้แย้งว่าผลการสืบสวนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ละเมิดสิทธิและไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมนั้น ศาลวินิจฉัยแล้วเห็นว่า กกต.มีหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาล และได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายมาอย่างถูกต้องแล้ว
สำหรับกรณีของพรรคมัชฌิมาธิปไตย และพรรคชาติไทย ในการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งของนายสุนทร วิลาวัลย์ รองหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคมัชฌิมาฯ และนายมณเฑียร สงฆ์ประชา รองเลขาธิการพรรคชาติไทยนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินไปในทิศทางเดียวกันคือวินิจฉัยให้ยุบพรรคและตัดสิทธิเลือกตั้งแก่กรรมการบริหารพรรคคนละ 5 ปี
อย่างไรก็ดี ในส่วนข้อโต้แย้งของพรรคมัชฌิมาธิปไตยเกี่ยวกับสถานะภาพการเป็นกรรมการบริหารพรรคนั้น ศาลวินิจฉัยแล้วเห็นว่าแม้นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ จะได้ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคไปตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.50 อันจะมีผลให้กรรมการบริหารพรรคต้องพ้นสภาพไปด้วยก็ตาม แต่ยังมีข้อกำหนดที่ให้กรรมการบริหารพรรคต้องทำหน้าที่รักษาการต่อไปจนกว่านายทะเบียนพรรคการเมืองจะตอบรับการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น จึงถือว่านายสุนทร ยังคงทำหน้าที่เป็นกรรมการบริหารพรรคมัชฌิมาฯ อยู่ในขณะเกิดเหตุ แม้จะมีสถานะภาพเป็นเพียงผู้รักษาการณ์ก็ตาม อันเป็นเหตุให้การกระทำใดๆ ของกรรมการบริหารพรรคที่ขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. มีเหตุให้ต้องยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคดังกล่าว

รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:36, 22 กุมภาพันธ์ 2552

ตัวหนา

คดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2551 เป็นคดีที่พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคพลังประชาชน (2 ใบแดง)และพรรคเพื่อแผ่นดิน อาจถูกตัดสินยุบพรรคอันเนื่องมาจากกรณีทุจริตการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ส่วนข้อกล่าวหากรณีที่พรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีหรือตัวแทนของพรรคไทยรักไทยซึ่งได้ถูกตัดสินให้ยุบพรรคไปแล้วเมื่อ พ.ศ. 2550 คณะกรรมการเลือกตั้งสรุปว่าปรากฏหลักฐานเพียงพอที่พรรคพลังประชาชนเข้าข่ายเป็นตัวแทนของพรรคไทยรักไทย แต่ได้ยกคำร้องเพราะไม่มีกฎหมายเอาผิด

พรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย

หลังการเลือกตั้ง 2550 คณะกรรมการการเลือกตั้งพบการทุจริต มีการให้ใบแดงและพิจารณาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายมณเฑียร สงฆ์ประชา ผู้สมัครรับเลือกตั้งและรองเลขาธิการพรรคชาติไทย กับนายสุนทร วิลาวัลย์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งและรองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย[1]

วันที่ 16 เมษายน 2551 คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติด้วยคะแนนเสียง 4 ต่อ 1 (มติเสียงข้างน้อย 1 เสียงในทั้งสองกรณี คือ นายสมชัย จึงประเสริฐ)[1] เห็นชอบตามที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เสนอความเห็นให้ส่งสำนวนเรื่องการยุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยให้อัยการสูงสุดพิจารณา

แม้ว่าคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงได้สรุปก่อนหน้านั้นว่าหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคคนอื่นในทั้งสองพรรค ไม่มีส่วนรู้เห็นต่อการกระทำผิดของนายมณเฑียร สงฆ์ประชา และนายสุนทร วิลาวัลย์ แต่การที่ทั้งสองคนต่างก็เป็นกรรมการบริหารพรรคเสียเอง กกต.จึงพิจารณาตามมาตรา 237 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และมาตรา 103 วรรคสอง ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ซึ่งบัญญัติไว้ตรงกันว่า ถ้าการกระทำดังกล่าวปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย หรือทราบแล้วไม่ได้ยับยั้งหรือแก้ไข เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการซึ่งให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้นายทะเบียนพรรคการเมือง (ประธาน กกต.) ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 95 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ไม่อาจใช้ดุลยพินิจในการเลือกที่จะแจ้งหรือไม่แจ้งต่ออัยการสูงสุด

ส่วนกรณีที่พรรคมัชฌิมาธิปไตยแย้งว่านายสุนทร วิลาวัลย์ ได้พ้นจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคแล้ว เนื่องจากการลาออกของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2550 ซึ่งทำให้กรรมการบริหารพรรคทั้งคณะสิ้นสุดลงพร้อมกันด้วยนั้น คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงไม่เห็นด้วย เนื่องจากพบว่าข้อบังคับพรรคข้อ 30 วรรคห้า ได้ระบุให้กรรมการบริหารพรรคอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่ากรรมการชุดใหม่จะเข้ามารับหน้าที่

ตามขั้นตอนทางกฎหมาย หากอัยการสูงสุดมีความเห็นสมควร อัยการสูงสุดจะยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค แต่หากอัยการสูงสุดมีความเห็นไม่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ นายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องตั้งคณะทำงานโดยมีผู้แทนจากทั้งนายทะเบียนพรรคและอัยการสูงสุด รวบรวมพยานหลักฐาน และส่งให้อัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป แต่หากในกรณีที่คณะทำงานดังกล่าวไม่อาจหาข้อยุติได้ภายใน 30 วัน นับแต่ที่ได้แต่งตั้งคณะทำงาน นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของ กกต. มีอำนาจยื่นคำร้องเองได้

พรรคพลังประชาชน

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2551 คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติด้วยเสียงข้างมาก 3 ใน 5 (งดออกเสียงหนึ่งเสียง) ให้ใบแดงและส่งความเห็นไปยังศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ส.ส.แบบสัดส่วน ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา[2] เนื่องจากพบว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งที่จังหวัดเชียงราย โดยมีนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนัน ต.จันจว้า อ.แม่จัน เป็นพยานคนสำคัญ

คดีทุจริตเลือกตั้งนี้เกิดจากนายวิจิตร ยอดสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคชาติไทย นำหลักฐานเป็นวีซีดี กล่าวหาว่านายยงยุทธเรียกกำนัน 10 คน ในอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย นำโดยนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ เดินทางไปพบที่กรุงเทพฯ ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550 และเข้าพักที่โรงแรมเอสซีปาร์ค นายยงยุทธขอให้กำนันช่วยเหลือตนและน้องสาว ตลอดจนนายอิทธิเดช ผู้สมัคร เขต 3 จากนั้นคนสนิทของนายยงยุทธได้มอบเงินให้กำนันคนละ 20,000 บาท นายยงยุทธได้ออกมาตอบโต้ตลอดเวลาว่าเป็นการจัดฉาก ถูกสร้างพยานหลักฐานเท็จ ด้าน กกต. กล่าวว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับซีดีเพราะมีพยานบุคคลที่ยืนยันชัดเจน หลัง กกต.มีมติ นายยงยุทธได้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ประธานสภาโดยไม่ลาออก

วันที่ 8 กรกฎาคม 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง วินิจฉัยว่ากรณีที่นายยงยุทธให้เงินกับกำนัน อ.แม่จัน ทั้ง 10 คน เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจริงตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ จึงพิพากษายืนตามมติของ กกต. และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายยงยุทธเป็นเวลา 5 ปี ขณะที่ กกต.เตรียมดำเนินการต่อ โดยสรุปสำนวนส่งให้อัยการสูงสุด เพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เสนอยุบพรรคพลังประชาชนต่อไป[3]

การพิจารณาคดีนี้คาดว่าอาจใช้เวลานานหลายเดือน เช่นเดียวกับคดียุบพรรคไทยรักไทย นอกจากนี้ ยังถูกเชื่อมโยงกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งหลายฝ่ายออกมาตั้งข้อสังเกตและต่อต้าน[4] เนื่องจากมองว่ามีเจตนาทำเพื่อตัวเอง ไม่ให้พรรคพลังประชาชนถูกยุบ

พรรคเพื่อแผ่นดิน

คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2551 โดยมติเป็นเอกฉันท์ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) แก่นายนพดล พลซื่อ รองเลขาธิการพรรคเพื่อแผ่นดินและกรรมการบริหารพรรค เป็นผู้สมัคร ส.ส. เขต 3 (ได้รับเลือกตั้งที่ จ.ร้อยเอ็ด) และนายกิตติพงศ์ พรหมชัยนันท์ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 3 (ไม่ได้รับเลือกตั้ง) เนื่องจากพบการกระทำผิดในข้อกล่าวหาว่าขนคนไปฟังการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งและให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งได้สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ และให้นายนพดลชดใช้ค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้งใหม่ รวมทั้งให้ดำเนินคดีอาญากับทั้งสองผู้สมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งผู้เกี่ยวข้อง และได้มอบหมายให้ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยรวบรวมพยานหลักฐานยื่นคำร้องต่อศาลฏีกาภายใน 15 วัน เพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไป[5] หากศาลฎีกาวินิจฉัยยืนตามที่ กกต.ชี้มูล ก็มีโอกาสที่พรรคเพื่อแผ่นดินจะถูก กกต.เสนอยุบพรรค

กรณีพรรคพลังประชาชนเป็นตัวแทนพรรคไทยรักไทย

นายวีระ สมความคิด ประธานอำนวยการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น (คปต.) และนายประสิทธิ์ ดอนโพธิ์งาม ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ได้ยื่นคำร้องขอให้ กกต.พิจารณาพฤติกรรมของนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ว่ามีการกระทำเข้าข่ายเป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย หรือไม่

คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ตั้งคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนขึ้น โดยมีนายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ เป็นประธาน คณะอนุกรรมการให้เจ้าหน้าที่ กกต.ประสานงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อเปิดโอกาสให้ไปชี้แจงกรณีที่ถูกพาดพิง[6] และ กกต.เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการขยายเวลาสอบสวนไปอีก 15 วันนับตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2551[7]

วันที่ 1 พฤษภาคม 2551 คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณากรณีดังกล่าวโดยแบ่งเป็นสองประเด็น คำร้องของนายประสิทธิ์นั้น กกต.มีมติ 4 ต่อ 1 ให้ยกคำร้อง เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดได้ ส่วนคำร้องของนายวีระ กกต.มีมติ 3:1:1 สามเสียงเห็นว่าปรากฏหลักฐานเพียงพอที่พรรคพลังประชาชนเข้าข่ายเป็นตัวแทนของพรรคไทยรักไทย แต่เมื่อพิจารณาตามกฎหมายแล้วไม่เข้าข่ายมีความผิดตามมาตราใดของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง หนึ่งเสียงเห็นว่าไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิดและไม่มีพฤติการณ์เข้าองค์ประกอบความผิด ส่วนอีกหนึ่งเสียงเห็นว่าควรแจ้งนายทะเบียนพรรคดำเนินการตรวจ

              สรุปคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ 

เวลา 12.00-13.32 น.คณะตุลาการรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยกรณีอัยการสูงสุดมีคำร้องให้ยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตยโดยมีคำสั่งให้ยุบพรรคทั้ง3พรรค รวมทั้งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งต่อกรรมการบริหารพรรคเป็นจำนวน 37 คน, 43 คน, และ 29 คน ตามลำดับ มีกำหนด 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญคำสั่งให้ยุบพรรคสามารถสรุปได้ดังนี้ สำหรับกรณีของพรรคพลังประชาชน นั้น ตุลาการรัฐธรรมนูญ ระบุว่ากรณีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคกระทำการฝ่าฝืนและขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.พ.ศ.2550 ที่มีผลทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริต และได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่พรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ ต้องร่วมรับผิดชอบ

        ศาลวินิจฉัยแล้วเห็นว่าคำแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกร้องฟังไม่ขึ้น เนื่องจากนายยงยุทธ เป็นนักการเมืองหลายสมัย มีฐานะเป็นถึงรองหัวหน้าพรรค และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ย่อมต้องเพิ่มความเข้มงวดที่จะไม่กระทำการใดๆ อันฝ่าฝืนกฎหมาย แต่นายยงยุทธ กลับกระทำผิดเสียเอง 
        นอกจากนี้กรณีที่พรรคพลังประชาชนโต้แย้งว่าได้จัดการประชุมชี้แจงเพื่อกำชับไม่ให้ผู้สมัครของพรรคกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้งแล้วก็ตามนั้น ศาลเห็นว่าแม้พรรคจะมีการกระทำดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้เป็นข้อยกเว้นความรับผิดในการที่กรรมการบริหารพรรคจะไปกระทำผิดเอง เพราะทำให้เห็นว่ามาตรการดังกล่าวไม่ได้มีผลบังคับใช้ 
        ส่วนที่มีข้อโต้แย้งว่าผลการสืบสวนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ละเมิดสิทธิและไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมนั้น ศาลวินิจฉัยแล้วเห็นว่า กกต.มีหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาล และได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายมาอย่างถูกต้องแล้ว 
        สำหรับกรณีของพรรคมัชฌิมาธิปไตย และพรรคชาติไทย ในการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งของนายสุนทร วิลาวัลย์ รองหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคมัชฌิมาฯ และนายมณเฑียร สงฆ์ประชา รองเลขาธิการพรรคชาติไทยนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินไปในทิศทางเดียวกันคือวินิจฉัยให้ยุบพรรคและตัดสิทธิเลือกตั้งแก่กรรมการบริหารพรรคคนละ 5 ปี 
        อย่างไรก็ดี ในส่วนข้อโต้แย้งของพรรคมัชฌิมาธิปไตยเกี่ยวกับสถานะภาพการเป็นกรรมการบริหารพรรคนั้น ศาลวินิจฉัยแล้วเห็นว่าแม้นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ จะได้ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคไปตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.50 อันจะมีผลให้กรรมการบริหารพรรคต้องพ้นสภาพไปด้วยก็ตาม แต่ยังมีข้อกำหนดที่ให้กรรมการบริหารพรรคต้องทำหน้าที่รักษาการต่อไปจนกว่านายทะเบียนพรรคการเมืองจะตอบรับการเปลี่ยนแปลง 
        ดังนั้น จึงถือว่านายสุนทร ยังคงทำหน้าที่เป็นกรรมการบริหารพรรคมัชฌิมาฯ อยู่ในขณะเกิดเหตุ แม้จะมีสถานะภาพเป็นเพียงผู้รักษาการณ์ก็ตาม อันเป็นเหตุให้การกระทำใดๆ ของกรรมการบริหารพรรคที่ขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. มีเหตุให้ต้องยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคดังกล่าว
  1. 1.0 1.1 ไทยโพสต์, มติ กกต. 4:1 เชือด'ชท.-มฌ.', 12 เมษายน 2551, หน้า 2
  2. ไทยโพสต์, ระส่ำ! 'ยุบพรรค', 27 กุมภาพันธ์ 2551, หน้า 1,12
  3. สำนักข่าวไทย, ศาลฎีกาให้ใบแดงยงยุทธ เพิกถอนสิทธิ 5 ปี, 8 กรกฎาคม 2551
  4. มติชน, ส.ส.'พปช.'ปัดแก้รธน.ฟอก'แม้ว'นิรโทษฯ 111 ทรท. ยันไม่สนถูกถอดจากตำแหน่ง, 1 เมษายน 2551
  5. ข่าว กกต., กกต. แจกใบแดง ส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดิน, 3 กรกฎาคม 2551
  6. ข่าวสด, อนุฯ กกต.เรียกชี้แจงคดีนอมินี, 1 เมษายน 2551, หน้า 10
  7. มติชน, ชุด"ไพฑูรย์"เล็งยกกม.ทาบ ส่อสรุป"พปช."นอมินี"ทรท.", 16 เมษายน 2551