ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กองทัพเรือไทย"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 205: | บรรทัด 205: | ||
[[en:Royal Thai Navy]] |
[[en:Royal Thai Navy]] |
||
[[fr:Marine royale (Thaïlande)]] |
|||
[[ja:タイ王国海軍]] |
[[ja:タイ王国海軍]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:27, 1 มกราคม 2552
กองทัพเรือ (Royal Thai Navy) | |
---|---|
ไฟล์:RTN-emblem.jpg ตราราชการกองทัพเรือ | |
ประเทศ | ไทย |
รูปแบบ | กองทัพเรือ |
กองบัญชาการ | กองบัญชาการทหารเรือ พระราชวังเดิม กรุงเทพมหานคร |
สมญา | ราชนาวี, ทัพประดู่ |
คำขวัญ | ร่วมเครือนาวี จักยลปฐพีไพศาล |
สีหน่วย | น้ำเงิน |
เพลงหน่วย | เพลงราชนาวี, เพลงดอกประดู่ |
วันสถาปนา | 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2449 (วันกองทัพเรือ) |
ปฏิบัติการสำคัญ | วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ยุทธนาวีเกาะช้าง |
ผู้บังคับบัญชา | |
ผู้บัญชาการ ทหารเรือ | พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ |
ผบ. สำคัญ | พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ พล.อ. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต พล.ร.อ. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ พล.ร.อ.สินธุ์ กมลนาวิน จอมพลเรือ ประยูร ยุทธศาสตร์โกศล พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ พล.ร.อ.ชุมพล ปัจจุสานนท์ พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ |
เครื่องหมายสังกัด | |
ตราราชการ | |
ธงราชนาวี | |
ธงประจำ กองทัพ |
กองทัพเรือไทย หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ ราชนาวี เป็นกองทัพเรือแห่งชาติของประเทศไทย เริ่มมีการจัดระบบทหารเรือสมัยใหม่ครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยแบ่งเป็นทหารเรือวังหน้าและทหารเรือวังหลวง ต่อมาจึงได้รวมกิจการทหารเรือไว้ในกรมยุทธนาธิการเมื่อ พ.ศ. 2430 และมีพัฒนาการต่างๆ สืบมาจนได้ยกฐานะเป็นกระทรวงทหารเรือใน พ.ศ. 2453 ก่อนจะลดฐานะมาขึ้นตรงกับกระทรวงกลาโหมใน พ.ศ. 2474 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นกองทัพเรือเมื่อ พ.ศ. 2476
หน่วยต่างๆ ในสังกัดกองทัพเรือไทยมีลักษณะการจัดโครงสร้างหน่วย ที่คล้ายกับกองทัพเรือสหรัฐอเมริกามาก ซึ่งรวมถึงกองบัญชาการนาวิกโยธิน กองเรือยุทธการ และกองการบินทหารเรือ
กองบัญชาการกองทัพเรือตั้งอยู่ที่พระราชวังเดิม กรุงเทพมหานคร ส่วนฐานทัพหลักของกองทัพเรือไทย ตั้งอยู่ที่ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมีพื้นที่ปฏิบัติการอยู่ทั้งในอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ทั้งนี้ กองทัพเรือยังมีกองบินอีก 2 แห่งอยู่ที่สนามบินอู่ตะเภาและฐานทัพเรือสงขลาด้วย
ประวัติ
- พ.ศ. 2428 กรมพระราชวังบวรสถานมงคล(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) เสด็จทิวงคต ทหารฝ่ายพระราชวังบวรทั้งทหารบกและทหารเรือได้ถูกยุบเลิกไป จึงทำให้ ทหารเรือในขณะนั้นมี 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ กรมเรือพระที่นั่ง ขึ้นตรงกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนกรมอรสุมพลขึ้นตรงกับสมุหพระกลาโหม
- พ.ศ. 2430 จัดตั้งกรมยุทธนาธิการ โดยให้กองทหารบก กองทหารเรือทั้งหมดขึ้นอยู่ในบังคับบัญชาของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร
- 1 เมษายน พ.ศ. 2433 ยกฐานะกรมยุทธนาธิการเป็นกระทรวงยุทธนาธิการ กรมทหารเรือยังคงอยู่ในสังกัดกรมยุทธนาธิการเช่นเดิม
- พ.ศ. 2435 โอนกรมทหารเรือมาขึ้นกับ กระทรวงกลาโหม
- 11 ธันวาคม พ.ศ. 2453 ยกฐานะกรมทหารเรือเป็นกระทรวงทหารเรือ
- 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2474 รวมกระทรวงทหารเรือกับกระทรวงทหารบกเป็นกระทรวงเดียวกัน ภายใต้นาม กระทรวงกลาโหม เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
- พ.ศ. 2475 มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศ กองทัพเรือถูกลดฐานะเป็นกรมทหารเรือ กรมต่างๆ ของทหารเรือลดฐานะมาเป็นกองทั้งหมด เว้นแต่กรมเสนาธิการทหารเรือ
- 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 เปลี่ยนชื่อกรมทหารเรือเป็นกองทัพเรือ ให้เป็นการสอดคล้องกับการเรียกชื่อส่วนรวมของทหารบก ว่า "กองทัพบก" ขึ้นตรงต่อกระทรวงกลาโหม โดยแบ่งส่วนราชการออกเป็น 4 ส่วน คือ กรมเสนาธิการทหารเรือ, กองเรือรบ, สถานีทหารเรือกรุงเทพ, กรมอู่ทหารเรือ, กรมสรรพาวุธทหารเรือ และกรมอุทกศาสตร์
- พ.ศ. 2540, พ.ศ. 2519 และ พ.ศ. 2521 ได้แบ่ง ส่วนราชการ กองทัพเรือ ออกเป็น 25 หน่วย เพื่อความสะดวก ทางกองทัพเรือได้จัดกลุ่มหน่วยราชการทั้ง 25 หน่วยขึ้นเป็น 5 ส่วนราชการ คือ ส่วนบัญชาการ, ส่วนกำลังรบ, ส่วนยุทธบริการ, ส่วนศึกษา และ ส่วนกิจการพิเศษ
- 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2528 เพิ่ม กรมการขนส่งทหารเรือขึ้นในส่วนยุทธบริการ และเปลี่ยนชื่อโรงเรียนนายทหารเรือเป็นสถาบันวิชาการทหารเรือชั้นสูง
- 15 เมษายน พ.ศ. 2530 จัดตั้งสำนักงานตรวจบัญชีทหารเรือเพิ่มเติม
- พ.ศ. 2538 จัดส่วนราชการใหม่ตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองทัพเรือ กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2538 และแก้ไข เพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2540 โดยแบ่งส่วนราชการออกเป็น 35 หน่วย และจัดเป็นกลุ่มส่วนราชการ 4 ส่วน
ส่วนราชการในสังกัดกองทัพเรือ
ส่วนบัญชาการ | ส่วนกำลังรบ | ส่วนยุทธบริการ | ส่วนการศึกษา |
ศักย์สงครามกองทัพเรือในปัจจุบัน
- เรือบรรทุกเครื่องบิน (เรือ บ.) 1 ลำ
- เรือฟริเกต (เรือ ฟก.) 10 ลำ
- เรือคอร์เวต (เรือ คว.) 7 ลำ
- เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง 2 ลำ
- เรือตรวจการณ์ (เรือ ตก.) 26 ลำ
- เรือเร็วโจมตีเร็วอาวุธปล่อยนำวิถี 6 ลำ
- เรือโจมตีลำเลียงพล 9 ลำ
- เรือเร็วตรวจการณ์ลำน้ำโขง (เรือ รตล.) 77 ลำ
- เรือช่วยรบ 15 ลำ
- เรือวางทุ่นระเบิด 7 ลำ
- กองบินทหารเรือ : กำลังพล 1,700 นาย, เครื่องบินรบ 44 ลำ, เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง 14 ลำ, เฮลิคอปเตอร์ต่อต้านเรือผิวน้ำ 8 ลำ
- นาวิกโยธิน 18,000 นาย
หน่วยซีล (SEALs)
กองทัพเรือไทยมีทหารประจำการในหน่วยทำลายใต้น้ำจู่โจม (SEALs) รวม 144 นาย มีอาวุธประจำเรือคือ ปืน HK G36C
คำนำหน้าเรือ
กองทัพเรือไทยใช้คำว่า "เรือหลวง" และคำย่อว่า "ร.ล." เป็นคำนำหน้าเรือ ซึ่งแสดงถึงการเป็นเรือรบของพระมหากษัตริย์ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า "His Thai Majesty's Ship" และใช้คำย่อว่า "HTMS" น้ำหน้าเรือ โดยคำว่าเรือหลวงนั้นจะใช้นำหน้าเรือรบที่มีระวางขับน้ำมากกว่า 150 ตันขึ้นไป ส่วนเรือที่มีระวางขับน้ำต่ำกว่า 150 ตัน จะใช้ตัวอักษรอื่นนำหน้า ยกเว้นเรือ ต.
- ตัวอย่าง
- เรือหลวงจักรีนฤเบศร
- ร.ล. นเรศวร
- HTMS Pattani
หลักการตั้งชื่อเรือของกองทัพเรือไทย
- เรือพิฆาต ตั้งตามชื่อตัว ชื่อบรรดาศักดิ์ หรือชื่อสกุลของบุคคลที่เป็นวีรบุรุษของชาติ เช่น ร.ล.ปิ่นเกล้า
- เรือฟริเกต ตั้งชื่อตามแม่น้ำสายสำคัญ เช่น ร.ล.คีรีรัฐ ร.ล. ตาปี
- เรือคอร์เวต ตั้งตามชื่อเมืองหลวงหรือเมืองสำคัญในประวัติศาสตร์ เช่น ร.ล.สุโขทัย ร.ล.รัตนโกสินทร์
- เรือเร็วโจมตี แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
- เรือเร็วโจมตี (อาวุธปล่อยนำวิถี) ตั้งชื่อตามเรือรบในทะเลสมัยโบราณ เช่น ร.ล.ราชฤทธิ์ ร.ล.วิทยาคม ร.ล.อุดมเดช
- เรือเร็วโจมตี (ปืน) และเรือเร็วโจมตี (ตอร์ปิโด) ตั้งตามชื่อวังหวัดชายทะเล เช่น ร.ล.ชลบุรี
- เรือดำน้ำ ตั้งตามชื่อผู้มีอิทฤทธิ์ในนิยายหรือวรรณคดีเกี่ยวกับการดำน้ำ เช่น ร.ล.มัจฉานุ
- เรือทุ่นระเบิด ตั้งตามชื่อสมรภูมิสำคัญ เช่น ร.ล.บางระจัน ร.ล.หนองสาหร่าย
- เรือยกพลขึ้นบก เรือลำเลียง และเรือลากจูง ตั้งตามชื่อเกาะ เช่น ร.ล. อ่างทอง เรือหลวงสิมิลัน
- เรือตรวจการณ์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
- เรือตรวจการณ์ (ปืน) ตั้งชื่อตามอำเภอชายทะเล เช่น ร.ล.หัวหิน ร.ล.แกลง
- เรือตรวจการณ์ (ปราบเรือดำน้ำ) ตั้งตามชื่อเรือรบในลำน้ำสมัยโบราณที่มีความเหมาะสมแก่หน้าที่ของเรือนั้น เช่น ร.ล.พาลี ร.ล.คำรณสินธุ
- เรือสำรวจ ตั้งชื่อตามดาวสำคัญ เช่น ร.ล.จันทร ร.ล.ศุกร์
- เรือหน้าที่พิเศษ ตั้งชื่อด้วยถ้อยคำที่มีความหมายเหมาะสมแก่หน้าที่ของเรือนั้น ๆ เหมือนกับเรือหลวงจักรีนฤเบศร ซึ่งเป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ ชื่อเรือนั้นให้ขอพระราชทาน และให้ใช้ว่าเรือหลวงนำหน้า
- เรือขนาดเล็ก (เล็กกว่า 150 ตัน) ให้ตั้งชื่อด้วย อักษรย่อตามชนิดและหน้าที่ของเรือ มีหมายเลขต่อท้ายอักษร กองทัพเรือเป็นผู้ตั้งให้ เช่น เรือ ต. 91 เรือต. 991 เป็นต้น
ยุทโธปกรณ์ที่ประจำการ
เรือรบส่วนใหญ่ที่ประจำการในกองทัพเรือไทยเกือบครึ่งหนึ่งสั่งซี้อจากสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ก็สั้งซื้อมาจากสหราชอาณาจักร อิตาลี สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ สาธารณรัฐประชาชนจีน ออสเตรเลีย และสเปน อนึ่ง กองทัพเรือยังสามารถต่อเรือรบขนาดเล็กหรือขนาดประมาณ 1000 ตันใช้เองได้ด้วย เช่น เรือตรวจการณ์ชุด ต. 91 - ด. 99 เป็นต้น
ข่าวการจัดหาอาวุธของกองทัพเรือ
การจัดหาจรวดต่อต้านเรือรบใหม่
กองทัพเรือได้จัดหาจรวดต่อต้านเรือรบ C-802 จากประเทศจีน เพื่อนำมาติดตั้งทดแทน C-801 ในเรือชุดเรือหลวงเจ้าพระยาที่กำลังจะหมดอายุลง โดยจรวดมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และมีระยะยิงไกลราว 100 กม. และอาจจะมีการจัดหาจรวดต่อสู้อากาศยาน LY-60 มาด้วยถ้าได้รับงบประมาณ [1]
การจัดหาเฮลิคอปเตอร์ลำใหม่
รัฐสภาสหรัฐอนุมัติให้รัฐบาลสหรัฐขายเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง MH-60S Navy Hawk ให้กับกองทัพเรือไทยจำนวน 6 ลำ เพื่อนำไปปฏิบัติการค้นหา ช่วยชีวิต และขนส่งกำลังพล โดยกองทัพเรือเซ็นสัญญาจัดซื้อในปีนี้ก่อนจำนวน 2 ลำ และจะดำเนินการจัดซื้อจนครบ 6 ลำต่อไป คาดว่าจะนำไปประจำการบนเรือหลวงจักรีนฤเบศร. [2]
การจัดหาเครื่องบินโดยสารและส่งกลับสายการแพทย์
กองทัพบกและกองทัพเรือร่วมกันลงนามในสัญญาจัดหาเครื่องบินแบบ ERJ-135 จากบริษัท Embraer ประเทศบราซิล จำนวน 2 ลำ เหล่าทัพละ 1 ลำ โดยกองทัพบกและกองทัพเรือจะนำไปใช้ในการสนับสนุนการเดินทางของผู้บัญชาการและบุคคลสำคัญ สำหรับเครื่องของกองทัพเรือยังเพิ่มความสามารถในการขนส่งผู้บาดเจ็บจากการสู้รบ MEDEVAC ได้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนภารกิจของทหารเรือในสามจังหวัดชายแดนใต้ [3]
การจัดสร้างยานใต้น้ำในประเทศไทย
กองทัพเรือ โดย สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพเรือสั่งต่อยานใต้น้ำสำหรับหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกองทัพเรือ โครงการ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกระทรวงกลาโหมเป็นเงินจำนวน 24,953,200 บาทถ้วน) และจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นเงินจำนวน 5,000,000 บาท โดยยานต้นแบบมีขนาด 20 ตัน ซึ่งว่าจ้างบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัดเป็นผู้ดำเนินการต่อ[4]
การจัดหาเรือยกพลขึ้นบกจากสิงคโปร์
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 51 ให้กองทัพเรือจัดหาเรือยกพลขึ้นบก (Landing Platform Dock:LPD) จำนวน 1 ลำจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ มูลค่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อทดแทนเรือรบรุ่นสงครามโลกที่ต้องปลดประจำการจำนวน 2 ลำ โดยกองทัพเรือจะได้รับมอบเรือในปี 2555[5]
การต่อเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำใหม่
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2551 อนุมัติงบประมาณจำนวน 3,014,550,000 บาทให้กองทัพเรือนำไปต่อเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งลำใหม่ โดยจะทำการต่อที่อู่มหิดล ทั้งนี้ ยังไม่มีการเปิดเผยแบบแผนของเรือที่จะต่อ[6]
ดูเพิ่ม
การทหารในประเทศไทย
ข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับกองทัพเรือไทย
อ้างอิง
- ↑ นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๐ เล่มที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ พักครึ่งเวลา พลแรือเอก สถิรพันธุ์ เกยานนท์
- ↑ Defense Industry Daily Up to $246M for 6 Royal Thai Navy MH-60S Helicopters
- ↑ Embraer Press Release Embraer sign contracts with the Royal Thai Army and the Royal Thai Navy
- ↑ OA Military Book กองทัพเรือจัดสร้างยานใต้น้ำลำแรกของไทย
- ↑ DefenseNews.com Thailand Plans $191.3M Arms Purchase
- ↑ มติชนออนไลน์ ครม.อนุมัติงบกว่า 3 พันล้าน ถอยเรือตรวจการใหม่