ผลต่างระหว่างรุ่นของ "รัศมีวานเดอร์วาลส์"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 21: | บรรทัด 21: | ||
|} |
|} |
||
'''รัศมีวานเดอร์วาลส์'''ของ[[อะตอม]] คือรัศมีของทรงกลมแข็งในจินตนาการที่สามารถนำมาใช้เป็นรูปจำลองของอะตอมได้หลายวัตถุประสงค์ รัศมีวานเดอร์วาลส์กำหนดโดยการวัดที่ว่างระหว่างคู่ของอะตอมที่ไม่เชื่อมติดกันของแก้วเจียร |
'''รัศมีวานเดอร์วาลส์'''ของ[[อะตอม]] คือรัศมีของทรงกลมแข็งในจินตนาการที่สามารถนำมาใช้เป็นรูปจำลองของอะตอมได้หลายวัตถุประสงค์ รัศมีวานเดอร์วาลส์กำหนดโดยการวัดที่ว่างระหว่างคู่ของอะตอมที่ไม่เชื่อมติดกันของแก้วเจียรไน |
||
'''รัศมีวานเดอร์วาลส์'''เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตามชื่อของ[[โยฮันเนส ดิเดอริก วานเดอร์วาลส์]] ผู้ได้รับ[[รางวัลโนเบล]]สาขา[[ฟิสิกส์]]เมื่อ [[พ.ศ. 2453]] |
'''รัศมีวานเดอร์วาลส์'''เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตามชื่อของ[[โยฮันเนส ดิเดอริก วานเดอร์วาลส์]] ผู้ได้รับ[[รางวัลโนเบล]]สาขา[[ฟิสิกส์]]เมื่อ [[พ.ศ. 2453]] |
||
บรรทัด 27: | บรรทัด 27: | ||
[[แก๊ส]]จริงจะไม่มีพฤติกรรมตรงตามการทำนาย ในบางกรณี การเบี่ยงเบนอาจเกิดขึ้นได้มาก ตัวอย่าง เช่น [[แก๊สอุดมคติ]]อาจไม่มีทางเป็น[[ของเหลว]]หรือ[[ของแข็ง]]ได้เลยไม่ว่าถูกทำให้เย็นหรือถูกอัดแน่นอย่างไร ดังนั้นการปรับเปลี่ยน[[กฎแก๊สอุดมคติ]] <math>P\tilde{V} = nRT</math>, จึงเกิดขึ้น โดยเฉพาะ[[สมการแห่งสถานภาพของวานเดอร์วาลส์]]ที่มีประโยชน์และเป็นที่รู้จักกันดี [[สมการวานเดอร์วาลส์|สมการแห่งสถานภาพของวานเดอร์วาลส์]]: <math>\left (P + a(\frac{n}{\tilde{V}})^2\right ) (\tilde{V} - nb) = nRT</math>, ซึ่ง a และ b คือตัวแปรเสริมที่ปรับได้ ที่ได้จากการทดลองการวัดที่ทำกับแก๊สจริง ค่าของมันจะผันแปรต่างกันไปตามชนิดของแก๊ส |
[[แก๊ส]]จริงจะไม่มีพฤติกรรมตรงตามการทำนาย ในบางกรณี การเบี่ยงเบนอาจเกิดขึ้นได้มาก ตัวอย่าง เช่น [[แก๊สอุดมคติ]]อาจไม่มีทางเป็น[[ของเหลว]]หรือ[[ของแข็ง]]ได้เลยไม่ว่าถูกทำให้เย็นหรือถูกอัดแน่นอย่างไร ดังนั้นการปรับเปลี่ยน[[กฎแก๊สอุดมคติ]] <math>P\tilde{V} = nRT</math>, จึงเกิดขึ้น โดยเฉพาะ[[สมการแห่งสถานภาพของวานเดอร์วาลส์]]ที่มีประโยชน์และเป็นที่รู้จักกันดี [[สมการวานเดอร์วาลส์|สมการแห่งสถานภาพของวานเดอร์วาลส์]]: <math>\left (P + a(\frac{n}{\tilde{V}})^2\right ) (\tilde{V} - nb) = nRT</math>, ซึ่ง a และ b คือตัวแปรเสริมที่ปรับได้ ที่ได้จากการทดลองการวัดที่ทำกับแก๊สจริง ค่าของมันจะผันแปรต่างกันไปตามชนิดของแก๊ส |
||
'''สมการวานเดอร์วาลส์'''ยังมีผลในการแปลความหมายทาง[[จุลภาค]]อีกด้วย โมเลกุลมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ปฏิสัมพันธ์จะผลักกันแรงมากที่ระยะไกล้กันมาก และจะอ่อนแรงลงที่ระยะกลางและจะหมดไปในระยะที่ยาวขึ้น จะต้องทำการแก้[[กฏแก๊สอุดมคติ]]เมื่อนำแรงดึงดูดและแรงผลักมาร่วมพิจารณา ตัวอย่างเช่น การผลักซึ่งกันและกันระหว่างโมเลกุลจะมีผลต่อการแยกโมเลกุลอื่นๆ โดยรอบออกไปจากเขตแดนเป็นระยะที่แน่นอนระยะหนึ่งรอบๆ โมเลกุลนั้น ดังนั้น เศษส่วนของที่ว่างทั้งหมดจะไม่มีที่ไว้ให้สำหรับแต่ละโมเลกุลในขณะที่มันเคลื่อนไหวอย่างไม่เป็นระบบ ในสมการสถานภาพ ปริมาตรแห่งการแยกตัว (nb) นี้ควรเอาไปลบออกจากปริมาตรของภาชนะ (V)ดังนั้น: (V - nb) เงื่อนไขอีกข้อหนึ่งที่นำมาใช้ใน'''สมการวานเดอร์วาลส์'''คือ <math>a(\frac{n}{\tilde{V}})^2</math>, ซึ่งเป็นการพรรณาถึงแรงดึงดูดที่แผ่วระหว่างโมเลกุลต่างๆ ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเมื่อค่าของ n เพิ่ม |
'''สมการวานเดอร์วาลส์'''ยังมีผลในการแปลความหมายทาง[[จุลภาค]]อีกด้วย โมเลกุลมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ปฏิสัมพันธ์จะผลักกันแรงมากที่ระยะไกล้กันมาก และจะอ่อนแรงลงที่ระยะกลางและจะหมดไปในระยะที่ยาวขึ้น จะต้องทำการแก้[[กฏแก๊สอุดมคติ]]เมื่อนำแรงดึงดูดและแรงผลักมาร่วมพิจารณา ตัวอย่างเช่น การผลักซึ่งกันและกันระหว่างโมเลกุลจะมีผลต่อการแยกโมเลกุลอื่นๆ โดยรอบออกไปจากเขตแดนเป็นระยะที่แน่นอนระยะหนึ่งรอบๆ โมเลกุลนั้น ดังนั้น เศษส่วนของที่ว่างทั้งหมดจะไม่มีที่ไว้ให้สำหรับแต่ละโมเลกุลในขณะที่มันเคลื่อนไหวอย่างไม่เป็นระบบ ในสมการสถานภาพ ปริมาตรแห่งการแยกตัว (nb) นี้ควรเอาไปลบออกจากปริมาตรของภาชนะ (V)ดังนั้น: (V - nb) เงื่อนไขอีกข้อหนึ่งที่นำมาใช้ใน'''สมการวานเดอร์วาลส์'''คือ <math>a(\frac{n}{\tilde{V}})^2</math>, ซึ่งเป็นการพรรณาถึงแรงดึงดูดที่แผ่วระหว่างโมเลกุลต่างๆ ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเมื่อค่าของ n เพิ่มขึ้น หรือค่าของ V ลดลงและเมื่อโมเลกุลเริ่มเกาะกลุ่มกันหนาแน่นขึ้น |
||
== ปริมาตรวานเดอร์วาลส์ == |
== ปริมาตรวานเดอร์วาลส์ == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:08, 9 กันยายน 2551
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
ธาตุ | รัศมี (Å) |
---|---|
ไฮโดรเจน | 1.20 |
คาร์บอน | 1.7 |
ไนโตรเจน | 1.55 |
ออกซิเจน | 1.52 |
ฟลูออรีน | 1.35 |
ฟอสฟอรัส | 1.9 |
กำมะถัน | 1.85 |
คลอรีน | 1.8 |
รัศมีวานเดอร์วาลส์ของอะตอม คือรัศมีของทรงกลมแข็งในจินตนาการที่สามารถนำมาใช้เป็นรูปจำลองของอะตอมได้หลายวัตถุประสงค์ รัศมีวานเดอร์วาลส์กำหนดโดยการวัดที่ว่างระหว่างคู่ของอะตอมที่ไม่เชื่อมติดกันของแก้วเจียรไน
รัศมีวานเดอร์วาลส์เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตามชื่อของโยฮันเนส ดิเดอริก วานเดอร์วาลส์ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์เมื่อ พ.ศ. 2453
แก๊สจริงจะไม่มีพฤติกรรมตรงตามการทำนาย ในบางกรณี การเบี่ยงเบนอาจเกิดขึ้นได้มาก ตัวอย่าง เช่น แก๊สอุดมคติอาจไม่มีทางเป็นของเหลวหรือของแข็งได้เลยไม่ว่าถูกทำให้เย็นหรือถูกอัดแน่นอย่างไร ดังนั้นการปรับเปลี่ยนกฎแก๊สอุดมคติ , จึงเกิดขึ้น โดยเฉพาะสมการแห่งสถานภาพของวานเดอร์วาลส์ที่มีประโยชน์และเป็นที่รู้จักกันดี สมการแห่งสถานภาพของวานเดอร์วาลส์: , ซึ่ง a และ b คือตัวแปรเสริมที่ปรับได้ ที่ได้จากการทดลองการวัดที่ทำกับแก๊สจริง ค่าของมันจะผันแปรต่างกันไปตามชนิดของแก๊ส
สมการวานเดอร์วาลส์ยังมีผลในการแปลความหมายทางจุลภาคอีกด้วย โมเลกุลมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ปฏิสัมพันธ์จะผลักกันแรงมากที่ระยะไกล้กันมาก และจะอ่อนแรงลงที่ระยะกลางและจะหมดไปในระยะที่ยาวขึ้น จะต้องทำการแก้กฏแก๊สอุดมคติเมื่อนำแรงดึงดูดและแรงผลักมาร่วมพิจารณา ตัวอย่างเช่น การผลักซึ่งกันและกันระหว่างโมเลกุลจะมีผลต่อการแยกโมเลกุลอื่นๆ โดยรอบออกไปจากเขตแดนเป็นระยะที่แน่นอนระยะหนึ่งรอบๆ โมเลกุลนั้น ดังนั้น เศษส่วนของที่ว่างทั้งหมดจะไม่มีที่ไว้ให้สำหรับแต่ละโมเลกุลในขณะที่มันเคลื่อนไหวอย่างไม่เป็นระบบ ในสมการสถานภาพ ปริมาตรแห่งการแยกตัว (nb) นี้ควรเอาไปลบออกจากปริมาตรของภาชนะ (V)ดังนั้น: (V - nb) เงื่อนไขอีกข้อหนึ่งที่นำมาใช้ในสมการวานเดอร์วาลส์คือ , ซึ่งเป็นการพรรณาถึงแรงดึงดูดที่แผ่วระหว่างโมเลกุลต่างๆ ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเมื่อค่าของ n เพิ่มขึ้น หรือค่าของ V ลดลงและเมื่อโมเลกุลเริ่มเกาะกลุ่มกันหนาแน่นขึ้น
ปริมาตรวานเดอร์วาลส์
ปริมาตรวานเดอร์วาลส์ของ โมเลกุล หรือระบบของโมเลกุล คือ ผลรวมของยูเนียนของทรงกลมอะตอมของวานเดอร์วาลส์ในระบบ
ดูเพิ่ม
- van der Waals constant
- สมการวานเดอร์วาลส์ (ภาษาอังกฤษ) [1]
- แรงวานเดอร์วาลส์ (ภาษาอังกฤษ)[2]
- ศักยภาพวานเดอร์วาลส์ (ภาษาอังกฤษ)[3]
อ้างอิง
- L. Pauling, The Nature of the Chemical Bond, Cornell University Press, USA, 1945.