ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การดื้อแพ่ง"
ล สังคายนาวิกิพีเดียไทยรอบ 2 +เก็บกวาดด้วยสจห. |
|||
บรรทัด 18: | บรรทัด 18: | ||
== ดื้อแพ่งในสหรัฐอเมริกา == |
== ดื้อแพ่งในสหรัฐอเมริกา == |
||
ช่วงระหว่าง ค.ศ. 1955-1968 ใน[[สหรัฐอเมริกา]]มีการต่อสู้เพื่อสิทธิความเท่าเทียมกันของคนผิวดำ ที่เรียกว่า Civil Rights Movement ก่อนหน้านี้คนผิวดำและผิวขาวต้องแยกใช้ห้องน้ำ ร้านอาหาร โรงเรียน โรงพยาบาล ย่านที่อยู่อาศัย รถประจำทาง โดยเฉพาะในรัฐทางใต้จะใช้งานร่วมกันไม่ได้ |
ช่วงระหว่าง ค.ศ. 1955-1968 ใน[[สหรัฐอเมริกา]]มีการต่อสู้เพื่อสิทธิความเท่าเทียมกันของคนผิวดำ ที่เรียกว่า ขบวนการสิทธิพลเมือง (Civil Rights Movement) ซึ่งก่อนหน้านี้คนผิวดำและผิวขาวต้องแยกใช้ห้องน้ำ ร้านอาหาร โรงเรียน โรงพยาบาล ย่านที่อยู่อาศัย รถประจำทาง โดยเฉพาะในรัฐทางใต้จะใช้งานร่วมกันไม่ได้ |
||
ในปี ค.ศ. 1955 |
ในปี ค.ศ. 1955 [[โรซา พาร์กส์]] (Rosa Parks) ปฏิเสธที่จะลุกให้ที่นั่งแก่คนผิวขาวบนรถประจำทางตามที่คนขับรถสั่ง ทั้งที่กฎหมายท้องถิ่นระบุว่าเมื่อโดยสารรถร่วมกัน เธอจะต้องสละที่ให้คนผิวขาวนั่ง เธอถูกจับขึ้นศาลและถูกตัดสินจำคุก จากนั้นกลุ่มคนผิวดำจึงพากันประท้วง จนกระทั่งรัฐบาลท้องถิ่นต้องยกเลิกกฎหมายนี้ กรณีประท้วงนี้มีชื่อเรียกว่า การคว่ำบาตรรถประจำทางมอนต์โกเมอรี (Montgomery Bus Boycott)<ref>พัฒนายุ ทารส, [http://www.nationweekend.com/2005/10/28/NW15_552.php แด่ 'โรซา ปาร์คส์' นักสู้เพื่อสิทธิคนผิวสี], เนชั่น สุดสัปดาห์, 28 ตุลาคม พ.ศ. 2548</ref> |
||
มีร้านอาหาร |
มีร้านอาหารหลาย ๆ แห่งในรัฐทางใต้ ปฏิเสธที่จะให้บริการแก่คนผิวดำ จึงมีการดื้อแพ่งโดยใช้วิธี "ซิทอิน" (sit in) คือเข้าไปนั่งเฉย ๆ โดยนักศึกษาผิวดำพากันแต่งตัวเรียบร้อย ใส่สูทผูกไทเข้าไปนั่งในร้านอาหารที่ปฏิเสธคนผิวดำ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไปนั่งในทุกที่นั่ง จนไม่มีที่ว่างเหลือ จนกระทั่งร้านนั้นไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ มีการกระทำเลียนแบบไปทั่วทุกรัฐทางใต้ โดยมีคนผิวขาวส่วนหนึ่งที่เห็นใจคนผิวดำร่วมขบวนการด้วย มีการใช้วิธีซิทอินกับสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ทั้งสวนสาธารณะ ห้องสมุด โรงภาพยนตร์ พิพิธภัณฑ์ เมื่อถูกเจ้าหน้าที่จับนักศึกษาเหล่านี้ก็ไม่ยอมประกันตัว ต้องการติดคุกเพื่อให้เป็นข่าว และให้เป็นภาระกับเจ้าหน้าที่ |
||
การต่อสู้เหล่านี้เพื่อกดดันรัฐบาลกลาง จนนำมาสู่การออกกฎหมาย Voting Rights Act |
การต่อสู้เหล่านี้เพื่อกดดันรัฐบาลกลาง จนนำมาสู่การออกกฎหมายสิทธิเลือกตั้ง (Voting Rights Act) ค.ศ. 1965 และกฎหมายสิทธิพลเมือง (Civil Rights Act) ค.ศ. 1968 ที่ให้สิทธิเท่าเทียมกันระหว่างคนผิวขาวและคนผิวดำ |
||
== ดื้อแพ่งในสังคมไทย == |
== ดื้อแพ่งในสังคมไทย == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 19:55, 6 กันยายน 2551
ดื้อแพ่ง หรือ อารยะขัดขืน (อังกฤษ: civil disobedience) เป็นการเรียกกิจกรรมรวม ๆ ของการเคลื่อนไหวที่จะไม่กระทำตามกฎหมาย หรือ ความต้องการและคำสั่งของรัฐบาลหรือผู้อยู่ในอำนาจ โดยไม่มีการใช้ความรุนแรงทางกายภาพ ในอดีต มีการใช้แนวทางดื้อแพ่งในการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านอังกฤษในประเทศอินเดีย ในการต่อสู้กับการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ ในการเคลื่อนไหวด้านสิทธิพลเมืองของอเมริกา และในยุโรป รวมถึงประเทศแถบสแกนดิเนเวียในการต่อต้านการยึดครองของนาซี แนวคิดนี้ริเริ่มโดยเฮนรี เดวิด ธอโร นักเขียนชาวอเมริกันในบทความชื่อดื้อแพ่ง ในชื่อเดิมว่า การต่อต้านรัฐบาลพลเมือง ซึ่งแนวคิดที่ผลักดันบทความนี้ก็คือการพึ่งตนเอง และการที่บุคคลจะมีจุดยืนที่ถูกต้องเมื่อพวกเขา "ลงจากหลังของคนอื่น" นั่นคือ การต่อสู้กับรัฐบาลนั้นประชาชนไม่จำเป็นต้องต่อสู้ทางกายภาพ แต่ประชาชนจะต้องไม่ให้การสนับสนุนรัฐบาลหรือให้รัฐบาลสนับสนุนตน (ถ้าไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล) บทความนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้ที่ยึดแนวทางดื้อแพ่งนี้ ในบทความนี้ทอโรอธิบายเหตุผลที่เขาไม่ยอมจ่ายภาษีเพื่อเป็นการประท้วงระบบทาสและสงครามเม็กซิกัน-อเมริกัน
เพื่อที่จะแสดงออกถึงดื้อแพ่ง ผู้ขัดขืนอาจเลือกที่จะฝ่าฝืนกฎหมายใดเป็นการเฉพาะ เช่น กีดขวางทางสัญจรอย่างสงบ หรือเข้ายึดครองสถานที่อย่างผิดกฎหมาย ผู้ประท้วงกระทำการจราจลอย่างสันติเหล่านี้ โดยคาดหวังว่าพวกตนจะถูกจับกุม หรือกระทั่งถูกทำร้ายร่างกายโดยเจ้าหน้าที่. ผู้ประท้วงมักจะได้รับการนัดแนะล่วงหน้า ว่าควรจะตอบสนองการจับกุมหรือทำร้ายร่างกายอย่างไร และจะขัดขืนอย่างเงียบ ๆ หรือไม่รุนแรง โดยไม่คุกคามเจ้าหน้าที่
สัตยาเคราะห์ในอินเดีย
มหาตมะ คานธี ผู้นำการเคลื่อนไหวดื้อแพ่ง เพื่อต่อต้านอังกฤษในประเทศอินเดีย เรียกแนวทางของตนว่า "สัตยาเคราะห์" (Satyagraha) หมายถึง การต่อสู้บนรากฐานของความจริงหรือสัจจะ
ในสมัยนั้นในประเทศอินเดียมีกฎหมายบังคับให้การผลิตและขายเกลือกระทำได้โดยรัฐบาลอังกฤษเท่านั้น การผูกขาดเกลือเป็นรายได้ที่สำคัญ ถึงแม้ว่าคนอินเดียที่อาศัยอยู่ชายฝั่งทะเลจะสามารถผลิตเกลือเพื่อบริโภคเองได้ ก็จำเป็นต้องซื้อจากอังกฤษ หากผู้ใดฝ่าฝืนก็มีโทษถึงจำคุกทีเดียว
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1930 มหาตมะ คานธี พร้อมกับผู้ร่วมเดินทางจำนวน 78 คน เริ่มเดินเท้าจากเมือง Sabarmati ไปยังเมือง Dansi เมืองชายฝั่งทะเลที่อยู่ห่างออกไป 240 ไมล์ เมื่อขบวนเดินผ่านเมืองใดก็จะมีชาวเมืองนับพันเข้ามาร่วมเดิน จนขบวนยาวหลายไมล์ มหาตมะ คานธี เดินเท้าใช้เวลา 23 วันก็ถึงที่หมาย เมื่อถึงแล้วก็เริ่มการกระทำ "ดื้อแพ่ง" โดยขุดดินที่เต็มไปด้วยเกลือ ต้มในน้ำทะเลเพื่อผลิตเกลือ บรรดาผู้ร่วมเดินทางก็ทำตาม ช่วยกันผลิตเกลือท้าทายกฎหมาย
การกระทำของคานธีกลายเป็นข่าวไปทั่วโลก ในขณะที่ชาวอินเดียพากันเลียนแบบ ผลิตและขายเกลือกันอย่างไม่กลัวกฎหมาย ในที่สุดมหาตมะคานธีก็ถูกจับพร้อมกับประชาชนนับหมื่นคน มหาตมะ คานธี ให้การต่อศาลว่า
- ".. การที่ข้าพเจ้ามิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่นั้น มิใช่เพราะข้าพเจ้าไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง แต่เป็นเพราะข้าพเจ้าต้องการปฏิบัติตามคำสั่งที่สูงยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือคำสั่งแห่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของข้าพเจ้าเอง..."
เหตุการณ์ดื้อแพ่งของมหาตมะ คานธี ครั้งนั้นมีชื่อเรียกว่า "The Salt March" เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์อินเดีย หลังจากคานธีได้รับการปล่อยตัวออกมา ก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้คนอินเดียร่วมกันต่อสู้จนได้รับอิสรภาพใน ค.ศ. 1947 ในที่สุด
ดื้อแพ่งในสหรัฐอเมริกา
ช่วงระหว่าง ค.ศ. 1955-1968 ในสหรัฐอเมริกามีการต่อสู้เพื่อสิทธิความเท่าเทียมกันของคนผิวดำ ที่เรียกว่า ขบวนการสิทธิพลเมือง (Civil Rights Movement) ซึ่งก่อนหน้านี้คนผิวดำและผิวขาวต้องแยกใช้ห้องน้ำ ร้านอาหาร โรงเรียน โรงพยาบาล ย่านที่อยู่อาศัย รถประจำทาง โดยเฉพาะในรัฐทางใต้จะใช้งานร่วมกันไม่ได้
ในปี ค.ศ. 1955 โรซา พาร์กส์ (Rosa Parks) ปฏิเสธที่จะลุกให้ที่นั่งแก่คนผิวขาวบนรถประจำทางตามที่คนขับรถสั่ง ทั้งที่กฎหมายท้องถิ่นระบุว่าเมื่อโดยสารรถร่วมกัน เธอจะต้องสละที่ให้คนผิวขาวนั่ง เธอถูกจับขึ้นศาลและถูกตัดสินจำคุก จากนั้นกลุ่มคนผิวดำจึงพากันประท้วง จนกระทั่งรัฐบาลท้องถิ่นต้องยกเลิกกฎหมายนี้ กรณีประท้วงนี้มีชื่อเรียกว่า การคว่ำบาตรรถประจำทางมอนต์โกเมอรี (Montgomery Bus Boycott)[1]
มีร้านอาหารหลาย ๆ แห่งในรัฐทางใต้ ปฏิเสธที่จะให้บริการแก่คนผิวดำ จึงมีการดื้อแพ่งโดยใช้วิธี "ซิทอิน" (sit in) คือเข้าไปนั่งเฉย ๆ โดยนักศึกษาผิวดำพากันแต่งตัวเรียบร้อย ใส่สูทผูกไทเข้าไปนั่งในร้านอาหารที่ปฏิเสธคนผิวดำ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไปนั่งในทุกที่นั่ง จนไม่มีที่ว่างเหลือ จนกระทั่งร้านนั้นไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ มีการกระทำเลียนแบบไปทั่วทุกรัฐทางใต้ โดยมีคนผิวขาวส่วนหนึ่งที่เห็นใจคนผิวดำร่วมขบวนการด้วย มีการใช้วิธีซิทอินกับสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ทั้งสวนสาธารณะ ห้องสมุด โรงภาพยนตร์ พิพิธภัณฑ์ เมื่อถูกเจ้าหน้าที่จับนักศึกษาเหล่านี้ก็ไม่ยอมประกันตัว ต้องการติดคุกเพื่อให้เป็นข่าว และให้เป็นภาระกับเจ้าหน้าที่
การต่อสู้เหล่านี้เพื่อกดดันรัฐบาลกลาง จนนำมาสู่การออกกฎหมายสิทธิเลือกตั้ง (Voting Rights Act) ค.ศ. 1965 และกฎหมายสิทธิพลเมือง (Civil Rights Act) ค.ศ. 1968 ที่ให้สิทธิเท่าเทียมกันระหว่างคนผิวขาวและคนผิวดำ
ดื้อแพ่งในสังคมไทย
การใช้คำนี้อย่างกว้างขวางในภาษาไทยเกิดขึ้นในบริบทของการประท้วงขับไล่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรในปี พ.ศ. 2549 อย่างไรก็ตามการนำคำนี้ (ในรูปคำนี้) มาใช้ เริ่มโดยชัยวัฒน์ สถาอานันท์ [2] เมื่อกล่าวถึงสถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ ชัยวัฒน์อธิบายว่า
- ดื้อแพ่งเป็นเรื่องของการขัดขืนอำนาจรัฐ ที่ทั้งเป้าหมายและตัววิธีการอันเป็นหัวใจของ Civil Disobedience ส่งผลในการทำให้สังคมการเมืองโดยรวมมี 'อารยะ' มากขึ้น... การจำกัดอำนาจรัฐนั้นเอง เป็นหนทาง 'อารยะ' ยิ่งการจำกัดอำนาจรัฐโดยพลเมืองด้วยวิธีการอย่างอารยะคือ เป็นไปโดยเปิดเผย ไม่ใช้ความรุนแรง และยอมรับผลตามกฎหมายที่จะเกิดขึ้นกับตัวผู้ใช้สันติวิธีแนวนี้ เพื่อให้สังคมการเมือง 'เป็นธรรม' ขึ้น เคารพสิทธิเสรีภาพของคนมากขึ้น และเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น อ้างอิงผิดพลาด: ไม่มีการปิด
</ref>
สำหรับป้ายระบุ<ref>
และโดยได้อธิบายคุณลักษณะ 7 ประการของ "ดื้อแพ่ง" ในฐานะของปฏิบัติการทางการเมือง คือ
- เป็นการละเมิดกฎหมาย หรือตั้งใจจะละเมิดกฎหมาย
- ใช้สันติวิธี (ไม่ใช้ความรุนแรง)
- เป็นการกระทำสาธารณะโดยแจ้งให้ฝ่ายรัฐรับรู้ล่วงหน้า
- ประกอบด้วยความเต็มใจที่จะรับผลทางกฎหมายของการละเมิดกฎหมายดังกล่าว
- ปกติกระทำไปเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาล
- มุ่งเชื่อมโยงกับสำนึกแห่งความยุติธรรมของผู้คนส่วนใหญ่ในบ้านเมือง
- มุ่งเชื่อมโยงกับสำนึกแห่งความยุติธรรม ซึ่งโดยหลักแล้วเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายและสถาบันทางสังคม
ก่อนหน้านี้ ช่วงปี พ.ศ. 2543 สมชาย ปรีชาศิลปกุล ใช้คำว่า สิทธิการดื้อแพ่งต่อกฎหมาย เพื่ออธิบายแนวคิดเดียวกันนี้ ในหนังสือชื่อเดียวกัน[3] โดยเสนอว่า
- civil disobedience ถือเป็นสิทธิที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ด้วยเหตุว่า เวทีประชาธิปไตยไม่น่าจะคับแคบเพียงการเลือกตั้งที่เป็นทางการ เพราะการใช้สิทธิเช่นนี้ถือได้ว่า เป็นการใช้ประชาธิปไตยทางตรง และดังนั้น จึงมีสถานะเหนือกว่าประชาธิปไตยของนักเลือกตั้งในระบบตัวแทน
ส่วน ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร เสนอ[4] ว่า
- สิทธิที่จะไม่เชื่อฟังรัฐเป็นช่องทางการเคลื่อนไหวเรียกร้องของผู้คนธรรมดาในระบอบประชาธิปไตย นอกเหนือช่องทางปกติ เป็นตัวสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งกระทำไม่ได้ในระบบที่ดำรงอยู่ ถือเป็นคุณูปการที่เด่นชัดของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม/ประชาสังคมรูปแบบใหม่ในปัจจุบัน
ชัยวัฒน์ได้อธิบายไว้ว่า ได้เลี่ยง[5]ที่จะใช้คำว่า "สิทธิการดื้อแพ่งต่อกฎหมาย" เนื่องจากคำว่า "ดื้อแพ่ง" ในภาษาไทยนั้นมีความหมายในนัยไม่สู้ดี และเสนอคำว่า "อารยะขัดขืน" ซึ่งเป็นคำที่มีอคติทางลบแฝงอยู่น้อยกว่า ขณะเดียวกัน ยังเป็นคำกิริยาที่คงคุณลักษณะความเป็นคำในเชิงปฏิบัติเอาไว้
อย่างไรก็ตาม แก้วสรร อติโพธิ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการใช้คำว่า อารยะ ว่าแท้จริงแล้วคำว่า Civil น่าจะหมายถึงคำว่าพลเมือง และเสนอว่าน่าจะแปลเป็นไทยว่า การแข็งข้อไม่ยอมเป็นพลเมือง [6]
ในวันที่ 2 เม.ย. พ.ศ. 2549 รศ. ดร. ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉีกบัตรเลือกตั้งของตนทิ้งให้สื่อมวลชนดูหลังจากที่ใช้สิทธิลงคะแนนไม่เลือกผู้ใดแล้ว โดยเขายอมรับว่ากระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งและพร้อมสู้คดีในทางกฎหมายต่อไป อย่างไรก็ตามไชยันต์ยืนยันสิทธิของตนตามมาตรา 65 ของรัฐธรรมนูญว่าบุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัวไปสอบสวน (อ้าง [1] และ [2]) หลังจากนั้นนายรัฐเอกราช ราษฎร์ภักดีรัช ได้ร่วมฉีกบัตรเลือกตั้งเช่นเดียวกัน โดยรัฐเอกราชได้กล่าวว่าตนเห็นว่าการวางตำแหน่งของคูหาเลือกตั้งนั้นไม่ถูกต้อง จึงได้แต่งชุดดำประท้วงและฉีกบัตรเลือกตั้ง รัฐเอกราชกล่าวว่าตนมีอุดมการณ์เดียวกับไชยันต์ด้วย (อ้าง [3]) ล่าสุดศูนย์นิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ยืนยันว่าจะช่วยเหลือไชยันต์ในทางกฎหมายแล้ว (อ้าง [4]) นอกจากในวันเดียวกันนายยศศักดิ์ โกศยากานนท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ยังได้ใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มนิ้วชี้ตนเองและใช้เลือดในการกากบาทในช่องลงคะแนนของบัตรเลือกตั้ง โดยเขายืนยันว่าได้ศึกษาข้อกฎหมายแล้วไม่ได้เป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายแต่อย่างใด แม้ว่ายศศักดิ์จะกล่าวว่าเขาประท้วงตามแนวทางดื้อแพ่ง ถ้าพิจารณาในแง่ที่ว่าการกระทำดังกล่าวไม่ผิดกฎหมายของยศศักดิ์จึงไม่น่าจัดว่าเป็นดื้อแพ่ง แต่เป็นการประท้วงแบบสันติวิธี
อ้างอิง
- ↑ พัฒนายุ ทารส, แด่ 'โรซา ปาร์คส์' นักสู้เพื่อสิทธิคนผิวสี, เนชั่น สุดสัปดาห์, 28 ตุลาคม พ.ศ. 2548
- ↑ ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์. คอลัมน์หมายเหตุการณ์. เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 15 ฉบับที่ 718 วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2549.
- ↑ สิทธิการดื้อแพ่งต่อกฎหมาย ISBN 9748768279 สมชาย ปรีชาศิลปกุล สำนักพิมพ์ ร่วมด้วยช่วยกัน พ.ศ. 2543.
- ↑ "ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่ ขบวนการเคลื่อนไหวประชาสังคมในต่างประเทศ : บทสำรวจพัฒนาการ สถานภาพและนัยเชิงความคิด/ ทฤษฎีต่อการพัฒนาประชาธิปไตย" ISBN 9748539636 ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร พ.ศ. 2545.
- ↑ 'ดื้อแพ่ง' กับการล้ม 'ระบอบทักษิณ' หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2549.
- ↑ คอลัมน์สยามภาษา หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับ วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2549.
ดูเพิ่ม
- การเดินขบวนวันจันทร์ในเยอรมนีตะวันออก
- รายชื่อผู้ฉีกบัตรเลือกตั้งเพื่อประท้วงในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2549
แหล่งข้อมูลอื่น
- ชัยวัฒน์ สถาอานันท์. 2549. ดื้อแพ่ง. มูลนิธิโกมลคีมทอง
- สมชาย ปรีชาศิลปกุล. 2549. age86.htm การดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชน มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
- ชำนาญ จันทร์เรือง. 2549. สิทธิที่จะไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประชาไท 2 เมษายน 2549
- อมร วาณิชวิวัฒน์. 2549. เราเข้าใจ Civil Disobedience กันดีแค่ไหน? กรุงเทพธุรกิจ 5 เมษายน 2549
- ทีมข่าวเสาร์สวัสดี. 2549. ก้าวที่กล้า...ดื้อแพ่ง จุดประกาย เสาร์สวัสดี กรุงเทพธุรกิจ 8 เมษายน 2549
- คนชายขอบ. มี.ค. 2549 ดื้อแพ่ง: ทางออกสุดท้ายของประชาชน?" เว็บไซต์คนชายขอบ
- พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์. 2549. กระดานความคิด : ดื้อแพ่งของ อ.ไชยันต์ : บททดลองตีความ หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับวันที่ 4 เมษายน 2549
- วีระ สมบูรณ์. 2549. ดื้อแพ่ง มติชนสุดสัปดาห์ 21 เมษายน 2549
- ที่มาของ "ขัดขืนอย่างอารยะ..." คือต่อต้านรัฐบาลเลวอย่างอหิงสา กรุงเทพธุรกิจ 27 เมษายน 2549
- Saichan, Kosum. 2003. Civil Disobedience under Thai Crony Capitalism. Presented at "Politics of the Commons: Articulating Development and Strengthening Local Practices".