ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ระ-ทะ-ทู-อี่ พ่อครัวตัวจี๊ด หัวใจคับโลก"
ล โรบอต แก้ไข: bg:Рататуй (филм) |
ล โรบอต เพิ่ม: cy:Ratatouille (ffilm 2007) |
||
บรรทัด 513: | บรรทัด 513: | ||
[[ca:Ratatouille (pel·lícula)]] |
[[ca:Ratatouille (pel·lícula)]] |
||
[[cs:Ratatouille (film)]] |
[[cs:Ratatouille (film)]] |
||
[[cy:Ratatouille (ffilm 2007)]] |
|||
[[da:Ratatouille (film)]] |
[[da:Ratatouille (film)]] |
||
[[de:Ratatouille (Film)]] |
[[de:Ratatouille (Film)]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 23:42, 30 พฤษภาคม 2551
ระ-ทะ-ทู-อี่ พ่อครัวตัวจี๊ด หัวใจคับโลก | |
---|---|
ไฟล์:RatatouillePoster.jpg ใบปิดภาพยนตร์ | |
กำกับ | แบรด เบิร์ด แจน พินคาว่า (ให้เครดิตเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ) |
เขียนบท | แบรด เบิร์ด เนื้อเรื่อง: แจน พินคาว่า Jim Capobianco แบรด เบิร์ด Emily Cook Kathy Greenberg |
อำนวยการสร้าง | แบรด ลูอิส |
นักแสดงนำ | แพทตัน ออสวัลท์ ลู โรมาโน ปีเตอร์ ซอห์น แบรด การ์เร็ต จานีน กาโรฟาโล เอียน โฮล์ม ไบรอัน เดนเนฮี ปีเตอร์ โอ’ ทูล |
กำกับภาพ | Robert Anderson Sharon Calahan |
ตัดต่อ | Darren T. Holmes |
ดนตรีประกอบ | ไมเคิล จิอาคิโน |
ผู้จัดจำหน่าย | วอล์ท ดิสนีย์ พิกเจอร์ พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ |
วันฉาย | RUS 28 มิถุนายน 2550 NA 29 มิถุนายน 2550 THA 26 กรกฎาคม 2550 FRA 1 กุมภาพันธ์ 2550 AUS 28 กุมภาพันธ์ 2550 PHI 6 กันยายน 2550 UK 12 ตุลาคม 2550 |
ความยาว | 111 นาที |
ประเทศ | สหรัฐ |
ภาษา | อังกฤษ |
ทุนสร้าง | 150 ล้านเหรียญสหรัฐ[1] |
ทำเงิน | ทั่วโลก: 620,261,049 เหรียญสหรัฐ |
ข้อมูลจาก All Movie Guide | |
ข้อมูลจาก IMDb | |
ข้อมูลจากสยามโซน |
ระ-ทะ-ทู-อี่ พ่อครัวตัวจี๊ด หัวใจคับโลก เป็นชื่อภาษาไทยของภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Ratatouille ผลิตโดย พิกซาร์ และจัดจำหน่ายโดย วอล์ท ดิสนีย์ แอนิเมชัน กำกับภาพยนตร์โดย แบรด เบิร์ด (Brad Bird) ออกฉายในประเทศไทยในวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 และออกฉายในสหรัฐอเมริกาวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ถือเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันลำดับที่ 8 ของพิกซาร์ โดยตั้งชื่อตามอาหารของฝรั่งเศส ราทาทุย (ออกเสียง แรททาทูอี ในภาษาอังกฤษ) ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์, รางวัลลูกโลกทองคำ, รางวัลบาฟต้า, และรางวัลแกรมมี่
เนื้อเรื่อง
แม่แบบนี้ถูกยกเลิกการใช้งานแล้วโดยไม่มีแม่แบบอื่นใช้ทดแทน (ดูเพิ่มที่วิกิพีเดีย:ระวังเสียอรรถรส) กรุณาอย่าใช้แม่แบบนี้อีก |
เรมี่ (Rémy) เป็นหนูซึ่งอาศัยอยู่ในฝรั่งเศส อยู่กับอาณาจักรหนูโดยมีพี่ชายคือ เอมิล (Emile) และมีพ่อคือ จังโก้ (Django) ซึ่งเป็นหัวหน้าอาณาจักรหนู เรมี่มีประสาทรับรสที่ดีเยี่ยม พ่อของเขาจึงให้เรมี่เป็นคนตรวจสอบยาเบื่อ แต่เรมี่ค่อนข้างแตกต่างจากหนูตัวอื่นๆ ที่เขามักจะเลือกกินแต่ของดีๆ และเดินสองขาเพราะไม่อยากให้มือ (เท้าหน้า) สกปรก เรมี่จึงไม่ค่อยลงรอยกับพ่อเขามากนัก จนวันหนึ่งเรมี่และเอมิลได้เข้าไปภายในบ้านของหญิงแก่เพื่อหาของกิน และเขาก็พบหนังสือของ ออกุส กุสโตว์ (Auguste Gusteau) เชฟมือทองของฝรั่งเศส โดยเขามีร้านอาหารชื่อกุสโตว์ (Gusteau's) ซึ่งเป็นร้านอาหารห้าดาวในปารีส โดยเรมี่ชื่นชมเชฟกุสโตว์มาก โดยเฉพาะคติของเขาที่ว่า "ไม่ว่าใครก็ทำอาหารได้" (Anyone can cook!) แต่เรมี่ก็ได้ดูโทรทัศน์ก็พบว่า ร้านกุสโตว์ถูกลดดาวเหลือเพียงสี่ดาวหลังจากถูกวิจารณ์โดยนักวิจารณ์อาหาร แอนทอน อีโก้ (Anton Ego) หลังจากนั้นไม่นานเชฟกุสโตว์ก็เสียชีวิตลงในเวลาต่อมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ด้วยเหตุนี้ร้านกุสโตว์จึงถูกลดดาวอีกเป็นสามดาว ขณะที่เรมี่ดูโทรทัศน์อยู่และทราบว่าเชฟกุสโตว์ตายแล้ว หญิงแก่ก็ตื่นขึ้นพอดี และพยายามใช้ปืนไล่ยิงเรมี่และเอมิล จนหลังคาด้านบนแตกออกและหนูจำนวนมากก็หล่นลงมา พ่อของเรมี่จึงรีบให้หนูทุกตัวไปขึ้นแพตรงแม่น้ำ แต่เรมี่เอาหนังสือของกุสโตว์ไปด้วย ทำให้ตามหนูที่เหลือไม่ทันและพลัดพรากจากครอบครัว
หลังจากที่เรมี่เริ่มหมดหวัง ภาพในจิตนการของเรมี่ซึ่งเป็นเชฟกุสโตว์ก็ออกมาและบอกเรมี่ว่า "อาหารจะมาหาผู้รักการทำอาหารเสมอ" เรมี่จึงวิ่งไปเรื่อยๆ และพบว่าเขาอยู่ในกรุงปารีสและพบร้านกุสโตว์ โดยปัจจุบันมีหัวหน้าเชฟคือ สกินเนอร์ (Skinner) ซึ่งเคยเป็นอดีต ซูเชฟ (sous-chef/รองหัวหน้าเชฟ) ของร้านกุสโตว์ ในขณะนั้นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ อัลเฟรโด้ ลิงกวินี่ (Alfredo Linguini) มาขอทำงานในร้านกุสโตว์โดยมาพร้อมกับจดหมายจากแม่ของเขาซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว สกินเนอร์จึงให้ลิงกวินี่เป็นเด็กเทขยะ และเขาก็ทำหม้อซุปหล่น เขาจึงปรุงซุปแบบหยิบอะไรได้ก็ใส่ลงไป เรมี่บังเอิญหล่นจากหลังคาร้านกุสโตว์ลงไปยังอ่างล้างจาน หลังจากพยายามหนีออกมา เขาได้กลิ่นซุปแล้วรู้สึกไม่ดีเขาจึงพยายามแก้รสของซุป ลิงกวินี่เห็นเรมี่พอดีจึงใช้ที่ครอบหม้อจับไว้ สกินเนอร์จึงจับลิงกวินี่ไว้ข้อหาที่เขาทำอาหารในครัว ในขณะที่อยู่ในความสับสน ซุปได้ถูกเสิร์ฟไปยังแขกลูกค้าแล้ว และลูกค้าคนนั้นคือนักวิจารณ์อาหาร โซลีน เลอแคลร์ โดยเธอชมว่าซุปของร้านกุสโตว์มีรสชาติดีเยี่ยม
เซฟผู้หญิงคนเดียวในร้านกุสโตว์ คอลเลตต์ ทาทูว์ (Colette Tatou) บอกสกินเนอร์ไม่ให้ไล่ลิงกวินี่ออก และยกคติของเชฟกุสโตว์ว่า "ไม่ว่าใครก็ทำอาหารได้" สกินเนอร์จึงไม่ไล่ลิงกวินี่ออกแต่จะให้เขาทำซุปใหม่อีกครั้ง ขณะที่สกินเนอร์กำลังคุยกับลิงกวินี่อยู่นั้นเขาก็เห็นเรมี่กำลังหนีอยู่พอดี ลิงกวินี่จึงจับเรมี่ไว้ในขวด และสกินเนอร์ก็สั่งให้เอาเรมี่ไปไกลๆ แล้วฆ่ามัน แต่เมื่อถึงริมฝั่งแม่น้ำลิงกวินี่ไม่สามารถทำใจฆ่าเรมี่ได้ เขาจึงเริ่มคุยกับเรมี่ บอกปัญหาต่าง และเขาพบว่าเรมี่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด โดยการพยักหน้าและภาษากาย
วันรุ่งขึ้นร้านกุสโตว์ถูกจับตามองอีกครั้งหลังคำวิจารณ์ของโซลีน เลอแคลร์เผยแผร่ โดยลิงกวินี่คิดหาว่าจะไว้เรมี่ที่ไหนดี และสุดท้ายหลังจากใช้ความพยายามหลายครั้งเขาจึงเอาเรมี่ไว้ในหมวกพ่อครัว และตอนนั้นลิงกวินี่เกือบจะชนกับบริกรของร้าน เรมี่ก็ดึงผมของลิงกวินี่โดยไม่ได้ตั้งใจ ลิงกวินี่ก็หลบบริกรได้ทัน ลิงกวินี่จึงถามเรมี่ว่าเขาทำได้อย่างไร เรมี่ก็ลองดึงผมของลิงกวินี่ ลิงกวินี่ก็ขยับตามการดึงผมของเรมี่ เรมี่จึงใช้วิธีนี้ให้เขาสามารถควบคุมลิงกวินี่ให้ทำอาหารได้
ลิงกวินี่สามารถทำซุปใหม่ผ่านการควบคุมอย่างลับๆ ของเรมี่ แต่สกินเนอร์ก็สงสัยว่าทำไมคนไม่เคยทำอาหารอย่างลิงกวินี่จึงทำซุปได้อร่อยนัก ในคืนนั้นมีลูกค้าประจำโดยพวกเขาต้องการอาหารสูตรใหม่ที่ไม่มีอยู่ในเมนูบ้าง เรมี่และลิงกวินี่ก็ทำอาหาร สวีตเบรด-อลากุสโตว์ ซึ่งกุสโตว์ยังเคยพูดเองว่าอาหารสูตรนี้แย่สุดๆ แต่ลูกค้าชอบมากและมีออเดอร์เข้ามาหลายที่ ระหว่างที่ลิงกวินี่กำลังฉลองความสำเร็จเล็กๆ ในร้าน ในตอนนั้นสกินเนอร์เขาก็เห็นเงาของหนูในหมวกของลิงกวินี่ เขาจึงให้ลิงกวินี่ดื่มไวน์ ชาโต ลาตูร์ (Château Latour) จนเมาเพื่ออาจจะได้ความลับบางอย่างแต่ก็ไม่สำเร็จ เขาซึ่งให้ลิงกวินี่ล้านจานและทำความสะอาดร้านจนถึงเช้า
วันรุ่งขึ้นขณะที่ลิงกวินี่กำลังหลับอยู่และยังไม่ส่างเมา คอลเลตต์ได้มาถึงพอดี เรมี่จึงเข้าไปในหมวกของลิงกวินี่และใส่แว่นดำให้กับเขา และควบคุมลิงกวินี่ทั้งๆ ที่หลับ จนสุดท้ายลิงกวินี่เกือบที่จะเปิดเผยความจริง เรมี่จึงดึงผมของลิงกวินี่จนลิงกวินี่ล้มบนคอลเลตต์และจูบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งสองเริ่มเดตกัน ทำให้เรมี่รู้สึกว่าถูกละทิ้ง ในขณะนั้นสกินเนอร์ได้อ่านจดหมายจากแม่ของลิงกวินี่และพบว่าลิงกวินี่เป็นลูกชายของกุสโตว์และต้องรับมรดกร้านกุสโตว์ไว้ จากพินัยกรรมของเชฟกุสโตว์ หากไม่มีทายาทของกุสโตว์ปรากฏตัวภายใน 2 ปีหลังจากกุสโตว์เสียชีวิต ตำแหน่งหัวหน้าเชฟจะตกเป็นของผู้ช่วยเชฟ ซึ่งนั่นคือสกินเนอร์นั่นเอง ทำให้แผนการของสกินเนอร์ที่จะขายชื่อร้านกุสโตว์ในธุรกิจอาหารแช่แข็งอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม และสกินเนอร์ก็พยายามหาวิธีเขี่ยลิงกวินี่ออกจากร้านกุสโตว์ให้ได้
คืนหนึ่ง เรมี่ได้พบกับครอบครัว จังโก้พ่อของเขาจัดงานฉลองอย่างใหญ่โต แต่เรมี่บอกว่าเขาจะไม่อยู่กับครอบครัวแต่จะกลับไปอยู่กับมนุษย์ (ลิงกวินี่) แล้วจะกลับมาเยี่ยมครอบครัวบ่อยๆ จังโก้จึงพาเรมี่ไปยังร้านขายยาเบื่อและกับดักหนูซึ่งมีแต่หนูที่ตายอยู่ในตู้กระจก และบอกเรมี่ว่านี่คือผลจากการที่หนูทำตัวสบายใกล้มนุษย์เกินไป เรมี่ไม่เชื่อและขอเดินในเส้นทางของเขาเอง
ระหว่างที่กำลังหาอาหาร เรมี่ได้พบพินัยกรรมของกุสโตว์ในลิ้นชักของสกินเนอร์ หลังจากหนีการตามล่าของสกินเนอร์ เรมี่สามารถหนีมาได้และเอาไปให้ลิงกวินี่ ลิงกวินี่ถือว่าเป็นเจ้าของร้านกุสโตว์อย่างสมบูรณ์แล้ว ทำให้แผนของสกินเนอร์ต้องล่มทั้งหมด สกินเนอร์ถูกไล่ออกทำให้ร้านกุสโตว์มีหน้าตาขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ยินดีในตัวลิงกวินี่ แอนทอน อีโก้ นักวิจารณ์อาหารได้มายังร้านกุสโตว์อีกครั้ง และบอกแก่ลิงกวินี่ว่าพรุ่งนี้เขาจะมาอีกครั้งด้วยความหวังอย่างสูง แต่ในวันนั้นลิงกวินี่และเรมี่แตกคอกัน แต่บังเอิญสกินเนอร์เห็นเรมี่พอดีและรู้ความจริงว่าเรมี่เป็นคนทำอาหาร วันต่อมาสกินเนอร์จึงวางกับดักเรมี่ และจะให้เรมี่ทำอาหารแช่แข็งยี่ห้อเชฟสกินเนอร์แลกกับการไม่ฆ่าเรมี่ ทางด้านร้านกุสโตว์ อีโก้ได้มาถึงและบอกแก่บริกรว่า “บอกเชฟลิงกวินี่ของคุณว่าให้เอาอะไรก็ได้ที่เขากล้ามาเสิร์ฟผม ให้เขาซัดผมด้วยสูตรเด็ดของเขาเลย” สกินเนอร์ซึ่งแอบปลอมตัวมาก็สั่งอาหารตามที่อีโก้สั่ง ลิงกวินี่ซึ่งไม่รู้จะทำอาหารอะไรดีเพราะตอนนี้เรมี่ไม่อยู่แล้ว เขาจึงกระวนกระวายและวิ่งเข้าห้องทำงานไป
เรมี่ได้รับความช่วยเหลือจากพ่อของเขาและเอมิล เรมี่รีบกลับไปที่ร้านกุสโตว์ทันทีเพราะเขารู้ว่าลิงกวินี่ต้องทำอาหารไม่ได้แน่ แต่เมื่อเขาไปถึงพวกเชฟก็พยายามจะจับเรมี่ ลิงกวินี่เห็นดังนั้นจึงรีบมาปกป้องเรมี่ไว้ และอธิบายว่าเรมี่เป็นคนทำอาหาร ทำให้คนอื่นๆ รับไม่ได้จึงเดินออกจากครัวไปหมด เหลือแต่ลิงกวินี่กับเรมี่ ลิงกวินี่จึงเดินคอตกเข้าห้องไป พ่อของเรมี่ก็ออกมาและบอกว่าเขาบอกเพื่อนของเรมี่ผิดไปและมองเรมี่ผิด เขาจึงเรียกพรรคพวกหนูของเขามาและบอกแก่เรมี่ว่า ให้เรมี่สั่งมาได้เลยว่าให้ทำอาหารยังไง แต่บังเอิญเจ้าหน้าที่กรมอนามัยที่สกินเนอร์ได้โทรนัดไว้มาพอดี พ่อของเรมี่จึงให้พรรคพวกส่วนหนึ่งจับไว้ อีกส่วนหนึ่งช่วยเรมี่ทำอาหาร
ด้านคอเลตต์ ขณะที่เธอกับขี่จักรยานยนต์ไปตามถนน เธอได้เห็นหนังสือของกุสโตว์ “ไม่ว่าใครก็ทำอาหารได้” เธอจึงยอมที่จะกลับไปที่ร้านกุสโตว์ ขณะนั้นลิงกวินี่เป็นบริกรชั่วคราวโดยใช้โรวเลอร์สเก็ตเพื่อความรวดเร็ว เรมี่เสนอคอลเลตต์ให้ทำ แรททาทูอี (Ratatouille) แต่คอลเลตต์แย้งว่ามันเป็นอาหารคนจน และถามเรมี่อีกครั้ง แต่เรมี่มั่นใจที่จะทำแรททาทูอี เมื่อแรททาทูอีเสิร์ฟไปถึงโต๊ะของอีโก้และสกินเนอร์ เมื่ออีโก้กินเข้าไปคำแรก เขาก็ระรึกถึงวัยเด็กสมัยที่แม่ของเขาเคยทำแรททาทูอีให้กิน สกินเนอร์ซึ่งเมื่อกินแล้วก็บุกเข้าไปถึงในครัวแล้วถามว่าใครเป็นคนทำระทะทูอี แต่เมื่อเขาเห็นหนูกำลังทำอาหารเขาก็ตกตะลึงและถูกพวกหนูจับขังเหมือนเจ้าหน้าที่อนามัย
อีโก้ตอนแรกคิดว่าลิงกวินี่เป็นเชฟ แต่ลิงกวินี่บอกอีโก้ว่าเขาเป็นแค่เด็กเสิร์ฟ อีโก้ต้องการจะพบเชฟ คอลเลตต์จึงบอกอีโก้ว่าเขาต้องรอจนกว่าแขกคนอื่นๆ จะกลับไปหมดก่อน หลังร้านปิดลิงกวินี่ก็เผยว่าเรมี่เป็นคนทำอาหาร และได้พาไปดูถึงในครัว อีโก้จึงได้เปลี่ยนความคิดเดิมๆ ของเขาแล้วเขียนคำวิจารณ์ว่า ตอนนี้ผมพอที่จะเข้าใจความหมายของคำที่ว่า "ไม่ว่าใครก็ทำอาหารได้" และกล่าวว่าเชฟที่ร้านกุสโตว์เป็นเชฟที่ยอดเยี่ยมที่สุดของฝรั่งเศส
อย่างไรก็ตามร้านกุสโตว์ถูกปิดโดยกรมอนามัย อีโก้เสียเครดิตไปจำนวนมาก ถึงกระนั้น ลิงกวินี่, คอลเลตต์, และเรมี่จึงไปเปิดร้านอาหารเล็กๆ แห่งใหม่ที่ชื่อว่า La Ratatouille โดยมีอีโก้เป็นลูกค้าประจำ ระเบียงด้านบนร้านเป็นร้านอาหารเล็กๆ สำหรับหนู ภาพยนตร์จบลงด้วยภาพคนต่อแถวยาวจากร้าน โดยมีสัญลักษณ์ร้านเป็นหนูใส่หมวกพ่อครัวและถือทัพพี และขึ้นคำว่า "Fin" ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่า "จบ"
แม่แบบนี้ถูกยกเลิกการใช้งานแล้วโดยไม่มีแม่แบบอื่นใช้ทดแทน (ดูเพิ่มที่วิกิพีเดีย:ระวังเสียอรรถรส) กรุณาอย่าใช้แม่แบบนี้อีก |
ตัวละคร
- เรมี่ (Rémy)
- หนูชนบทที่มีความใฝ่ฝันอยากที่จะเป็นเชฟชื่อดังในกรุงปารีส โดยตอนหลังอยู่ที่ร้าน La Ratatouille โดยคอยช่วยลิงกวินี่และคอลเลตต์ทำอาหาร
ให้เสียงพากย์โดย แพทตัน ออสวัลท์
- อัลเฟรโด้ ลิงกวินี่ (Alfredo Linguini)
- ลูกชายของออกุส กุสโตว์ เชฟชื่อดังของฝรั่งเศส ตอนแรกเขาทำงานเป็นเด็กเทขยะ แต่เมื่อมีเรมี่คอยให้ความช่วยเหลือ เขาก็กลายเป็นเชฟที่มีชื่อเสียง โดยมีความสัมพันธ์กับคอลเลตต์ตั้งแต่เรมี่ทำให้ลิงกวินี่จูบคอลเลตต์โดยไม่ได้ตั้งใจ
ให้เสียงพากย์โดย ลู โรมาโน
- คอลเลตต์ ทาทูว์ (Colette Tatou)
- เชฟผู้หญิงคนเดียวในร้านกุสโตว์ โดยเธอคอยฝึกการเป็นเชฟให้กับลิงกวินี่ตอนที่เข้ามาทำงานใหม่ๆ ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยถูกใจลิงกวินี่เท่าไหร่นัก แต่เมื่อลิงกวินี่จูบเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอกับลิงกวินี่ก็เริ่มออกเดตด้วยกัน ทำให้เรมี่รู้สึกโดดเดี่ยว โดยเธอเป็นคนๆ เดียวที่กลับช่วยเหลือลิงกวินี่จนผ่านวิกฤตไปได้
ให้เสียงพากย์โดย จานีน กาโรฟาโล
- สกินเนอร์ (Skinner)
- เจ้าของร้านกุสโตว์หลังจากที่กุสโตว์ตายไป เป็นหนึ่งในตัวร้ายหลักของเรื่อง เขาต้องการที่จะขายชื่อกุสโตว์เพื่อทำการตลาดอาหารกล่องและอาหารแช่แข็ง
ให้เสียงพากย์โดย เซอร์ เอียน โฮล์ม
- แอนทอน อีโก้ (Anton Ego)
- เป็นนักวิจารณ์อาหารที่มีอิทธพลมากที่สุดในฝรั่งเศส และเคยวิจารณ์ร้านกุสโตว์ซึ่งอาจเป็นเหตุการตายของกุสโตว์ก็เป็นได้ เขากล่าวว่า เขารักอาหาร แต่ถ้าเขาไม่ชอบมันเขาจะไม่กลืนมันลงคอ
ให้เสียงพากย์โดย ปีเตอร์ โอ’ ทูล
- ออกุส กุสโตว์ (Auguste Gusteau)
- เชฟชื่อดังของฝรั่งเศสที่เสียชีวิตอย่างไม่ทราบสาเหตุหลังจากร้านกุสโตว์ถูกลดดาวเหลือสี่ดวงเหตุโดยคำวิจารณ์ของอีโก้ โดยเขาได้เขียนพินัยกรรมทิ้งไว้ก่อนเสียชีวิต กุสโตว์ปรากฏออกมาเป็นระยะในรูปจินตนาการของเรมี่
ให้เสียงพากย์โดย แบรด การ์เร็ต
- เอมิล (Emile)
- พี่ชายของเรมี่ เป็นคนทึ่งอะไรง่ายและมองโลกในแง่ดี และค่อนข้างตะกละ
ให้เสียงพากย์โดย ปีเตอร์ ซอห์น
- จังโก้ (Django)
- พ่อของเรมี่และเอมิล และเป็นหัวหน้าอาณาจักรหนู เขาไม่ต้องการอะไรนอกจากให้เรมี่เป็นเหมือนกันหนูตัวอื่นๆ ในอาณาจักร จังโก้ไม่เห็นด้วยที่เรมี่จะไปอยู่กับมนุษย์แต่สุดท้ายเขาก็ยอมที่จะช่วยเรมี่ให้ร้านกุสโตว์ฝ่าวิกฤตไปได้
ให้เสียงพากย์โดย ไบรอัน เดนเนฮี
ตัวละครอื่นๆ
- Will Arnett พากย์เสียง ฮอสส์ (Horst) ซูเชฟร้านกุสโตว์
- James Remar พากย์เสียง ลาร์รูส (Larousse) เชฟร้านกุสโตว์
- Tony Fucile พากย์เสียง บอมปีดู (Pompidou) เชฟร้านกุสโตว์ และ คนจากกรมอนามัย
- Julius Callahan พากย์เสียง ลาโล (Lalo) เชฟร้านกุสโตว์ และ ฟรังซัวส์ (Francois) คนออกแบบอาหารให้กับสกินเนอร์
- John Ratzenberger พากย์เสียง มุสตาฟาร์ (Mustafa) บริกรของร้านกุสโตว์
- Teddy Newton พากย์เสียง ทาลอง ลาบาร์ดี (Talon Labarthe) ทนายของสกินเนอร์
- แบรด เบิร์ด พากย์เสียง แอมบริสเตอร์ มีเนียน (Ambrister Minion) คนรับใช้ของอีโก้
- โธมัส เคลเลอร์ พากย์เสียง แขกร้านกุสโตว์[2]
-
เรมี่
-
ลิงกวินี่
-
คอลเลตต์
-
สกินเนอร์
-
อีโก้
-
กุสโตว์
-
เอมิล
-
จังโก้
การสร้างภาพยนตร์
ในตอนแรก แจน พินคาว่าเป็นคนเริ่มออกแบบและกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2544 โดยเขาเป็นคนวางโครงเรื่องและตัวละครในตอนแรก[3] แต่พิกซาร์ไม่มีความมั่นใจในการเขียนบทของพินคาว่า[4] จึงเปลี่ยนผู้กำกับดูแลเป็นแบรด เบิร์ดในปีพ.ศ. 2548[5][6][7] เบิร์ดสนใจต่อภาพยนตร์เรื่องนี้มากด้วยเหตุที่มีเนื้อเรื่องค่อนข้างแหวกแนวจากภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ และเบิร์ดต้องการให้ภาพยนตร์ออกแนวตลกเจ็บตัว[5] โดยใช้ตัวลิงกวินี่เป็นตัวละครสำคัญ[8] เบิร์ดเขียนเนื้อเรื่องใหม่โดยให้มีเนื้อหาที่เข้มข้นขึ้น เขาตัดบทกุสโตว์ให้น้อยลง แล้วไปเพิ่มบทให้กับสกินเนอร์และคอลเลตต์[9] และพยายามไม่ให้ลักษณะของหนูเป็น anthropomorphic มากเกินไป[10] (คือการนำลักษณะของมนุษย์ไปเข้ากับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์หรือสิ่งไม่มีชีวิต เช่นอย่างที่เห็นได้ในเรื่อง ทอย สตอรี่ (Toy Story))
เนื่องจาก Ratatouille มีเนื้อหาเกี่ยวกับความใฝ่ฝัน ความสวยงาม อย่างเช่นทิวทัศน์ของกรุงปารีส ทำให้ Ratatouille แตกต่างจากภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ[5] ของพิกซาร์อย่างชัดเจน ผู้กำกับแบรด เบิร์ด ผู้อำนวยการสร้างแบรด ลูอิส และลูกทีมต้องไปที่ปารีสเพื่อดูสภาพแวดล้อมของเมือง ขี่จักรยานยนต์รอบเมือง และกินอาหารที่ร้านอาหารชื่อดัง 5 ร้านในปารีส[11] นอกจากนั้น Ratatouille ยังมีฉากเกี่ยวกับน้ำ 2 ฉาก อย่างเช่นฉากที่เรมี่เข้าไปอยู่ในท่อระบายน้ำ และฉากที่ลิงกวินี่ค้วาขวดโหลที่ใส่เรมี่ไว้แล้วตกน้ำ พนักงานของพิกซาร์ (Shade/Paint Dept Coordinator Kesten Migdal) ต้องใส่ชุดพ่อครัวและกระโดดลงไปในสระว่ายน้ำของพิกซาร์เพื่อดูว่าผ้าส่วนไหนเปียกจนแนบเนื้อหรือมีสีเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง[12]
การออกแบบอาหาร
ความท้าทายของผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้คือการสร้างอาหารซึ่งเกิดจากภาพกราฟิกส์ทางคอมพิวเตอร์ และที่สำคัญคือต้องทำให้อาหารดูน่ารับประทาน พิกซาร์จึงได้เชิญเชฟทั้งของสหรัฐและฝรั่งเศสมาประชุมกัน[10] และทีมแอนิเมชันต้องไปเรียนทำอาหารที่โรงเรียนสอนการประกอบอาหารใน San Francisco-area เพื่อทำความเข้าใจกับงานในครัว[2] Sets/Layout Dept Manager Michael Warch คอยช่วยเหลือพิกซาร์ด้านการออกแบบอาหาร โธมัส เคลเลอร์ (Thomas Keller) เชฟที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกันที่ชำนาญในการทำอาหารฝรั่งเศส อนุญาตให้ผู้อำนวยการสร้างแบรด ลูอิส เข้าไปดูครัวของเขาที่ร้าน French Laundry ได้ เชฟเคลเลอร์ได้ออกแบบอาหาร Ratatouille แบบใหม่ โดยเขาให้ชื่อว่า “confit byaldi” โดย confit byaldi มีมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1976 แต่เคลเลอร์ได้ออกแบบมันใหม่สำหรับภาพยนตร์โดยเฉพาะ ซึ่งก็คือ Ratatouille แบบที่เรมี่ทำเสิร์ฟให้อีโก้นั่นเอง[2] การให้แสงผักผลไม้ในเรื่องใช้แบบเดียวกับที่ใช้ในเรื่องรวมเหล่ายอดคนพิทักษ์โลก (The Incredibles)[13] และใช้โปรแกรมออกแบบลวดลายและการเคลื่อนไหวของอาหาร[14] ฝ่าย Art Department ได้ถ่ายรูปอาหารที่แตกต่างกัน 15 ชนิด เช่น แอปเปิ้ล, เบอร์รี่, กล้วย, เห็ด, ส้ม, บล็อกโคลี่, และผักกาดหอม เพื่อดูกระบวนการเน่าเปื่อยของอาหาร[15]
การออกแบบตัวละคร
นักออกแบบของพิกซาร์ Jason Deamer กล่าวว่า ตัวละครส่วนใหญ่นั้นออกแบบโดยแจน พินคาว่าขณะที่เขายังกำกับอยู่[16] พินคาว่าพูดถึงตัวละครที่ชื่ออีโก้ว่า ตัวอีโก้นั้นออกแบบให้คล้ายแร้ง[17] ผู้เชี่ยวชาญด้านหนู Debbie Ducommun ได้ดูถึงลักษณะของหนูและนิสัยของมัน[18] นักแอนิเมชันต้องดูลักษณะของหู, จมูก, อุ้งเท้า, และหางขณะที่เคลื่อนไหว[13] นักพากย์เสียงต้องฝึกสำเนียงภาษาฝรั่งเศสให้เข้าใจ แต่ John Ratzenberger กล่าวว่าเขาคิดว่าเขามีสำเนียงเป็นอิตาเลียนมากกว่า[11]
การจัดจำหน่าย
Ratatouille ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ณ Los Angeles' Kodak Theater[19] และฉายทั่วประเทศสหรัฐในสัปดาห์ต่อมา มาพร้อมกับภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องสั้นชื่อ Lifted ซึ่งถูกเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลออสการ์ด้วย[20]
การตลาด
ตัวอย่างภาพยนตร์ตัวแรกของ Ratatouille ออกฉายหลังจากเรื่อง 4 ล้อซิ่ง...ซ่าท้าโลก (Cars) ไม่นาน ซึ่งเป็นฉากที่เรมี่ขโมยชีสจากถาดรถเข็นในร้านกุสโตว์และถูกพ่อครัวในร้านไล่ล่า แต่ฉากนี้ก็ไม่ได้ปรากฏในภาพยนตร์แต่อย่างใด
ตัวอย่างภาพยนตร์ที่สองออกฉายเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2550[21] และ Ratatouille Big Cheese Tour เริ่มเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 โดยมีการแสดงการทำอาหารและตัวอย่างภาพยนตร์[22]
ดิสนีย์และพิกซาร์นำ Ratatouille ไปโฆษณาไวน์ของบริษัท Costco ในเดือนสิงหาคม ปี 2550 แต่ก็ได้รับการร้องเรียนจาก Wine Institute มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ว่าไม่ให้ใช้ตัวการ์ตูนโฆษณาไวน์เพื่อป้องกันนักดื่มเยาว์วัย แผนโฆษณานี่จึงล่มไป[23]
ในสหราชอาณาจักร ในตัวอย่างภาพยนตร์มีฉากของเรมี่และเอมิลออกฉายในโรงภาพยนตร์เพื่อรณรงค์การไม่ซื้อแผ่นภาพยนตร์ละเมิดลิขสิทธิ์[24] และยังมีการโฆษณารถยี้ห้อ Nissan Note โดยมีเอมิลและเรมี่เป็นตัวสื่อด้วย[25]
ดีสนีย์และพิกซาร์กังวลว่าผู้ชม จะไม่เข้าใจการออกเสียงคำว่า "ratatouille" ดังนั้นทั้งในตัวอย่างภาพยนตร์และโปสเตอร์หนังจะมีการออกเสียงคำไว้อยู่ด้วย[26][27]
แผ่นบลูเรย์และดีวีดี
Ratatouille ถูกจัดจำหน่ายในรูปแบบแผ่นบลูเรย์ความละเอียดสูง และแผ่นดีวีดี เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2550[28] โดยมีฉากที่ตัดออกและเบื้องหลังภาพยนตร์ ภายในแผ่นยังมีภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องสั้นชื่อ Lifted โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวฝึกหัดต้องพยายามที่จะลักพาตัวมนุษย์ที่กำลังหลับอยู่ โดยทั้งเรื่องไม่มีบทพูด และภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องสั้นอีกเรื่องหนึ่งชื่อ Your Friend the Rat รวมถึงฉากสัมภาษณ์ของและเชฟโธมัส เคลเลอร์
ผลตอบรับ
บ็อกซ์ ออฟฟิส
ในสหรัฐอเมริกา การเปิดตัวในสัปดาห์แรก Ratatouille เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ 3940 โรง และได้บ็อกซ์ ออฟฟิสอันดับหนึ่งในสัปดาห์นั้นด้วยรายได้จำนวน 42 ล้าน US$[29] เป็นภาพยนตร์ที่เปิดตัวได้ต่ำที่สุดของพิกซาร์นับแต่ A Bug's Life อย่างไรก็ตามในฝรั่งเศส Ratatouille ทำลายสถิติรายได้ภาพยนตร์แอนิเมชั่นสูงที่สุด[30] ในสหราชอาณาจักร Ratatouille ได้รายได้อันดับหนึ่งด้วยเงิน 4 ล้านปอนด์ ณ วันที่ 13 มกราคม 2551 Ratatouille ได้รายได้ทั้งหมด 206,445,654 US$ ในอเมริกาเหนือ และได้รายได้รวมทั่วโลกทั้งหมด 617,245,654 US$ ทำให้ Ratatouille ได้รายได้สูงสุดเป็นอันดับสามของพิกซาร์ตลอดกาลรองจากนีโม...ปลาเล็กหัวใจโต๊...โต (Finding Nemo) และรวมเหล่ายอดคนพิทักษ์โลก (The Incredibles)[31]
ปฏิกิริยาของนักวิจารณ์ภาพยนตร์
นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ให้คำวิจารณ์ในด้านบวก โดยเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ให้เรทติ้ง Ratatouille 95% จาก 199 ความเห็น[32] และเว็บไซต์ Metacritic ให้เรทติ้ง 96% จาก 37 ความเห็น และยังเป็นภาพยนตร์ที่ได้เรทติ้งสูงสุดตลอดการอันดับหกบนเว็บไซต์เมื่อ มกราคม 2550[33]
Ratatouille ได้รับการเสนอชื่อรางวัลออสการ์ห้ารางวัล และ Best Animated Feature Film. A. O. Scott ของเดอะนิวยอร์กไทมส์ เรียก Ratatouille ว่า “เป็นชิ้นส่วนงานศิลปะที่ล่องลอยอย่างไม่รู้จบ อย่างที่นักศิลปะยังต้องชื่นชม”[34] นักวิจารณ์ชื่อดังอย่าง Roger Ebert จาก Chicago Sun-Times และ Jeffrey Lyons จาก NBC's "Reel Talk" กล่าวในคำวิจารณ์ว่าพวกเขาชอบภาพยนตร์เรื่องนี้มาก และหวังอยากให้มีภาคต่อ หลายความเห็นกล่าวว่าบทวิจารณ์ของอีโก้ตอนท้ายสมควรที่จะเอาออก [35][36][37]
รายชื่อ Top ten
Ratatouille ปรากฏอยู่บนรายชื่อของนักวิจารณ์หลายคนว่าเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมแห่งปีพ.ศ. 2550
|
|
เพลงประกอบภาพยนตร์
Ratatouille: Music By Michael Giacchino [41]
Ratatouille | |||
---|---|---|---|
ปกแผ่นซีดีเพลงประกอบภาพยนตร์ | |||
เพลงประกอบภาพยนตร์ โดย ไมเคิล จิอาคิโน | |||
วางตลาด | 26 มิถุนายน 2550 | ||
แนวเพลง | Original Score | ||
ความยาว | 62:36 นาที | ||
ค่ายเพลง | Walt Disney Records | ||
อันดับความนิยมจากนักวิจารณ์ดนตรี | |||
|
Ratatouille: Music By Michael Giacchino (Walt Disney Records, 26 มิถุนายน พ.ศ. 2550)
- Le Festin
- Welcome to Gusteau's
- This Is Me
- Granny Get Your Gun
- 100 Rat Dash
- Wall Rat
- Cast of Cooks
- A Real Gourmet Kitchen
- Souped Up
- Is It Soup Yet?
- A New Deal
- Remy Drives a Linguini
- Colette Shows Him le Ropes
- Special Order
- Kiss & Vinegar
- Losing Control
- Heist to See You
- The Paper Chase
- Remy's Revenge
- Abandoning Ship
- Dinner Rush
- Anyone Can Cook
- End Creditouilles
- Ratatouille Main Theme
รางวัลที่ได้รับ
รางวัล | หัวข้อ | ผู้ชนะ/ผู้เข้ารอบชิง | ผลรางวัล |
---|---|---|---|
Academy Awards[42] | ภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม | แบรด เบิร์ด | ได้รับ |
ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม | ไมเคิล จิอาคิโน | เข้าชิง | |
บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม | บทภาพยนตร์โดยแบรด เบิร์ด เนื้อเรื่องโดยแจน พินคาว่า, Jim Capobianco, แบรด เบิร์ด | เข้าชิง | |
ลำดับเสียงยอดเยี่ยม | Randy Thom และ Michael Silvers | เข้าชิง | |
บันทึกเสียงยอดเยี่ยม | Randy Thom, Michael Semanick และ Doc Kane | เข้าชิง | |
Annie Awards [43] | Best Animated Feature | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
Best Animated Video Game | THQ, Inc. | ได้รับ | |
Individual Achievement in Animated Effects | Gary Bruins | เข้าชิง | |
Individual Achievement in Animated Effects | Jon Reisch | เข้าชิง | |
Character Animation in a Feature Production | Michal Makarewicz | ได้รับ | |
Character Design in an Animated Feature Production | Carter Goodrich | ได้รับ | |
Directing in an Animated Feature Production | แบรด เบิร์ด | ได้รับ | |
Music in an Animated Feature Production | ไมเคิล จิอาคิโน | ได้รับ | |
Production Design in an Animated Feature Production | Harley Jessup | ได้รับ | |
Storyboarding in an Animated Feature Production | Ted Mathot | ได้รับ | |
Voice Acting in an Animated Feature Production | จานีน กาโรฟาโล พากย์เสียงคอลเลตต์ | เข้าชิง | |
Voice Acting in an Animated Feature Production | เอียน โฮล์ม พากย์เสียงสกินเนอร์ | ได้รับ | |
Voice Acting in an Animated Feature Production | แพทตัน ออสวัลท์ พากย์เสียงเรมี่ | เข้าชิง | |
Writing in an Animated Feature Production | แบรด เบิร์ด | ได้รับ | |
Austin Film Critics | Best Animated Feature | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
BAFTA Awards | ภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม | แบรด เบิร์ด | ได้รับ |
Boston Film Critics | Best Screenplay | แบรด เบิร์ด | ได้รับ |
Broadcast Film Critics [44] | Best Animated Feature | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
Chicago Film Critics | Best Animated Feature | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
Best Screenplay - Original | แบรด เบิร์ด | เข้าชิง | |
Critics' Choice Awards [45] | Best Animated Feature | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
Dallas-Fort Worth Film Critics | Best Animated Feature | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
Golden Globe Awards [46] | ภาพยนตร์แอนนิเมชันยอดเยี่ยม | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
Grammy Awards [47] | Best Score Soundtrack Album | ไมเคิล จิอาคิโน | ได้รับ |
Hollywood Film Festival [48] | Movie of the Year | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | เข้าชิง |
Special Honor for Animation | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ | |
Las Vegas Film Critics | Best Animated Feature | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
Best Family Film | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ | |
Los Angeles Film Critics | Best Animated Feature | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
National Board of Review | Best Animated Feature | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
Oklahoma Film Critics Circle | Best Animated Feature | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
Online Film Critics Society | Best Animated Feature | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
People's Choice Awards | Favorite Family Movie | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | เข้าชิง |
Phoenix Film Critics | Best Animated Feature | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
San Diego Film Critics | Best Animated Feature | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
Satellite Awards | Best Animated or Mixed Media Feature | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
Best Youth DVD | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ | |
Best Original Score | ไมเคิล จิอาคิโน | เข้าชิง | |
St. Louis Gateway Film Critics | Best Animated Feature or Children's Film | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
Toronto Film Critics | Best Animated Feature | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
Visual Effects Society Awards | Best Supporting Visual Effects in a Motion Picture | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
Animated Character in an Animated Motion Picture | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ (คอลเลตต์) | ได้รับ | |
Effects in an Animated Motion Picture | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ (อาหาร) | ได้รับ | |
Washington D.C. Area Film Critics | Best Animated Feature | พิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ | ได้รับ |
World Soundtrack Academy | Best Original Song Written for Film | ไมเคิล จิอาคิโน สำหรับเพลง "Le Festin" | เข้าชิง |
เกร็ด[49][50]
- รูปร่างห้องทำงานของแอนทอน อีโก้นั้นมีลักษณะเหมือนโลงศพและพิมพ์ดีดของเขาก็มีลักษณะคล้ายหัวกระโหลก เพราะว่าเขากำลังเขียนเรื่องฆาตกรรมอยู่นั่นเอง
- ไมเคิล วาร์ช ที่เป็นผู้ควบคุมฝ่ายฉากและสถานที่ ได้รับปริญญาด้านการทำอาหาร
- ในตัวอย่างภาพยนตร์ตัวแรก มีฉากพนักงานเสิร์ฟอาหารกำลังพูดเรื่องเนยแข็ง เป็นเสียงพากย์ของผู้กำกับแบรด เบิร์ด
- เพื่อให้เรมี่แสดงสีหน้าออกมาได้ดีที่สุด จึงมีตัวควบคุมแอนิเมชันตรงใบหน้าของเรมี่ประมาณ 160 จุด
- ผู้สร้างต้องสร้างอาหารแอนิเมชันมากกว่า 270 ส่วน และอาหารทุกชนิดถูกจัดวางเหมือนในครัวจริงๆ
- ชื่อจริงของกุสโตว์ "Auguste" (ออกุส) ใช้คำสลับอักษรหรืออะนาแกรมจากนามสกุลของเขา "Gusteau" (กุสโตว์)
- ร้านกุสโตว์ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำแซน (Seine) ใน 5th arrondissements กรุงปารีส
- เพื่อความรวดเร็วในการสร้างตัวละคร พิกซาร์จึงทำให้ตัวละครที่เป็นคนทั้งหมดไม่มีนิ้วเท้า
- ห้องพักเล็กๆ ของลิงกวินี่อยู่ในเขต Montmartre 18th arrondissement ของปารีส
- เรมี่มีขนบนตัวทั้งหมด 1,150,070 เส้น คอลเลตต์มีผมบนศีรษะทั้งหมด 176,030 เส้น เส้นผมมนุษย์ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 100,000 ถึง 200,000 เส้น
- ลิงกวินี่มีความสูง 6 ฟุต 3 นิ้ว (190.5 ซม.) แต่เรมี่มีความสูงเมื่อยืนแค่ 7 นิ้ว (17.78 ซม.)
อ้างอิง
- ↑ Michael Cieply (2007-04-24). "It's Not a Sequel, but It Might Seem Like One After the Ads". New York Times.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ 2.0 2.1 2.2 Stacy Finz (June 28, 2007). "Bay Area flavors food tale: For its new film 'Ratatouille,' Pixar explored our obsession with cuisine". San Francisco Chronicle. สืบค้นเมื่อ 2007-06-29.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Leo N. Holzer (2007-06-29). "Pixar cooks up a story". The Reporter. สืบค้นเมื่อ 2007-06-29.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Steve Daly. "Brad Bird cooks up "Ratatouille"". Entertainment Weekly.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 Bill Desowitz (2007-04-25). "Brad Bird Offers an Early Taste of Ratatouille". Animation World Magazine. สืบค้นเมื่อ 2007-05-22.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Jim Hill (2007-06-28). "Why For did Disney struggle to come up with a marketing campaign for Pixar's latest picture ? Because the Mouse wasn't originally supposed to release "Ratatouille"". Jim Hill Media. สืบค้นเมื่อ 2007-07-01.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Germain, David (2007-06-26). "Pixar Perfectionists Cook `Ratatouille'". Washington Post. สืบค้นเมื่อ 2008-01-15.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ "Linguini a la Carte". Yahoo!. 2007-05-22. สืบค้นเมื่อ 2007-05-23.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Helen O'Hara (2007-06-28). "First Look: Ratatouille". Empire. p. 62.
{{cite news}}
:|access-date=
ต้องการ|url=
(help); ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ 10.0 10.1 Scott Collura & Eric Moro (2007-04-25). "Edit Bay Visit: Ratatouille". IGN. สืบค้นเมื่อ 2007-05-22.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ 11.0 11.1 "Parlez-vous Francais". Yahoo!. 2007-05-22. สืบค้นเมื่อ 2007-05-23.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ "The Technical Ingredients". Official site. สืบค้นเมื่อ 2007-05-23.
- ↑ 13.0 13.1 Anne Neumann (2007-04-25). "Ratatouille Edit Bay Visit!". Comingsoon.net. สืบค้นเมื่อ 2007-05-21.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Walt Disney Pictures (2007-05-24). "Cooking Up CG Food". Comingsoon.net. สืบค้นเมื่อ 2007-05-24.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ "Ratatouille (review)". Radio Free Entertainment. สืบค้นเมื่อ 2007-07-01.
- ↑ Barbara Robertson. ""Fish, Rats, Chefs and Robots"". CGSociety. สืบค้นเมื่อ 2007-07-07.
- ↑ Bruce R. Miller (2007-06-30). ""Book shows how 'Ratatouille' was made"". Sioux City Journal. สืบค้นเมื่อ 2007-06-30.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Cynthia Hubert (2007-06-22). "Rat fanciers hope animated film will help their pets shed bad PR". Sacramento Bee.
{{cite news}}
:|access-date=
ต้องการ|url=
(help); ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ "Audiences in on 'Ratatouille' pack". Variety. 2007-06-25. สืบค้นเมื่อ 2007-12-22.
- ↑ Eric Vespe (2007-06-09). "Quint orders a giant plate of RATATOUILLE and eats it up!!!". Ain't It Cool News. สืบค้นเมื่อ 2007-06-10.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Walt Disney Pictures (2007-03-19). "New Ratatouille Trailer Coming Friday". Comingsoon.net. สืบค้นเมื่อ 2007-03-19.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Walt Disney Pictures (2007-05-11). "Disney/Pixar's RATATOUILLE to Kick off the Summer with Big Cheese Tour". Yahoo News. สืบค้นเมื่อ 2007-05-12.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Lifster, Marc (2007-07-28). "Disney backs out of wine promotion". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ 2007-08-01.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ "RATATOUILLE'S Remy fights movie piracy". The Film Factory. สืบค้นเมื่อ 2007-12-23.
- ↑ "Nissan Note Exploding Cars It's Possible". Visit4Info. สืบค้นเมื่อ 2007-12-23.
- ↑ Eggert, Brian (2007-06-29). "Ratatouille review". DeepFocusReview.com. สืบค้นเมื่อ 2007-10-15.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Graser, Marc (2007-06-15). "Pixar hopes auds find 'Ratatouille' tasty". Variety.com. สืบค้นเมื่อ 2007-10-15.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ "Disney Serves Up 'Ratatouille' on Blu-ray this November". High Def Digest. 2007-08-10. สืบค้นเมื่อ 2007-08-20.
- ↑ Pamela McClintock (2007-07-01). "Audiences chow down on "Ratatouille"". Variety.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Ratatouille Breaks French Record, Starpulse, สืบค้นเมื่อ 2007-08-13
- ↑ "Pixar Box Office History". The Numbers. สืบค้นเมื่อ 2008-01-13.
- ↑ "Ratatouille (2007)". Rotten Tomatoes. สืบค้นเมื่อ 2008-04-16.
- ↑ "All-Time High Scores: The Best-Reviewed Movies". Metacritic. สืบค้นเมื่อ 2008-03-17.
- ↑ Scott, A. O. (2007-06-29). "Voilà! A Rat for All Seasonings". New York Times. สืบค้นเมื่อ 2008-01-15.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Moore, Roger (2007-06-29). "Ratatouille (3 stars out of 5)". Orlando Sentinel. สืบค้นเมื่อ 2008-01-15.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Zacharek, Stephanie. ""Ratatouille"". Salon. สืบค้นเมื่อ 2008-01-15.
- ↑ Robinson, Tasha (2007-06-28). "Ratatouille". A.V. Club. สืบค้นเมื่อ 2008-01-15.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Rats scored big
- ↑ Rats scores big with public
- ↑ Gene Seymour (2007-12-30). "2007 in movies: Gene Seymour's top 10". Newsday. สืบค้นเมื่อ 2008-01-09.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Ratatouille by Michael Giacchino
- ↑ "Nominees - 80th Academy Awards". Academy of Motion Picture Arts and Sciences. 2008-01-22. สืบค้นเมื่อ 2008-01-22.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ "Annie Awards 2008 nominations". International Animated Film Association. สืบค้นเมื่อ 2007-12-22.
- ↑ "BFCA Nominees 2007". Broadcast Film Critics Association. สืบค้นเมื่อ 2007-12-22.
- ↑ "Blonsky, Coen, 'Enchanted' & 'Hairspray' Win Critics' Choice Awards". broadwayworld.com. สืบค้นเมื่อ 2008-1-8.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "HOLLYWOOD FOREIGN PRESS ASSOCIATION 2008 GOLDEN GLOBE AWARDS FOR THE YEAR ENDED DECEMBER 31, 2007". HFPA. 2007-12-13. สืบค้นเมื่อ 2007-12-22.
- ↑ "50th Annual GRAMMY Awards Nominations List". NARAS. สืบค้นเมื่อ 2007-12-22.
- ↑ "Hollywood Film Festival winners 2007". Hollywood Film Festival. สืบค้นเมื่อ 2007-12-26.
- ↑ "Ratatouille เกร็ดจากภาพยนตร์". siamzone.com. สืบค้นเมื่อ 2008-03-18.
- ↑ "Ratatouille Movie Offical Disney DVD Website". Disney. สืบค้นเมื่อ 2008-03-18.