ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กองทัพบกไทย"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 18: | บรรทัด 18: | ||
| old_name = |
| old_name = |
||
| nickname = |
| nickname = |
||
| colors = [[ |
| colors = [[เลือดสกปรก]] |
||
| honneur = |
| honneur = |
||
| motto = ''เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และนายใหญ่'' |
| motto = ''เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และนายใหญ่'' |
||
บรรทัด 26: | บรรทัด 26: | ||
| anniversaries = [[18 มกราคม]]<br /> (วันกองทัพแดก และ [[วันกองทัพเพื่อนายใหญ่]]) |
| anniversaries = [[18 มกราคม]]<br /> (วันกองทัพแดก และ [[วันกองทัพเพื่อนายใหญ่]]) |
||
| wars = [[สงครามปราบฮ่อ]]<br>[[วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112]]<br>[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]]<br />[[กรณีพิพาทอินโดจีน]]<br />[[สงครามโลกครั้งที่สอง]]<br>[[สงครามเกาหลี]]<br>[[สงครามเวียดนาม]]<br>[[การก่อการกำเริบคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย]]<br />[[เหตุปะทะชายแดนไทย–เวียดนาม]]<br />[[สมรภูมิบ้านร่มเกล้า]]<br />[[วิกฤตการณ์ติมอร์-เลสเต]]<br />[[สงครามอิรัก]]<br />[[ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย]]<br />[[ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2551]]<br />[[การล้อมปราบปรามและสังหารผู้ชุมนุมในกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2553]]<br />[[การรัฐประหารยึดอำนาจจากพลเรือนโดยความร่วมมือของ กปปส. พ.ศ. 2557]]<br />[[การยึดวัตถุสีแดงซึ่งต้องสงสัยว่าบ่อนทำลายความมั่นคง ช่วง พ.ศ. 2559 ถึงปัจจุบัน]]<br />[[แอบปล่อยคลิปลับ พ.ศ. 2561]] |
| wars = [[สงครามปราบฮ่อ]]<br>[[วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112]]<br>[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]]<br />[[กรณีพิพาทอินโดจีน]]<br />[[สงครามโลกครั้งที่สอง]]<br>[[สงครามเกาหลี]]<br>[[สงครามเวียดนาม]]<br>[[การก่อการกำเริบคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย]]<br />[[เหตุปะทะชายแดนไทย–เวียดนาม]]<br />[[สมรภูมิบ้านร่มเกล้า]]<br />[[วิกฤตการณ์ติมอร์-เลสเต]]<br />[[สงครามอิรัก]]<br />[[ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย]]<br />[[ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2551]]<br />[[การล้อมปราบปรามและสังหารผู้ชุมนุมในกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2553]]<br />[[การรัฐประหารยึดอำนาจจากพลเรือนโดยความร่วมมือของ กปปส. พ.ศ. 2557]]<br />[[การยึดวัตถุสีแดงซึ่งต้องสงสัยว่าบ่อนทำลายความมั่นคง ช่วง พ.ศ. 2559 ถึงปัจจุบัน]]<br />[[แอบปล่อยคลิปลับ พ.ศ. 2561]] |
||
| battles =สู้กับประชาชนในประเทศ |
|||
| battles = |
|||
| decorations = |
| decorations = |
||
| equipement = |
| equipement = |
||
บรรทัด 36: | บรรทัด 36: | ||
| identification_symbol_label = ธงประจำ<br />กองทัพ |
| identification_symbol_label = ธงประจำ<br />กองทัพ |
||
| identification_symbol_2 = [[ไฟล์:Royal Thai Army Unit Colour.svg|center|100px|]] |
| identification_symbol_2 = [[ไฟล์:Royal Thai Army Unit Colour.svg|center|100px|]] |
||
| identification_symbol_2_label = [[ธงชัย |
| identification_symbol_2_label = [[ธงชัยแมคอินไทย]] |
||
| identification_symbol_3 = |
| identification_symbol_3 = |
||
| identification_symbol_3_label = |
| identification_symbol_3_label = |
||
}} |
}} |
||
'''กองทัพบกไทย''' (คำย่อ: ทบ.; {{lang-en|Royal Thai Army}}) เป็นเหล่าทัพที่มีประวัติความอัปยศ เน่าเหม็น เป็นตัวถ่วงของประเทศในการพัฒนาประชาธิปไตย |
'''กองทัพบกไทย''' (คำย่อ: ทบ.; {{lang-en|Royal Thai Army}}) เป็นเหล่าทัพที่มีประวัติความอัปยศ เน่าเหม็น เป็นตัวถ่วงของประเทศในการพัฒนาประชาธิปไตยเหตุผลส่วนหนึ่งคือ เพื่อร่วมวางแผนกับชนชั้นนำ กลุ่มนายทุนที่มีความใกล้ชิดกับฝ่ายขวาในการสมคบคิดยึดอำนาจโดยหาเหตุที่ก่อให้เกิดความชอบธรรมในการรัฐประหารรวมถึงการสร้างภาพยึดในบุญคุณล้างสมองให้ยังเชื่อในหลักของกองทัพว่ามีเป้าหมายเพื่อความสงบสุข |
||
== ประวัติ == |
== ประวัติ == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 12:18, 23 ธันวาคม 2561
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
บทความนี้ต้องการข้อความอธิบายความสำคัญที่กระชับ และสรุปเนื้อหาไว้ย่อหน้าแรกของบทความ |
กองทัพแดก | |
---|---|
ตราราชการกองทัพแดก | |
ประเทศ | ในกะลา |
รูปแบบ | กองทัพแดก |
กำลังรบ | กองขี้ข้า 210,000 นาย 9 กองพลตัดหญ้า 1 กองพลซักผ้า 3 กองพลขนยาม้า 1 กองพลใหญ่พิเศษ.44 1 กองพลล้างจาน 1 กองพลปืนใหญ่ต่อสู้รูทวาร 1 กองพลรับใช้ใต้บาทนาย |
กองบัญชาการ | กองบัญชาการแดกทุกสมัย, ถนนราชดำเนินนอก, แขวงบางขุนพรหม, เขตพระนคร, กรุงเทพมหานคร |
คำขวัญ | เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และนายใหญ่ |
สีหน่วย | เลือดสกปรก |
เพลงหน่วย | มาร์ชกองทัพบก |
วันสถาปนา | 18 มกราคม (วันกองทัพแดก และ วันกองทัพเพื่อนายใหญ่) |
ปฏิบัติการสำคัญ | สู้กับประชาชนในประเทศ |
ผู้บังคับบัญชา | |
ผู้บัญชาการ ทหารบก | พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ |
เครื่องหมายสังกัด | |
ธงประจำ กองทัพ | |
ธงชัยแมคอินไทย |
กองทัพบกไทย (คำย่อ: ทบ.; อังกฤษ: Royal Thai Army) เป็นเหล่าทัพที่มีประวัติความอัปยศ เน่าเหม็น เป็นตัวถ่วงของประเทศในการพัฒนาประชาธิปไตยเหตุผลส่วนหนึ่งคือ เพื่อร่วมวางแผนกับชนชั้นนำ กลุ่มนายทุนที่มีความใกล้ชิดกับฝ่ายขวาในการสมคบคิดยึดอำนาจโดยหาเหตุที่ก่อให้เกิดความชอบธรรมในการรัฐประหารรวมถึงการสร้างภาพยึดในบุญคุณล้างสมองให้ยังเชื่อในหลักของกองทัพว่ามีเป้าหมายเพื่อความสงบสุข
ประวัติ
สมัยสุโขทัย
จากหลักฐานในหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 พบว่าในสมัยนั้น ไทยรู้จักวิธีการรบบนหลังช้างเรียกว่า ยุทธหัตถี นอกเหนือไปจากการใช้ทหารราบและทหารม้า พระมหากษัตริย์ หรือ "พ่อขุน" ทรงเป็นผู้บังคับบัญชาทหารโดยตรง ทรงนำกองทัพเข้าสงครามด้วยพระองค์เองในฐานะจอมทัพ การพ่ายแพ้ หรือได้รับชัยชนะ ขึ้นอยู่กับพ่อขุน หรือจอมทัพเป็นสำคัญ
การบังคับบัญชาทหารในสมัยสุโขทัย พ่อขุนทรงบัญชาทัพโดยตรง มีเสนาบดีและขุนนางชั้นผู้ใหญ่อื่นๆ เป็นแม่ทัพรองลงมา หรือเป็นผู้บังคับหน่วยในกองทัพหลวง ชายฉกรรจ์ทุกคนต้องเป็นทหาร ทุกคนจะเป็นทั้งพลเมืองและทหารในกองทัพหลวง ตามกรมกองที่ตนสังกัด [1]
โดยในยามปกติ ก็จะดำเนินชีวิตไปตามวิธีของแต่ละคน แต่เมื่อถึงภาวะสงคราม ชายทุกคนก็จะต้องทำหน้าที่เป็นทหาร ชายชาวสุโขทัยทุกคนเริ่มเป็นทหารเมื่ออายุ 18 ปี และปลดจากการเป็นทหารเมื่ออายุ 60 ปี เกณฑ์นี้ได้ถือปฏิบัติต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา[1] โดยมีระบบรองรับที่เริ่มจากระดับล่างสุด คือครอบครัว มีหัวหน้าครอบครัวที่เรียกว่า หัวหน้าสกุล หรือ เจ้าหมู่ ทำหน้าที่ควบคุมทหารในสกุลของตน จัดว่าเป็นหน่วยทหารที่เล็กที่สุดในระบบการจัด ในหมู่บ้านขนาดใหญ่อาจมีหลายหมู่ [1]
การฝึกหัดทหารในสมัยนั้น จะใช้หัวหน้าสกุลในแต่ละหมู่บ้าน เป็นผู้ควบคุมฝึกสอนวิชาการต่อสู้และการใช้อาวุธแก่ทหารในสกุลของตนในยามปกติ เมื่อเกิดศึกสงครามทหารทุกคนจะมีอาวุธคู่มือที่ตนได้ฝึกซ้อมไว้อย่างดีแล้ว ส่วนเสบียงอาหารก็จะเตรียมไว้เฉพาะตนในขั้นต้น มีความสมบูรณ์ในตนเอง พร้อมที่จะออกศึกได้ทันที[1]
ในยามสงคราม
ในยามสงคราม พ่อขุนทรงเป็นแม่ทัพใหญ่(จอมทัพ) ยกทัพหลวงไปรบด้วยพระองค์เอง หรือโปรดให้ขุนนางผู้ใหญ่เป็นแม่ทัพไปรบแทนแล้วทรงมอบอาญาสิทธิ์ให้ มีการเรียกเกณฑ์ชายฉกรรจ์ในเขตหัวเมืองชั้นในเข้าประจำการเมื่ออยู่ในสภาวะสงคราม นอกจากนี้หัวเมืองต่างๆยังมีหน้าที่ในการศึกสงครามด้วย กล่าวคือ[2]
- หัวเมืองชั้นนอก มีหน้าที่สกัดกั้นข้าศึกในทิศทางของตน หรืออาจจะได้รับคำสั่งให้เข้าสมทบกับทัพหลวงก็ได้
- เมืองลูกหลวง มีหน้าที่เตรียมกำลังทหารไว้ป้องกันพื้นที่ของตนและราชธานี หรือรวมกำลังเข้าสมทบกับกองทัพหลวง
- หัวเมืองประเทศราช หากราชธานีต้องทำสงครามใหญ่ขึ้น อาจมีพระบรมราชโองการให้หัวเมืองประเทศราชยกทัพไปช่วยด้วยก็ได้
การจัดเหล่าทหาร
การจัดเหล่าทหารนั้นไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ที่พบในมังรายศาสตร์ มีการจัดเหล่าทหารไว้เป็นสามเหล่าคือ[1]
- ชั้นสูง ได้แก่ เหล่าพลช้าง เรียกว่า นายช้าง
- ชั้นกลาง ได้แก่ เหล่าพลม้า เรียกว่า นายม้า
- ชั้นต่ำ ได้แก่ เหล่าพลราบ เรียกว่า นายตีน
การจัดหน่วยทหาร
ตามมังรายศาสตร์ ได้กล่าวถึงการจัดหน่วยทหาร ตั้งแต่เล็กไปใหญ่ ตามหลักจำนวนไพร่พลที่มีอยู่ในหน่วยนั้น ๆ เริ่มต้นจากหน่วยเล็กที่สุดคือ[1]
- ไพร่สิบคน ให้มีนายสิบผู้หนี่ง ข่มกว้านผู้หนึ่ง ทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อ (เทียบเท่าผู้บังคับหมู่ในปัจจุบัน)
- นายสิบห้าคน ให้มีนายห้าสิบผู้หนึ่ง มีปากขวาและปากซ้ายเป็นผู้ช่วย (เทียบเท่าผู้บังคับหมวดในปัจจุบัน)
- นายห้าสิบสองคน ให้มีนายร้อยผู้หนึ่ง (เทียบเท่ากับผู้บังคับกองร้อยในปัจจุบัน)
- นายร้อยสิบคนให้มีเจ้าพันผู้หนึ่ง (เทียบเท่ากับผู้บังคับกองพันในปัจจุบัน)
- เจ้าพันสิบคน ให้มีเจ้าหมื่นผู้หนึ่ง (เทียบเท่ากับผู้บัญชาการกองพลในปัจจุบัน)
- เจ้าหมื่นสิบคน ให้มีเจ้าแสนผู้หนึ่ง (เทียบเท่ากับแม่ทัพในปัจจุบัน)
อาวุธยุทโธปกรณ์
อาวุธที่ใช้ในสมัยนั้น จะเป็นอาวุธประจำกายของแต่ละบุคคลทั้งสิ้นตามความถนัดของแต่ละคน เช่น ทวน หอก ดาบ (มีทั้งดาบคู่และดาบดั้ง) มีดเหน็บ มีดปลายตัด แหลน หลาว โตมร เกาทัณฑ์ หน้าไม้ ของ้าว ง้าว ตะบอง ขวาน เป็นต้น อาวุธดังกล่าวนี้ทุกคนจะมีอยู่ประจำตัวและมีการฝึกซ้อมใช้อาวุธนั้น ๆ อย่างช่ำชองดีแล้วตั้งแต่ในยามปกติ เมื่อเกิดศึกสงครามก็จะใช้อาวุธคู่มือนี้เข้าทำการรบ[1]
เสบียงอาหารจะมีการนำติดตัวไปจำนวนหนึ่งไว้ใช้เมื่อจำเป็นในขั้นแรก เมื่ออาหารหมดก็จะแสวงหาอาหารในท้องถิ่นเป็นเสบียง หรืออาศัยเสบียงอาหารสำหรับกองทัพ ที่ราชธานีและหัวเมืองใหญ่ส่งมาให้ อีกวิธีหนึ่งคือให้ผู้ปกครองท้องถิ่นเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า แล้วคอยจ่ายให้เมื่อกองทัพเดินทางมาถึง[1] อนึ่ง เมื่อทำการรบได้ชัยชนะแล้ว ก็จะอาศัยเสบียงอาหารจากเมืองที่ยึดได้เป็นสำคัญ[2]
ด้านยานพาหนะอันประกอบด้วย ช้าง ม้า วัว และเกวียน ใช้เป็นส่วนกำลังรบ และส่วนสนับสนุน การรบ กล่าวคือ[1]
- ช้าง ใช้เป็นพาหนะของแม่ทัพ เข้าต่อสู้กับแม่ทัพฝ่ายข้าศึก ที่เรียกว่าทำยุทธหัตถี ใช้เป็นกำลังเข้าบุกตลุยข้าศึกในสนามรบ หรือใช้ในการลำเลียงในถิ่นทุรกันดารที่เป็นพื้นที่ป่าเขา
- ม้า ใช้เป็นพาหนะของผู้บังคับบัญชาทหารในระดับรองลงมา ใช้เป็นพาหนะของหน่วยทหารม้าที่ต้องการเคลื่อนที่เร็ว ทำหน้าที่โอบทางปีก ป้องกันรักษาปีกของทหารราบ ใช้ในการลาดตระเวณหาข่าว การติดต่อสื่อสาร หรือใช้ขนส่งสินค้าข้าวของระหว่างเมือง[2]
- วัว ใช้เทียมเกวียนบรรทุกสัมภาระต่าง ๆ ทุกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสบียงอาหาร หรือใช้เป็นอาหารสำรองในยามขัดสน[2]
ผลประโยชน์ที่ทหารได้รับ
ในการศึกแต่ละคราวนั้น เมื่อได้ชัยชนะต่อข้าศึก ก็จะได้รับส่วนแบ่งจากทรัพย์สมบัติของข้าศึกที่ยึดมาได้ ได้เชลยมาใช้สอย เพราะทหารที่ไปรบไม่มีเบี้ยเลี้ยง เงินเดือน เป็นรายได้ประจำ แต่จะมีเกณฑ์การได้บำเหน็จความชอบในรูปแบบต่าง ๆ
ในมังรายศาสตร์ มีกำหนดไว้ตอนหนึ่งว่า "นายตีนผู้ใดรบศึกในสนามรบ ได้หัวนายช้าง นายม้ามา ควรเลี้ยงดูให้เป็นใหญ่.....ผู้ใดรบชนะ ได้หัวข้าศึกมาให้รางวัลหัวละ 300 เงิน ให้ไร่นา ที่ดินและเลี้ยงดูให้เป็นใหญ่ หากนายตีนได้หัวนายม้า ควรเลื่อนขึ้นเป็น นายม้า นายตีนได้หัวนายช้าง ควรเลื่อนขึ้นเป็นนายช้าง ให้มีฉัตรกั้น ให้ภริยา เครื่องทอง ทั้งทอง ปลายแขน เสื้อผ้าอย่างดี...."[1]
ยุทธศาสตร์ในด้านการป้องกันเมือง
การสร้างค่าย คู ประตู หอรบนั้น จะมีอยู่ทั้งที่ตั้งปกติ คือเมืองซึ่งจะมีการสร้างอย่างถาวร สมบูรณ์แข็งแรงตามขนาด และความสำคัญของเมืองนั้น ๆ และจะสร้างอย่างชั่วคราว เมื่อยกทัพไปทำศึกและต้องหยุดทัพตั้งมั่น ดังจะเห็นได้จากเมืองโบราณทุกแห่ง สำหรับกรุงสุโขทัยซึ่งเป็นเมืองหลวง จะมีการสร้างคันดินคูน้ำเป็นกำแพงเมือง และมีคูเมืองล้อมรอบอยู่สามชั้นเรียกว่า ตรีบูร มีป้อมประจำประตูเมืองทั้งสี่ทิศ [1]
สมัยกรุงศรีอยุธยา
สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
การฝึกทหารในสมัยอยุธยายุคแรกนั้นมีน้อย ส่วนใหญ่มักเป็นการฝึกอย่างเร่งด่วนในระยะสั้นเมื่อมีการเรียกระดมพลเพื่อเตรียมทำสงคราม ในส่วนของกำลังพลของกองทัพนั้น ประกอบด้วย 2 ส่วนด้วยกัน คือ ไพร่สม และ ไพร่หลวง
- ไพร่สม คือชายไทยที่มีอายุครบ 18 ปี จะต้องขึ้นทะเบียนทหารชั้นต้น อยู่ในกรมกองที่บิดาของตนสังกัดอยู่ และจะต้องได้รับการสักท้องมือว่าเป็นคนในสังกัดกรมใด เมื่อขึ้นทะเบียนแล้วให้มูลนาย เพื่อฝึกหัดการเป็นทหารไปก่อนยังไม่ต้องรับราชการ เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี จึงให้ขึ้นทะเบียนพลเป็น “ไพร่หลวง”
- ไพร่หลวง หมายถึง ไพร่สม เมื่ออายุครบ 20 ปี ให้ขึ้นทะเบียนพลเป็น “ไพร่หลวง” โดยเข้ามารายงานตัวในราชธานีแล้วเข้ารับราชการตามกรมกองที่สังกัดไว้ ซึ่งเรียกกันในสมัยนั้นว่า “เข้าเวร” มีกำหนดปีละ ๖ เดือน เรียกว่า “เข้าเดือนออกเดือน” คือ เข้ารับราชการ 1 เดือน ได้พัก 1 เดือน แล้วจึงกลับเข้ารับราชการใหม่อีกสลับกันไป
สำหรับไพร่หลวงที่อยู่ในหัวเมืองชั้นกลาง ให้เข้ารับราชการที่เมืองนั้น ปีละ 1 เดือน เพื่อให้มีเวลาไปประกอบอาชีพของตน สำหรับผู้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ใช้วิธีเกณฑ์ให้หาสิ่งของที่ทางราชการต้องการใช้ มาให้แก่ทางราชการทดแทน การเข้ารับราชการ เรียกว่า ส่วย ไพร่หลวงจะต้องเป็นทหารไปจนกว่าจะมีอายุครบ 60 ปี หรือถ้ามีบุตรชายมาเข้าเป็นทหารถึง 3 คนแล้ว จึงมีสิทธิ์พ้นราชการทหารได้ก่อนกำหนด สำหรับผู้ที่เป็นทาสต้องรับใช้ผู้เป็นนายอยู่ตลอดเวลา ไม่เป็นไทแก่ตนเอง จึงไม่ต้องเป็นทหาร[3]
รัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
การทหารของไทย ได้รับการปรับปรุงให้รัดกุมยิ่งขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพบ้านเมืองและสังคม ประกอบกับอาณาจักรอยุธยาได้รับอิทธิพลจากขอม รูปแบบการปกครองและการทหารของกรุงศรีอยุธยา จึงเป็นลูกผสมระหว่างสุโขทัยและขอม โดยอยุธยาได้เลือกสรรเอาข้อดีของทั้งขอมและไทยมาผสมกัน ทั้งในด้านการปรับปรุงวิธีการควบคุมกำลังไพร่พล และยุทธวิธี การควบคุมบังคับบัญชาทหาร ในยามสงครามมีเจ้าหมู่มูลนายทำหน้าที่ระดมพลภายใต้การควบคุมเข้าประจำกองทัพ กษัตริย์เป็นจอมทัพ เจ้านายและขุนนางเป็นแม่ทัพนายกอง
ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้มีการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ในกรุงศรีอยุธยา จากหลักฐานที่ปรากฏในพระอัยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง กิจการทหารกับพลเรือนได้แยกจากกัน คือ ฝ่ายทหาร มีสมุหพระกลาโหมเป็นหัวหน้า รับผิดชอบกิจการทหารทั้งปวง กำหนดตำแหน่งและอำนาจหน้าที่สายการบังคับบัญชาของฝ่ายทหารตั้งแต่ยามปกติ เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเรียกระดมพลเมื่อเกิดสงคราม และฝ่ายพลเรือน มีสมุหนายกเป็นหัวหน้า รับผิดชอบกิจการฝ่ายพลเรือน รวมทั้งจตุสดมภ์ การแยกกิจการทหารกับพลเรือนออกจากกัน มีส่วนส่งเสริมประสิทธิภาพของกิจการทหารไทยสมัยอยุธยาให้สูงขึ้น ทั้งในด้านการจัดหน่วยเข้าเป็นกองทัพ และการควบคุมบังคับบัญชา[2]
รัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
ได้มีการปรับปรุงกิจการทหารอีกหลายประการ คือ[3]
- การจัดทำตำราพิชัยสงคราม เนื้อความแบ่งเป็น 3 ตอน คือ สาเหตุของสงคราม อุบายสงครามกับยุทธศาสตร์และยุทธวิธี มีการดูนิมิตรฤกษ์ยามและการทำเลขยันต์ แต่งเป็นคำกลอน เพื่อให้จำง่าย เน้นความสำคัญในเรื่องการจัดทัพ การตั้งทัพ การตั้งค่าย การเดินทัพ การจัดกระบวนทัพ
- การจัดทำทะเบียนไพร่พล หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กรมพระสุรัสวดี มีหน้าที่จัดทำทำทะเบียนไพร่พล โดยมีส่งเจ้าหน้าที่ในกรมพระสุรัสวดี ออกไปประจำตามหัวเมืองต่าง ๆ คอยดูแลและทำบัญชีพล การบรรจุกำลังพลเข้าประจำหน่วย แล้วส่งสำเนาการบรรจุกำลังพลดังกล่าว มาให้กลาโหมถือไว้ตั้งแต่ยามปกติ เมื่อเกิดศึกสงคราม ก็เร่งรัดให้กรมการเมืองเรียกพลเข้าประจำหน่วยรบทันที ถ้าได้พลเข้าประจำหน่วยไม่ครบก็ต้องส่งคนออกติดตาม
ซึ่งแต่เดิมนั้นเจ้าเมืองและสัสดีเมืองเป็นผู้ทำบัญชีกำลังพล แล้วส่งมาให้กลาโหม แต่มีข้อบกพร่องมากเพราะขาดการควบคุมและตรวจสอบที่ดี จึงได้มีการแก้ไขโดยการจัดตั้งกรมพระสุรัสวดี ดังกล่าว
รัชสมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราช
ในสมัยนั้น มีทหารต่างชาติชาวโปรตุเกส เข้ามาติดต่อค้าขายและตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ชานกรุงศรีอยุธยา จึงมีการจัดตั้งเป็นกองอาสาช่วยไทยรบกับพม่า ในปี พ.ศ. 2077 โดยทหารอาสาชาวโปรตุเกสได้นำปืนไฟ (ปืนเล็กยาว) มาใช้ในการสู้รบ ซึ่งปืนไฟนับว่าเป็นอาวุธใหม่ มีอำนาจร้ายแรงกว่าอาวุธที่ใช้กันอยู่เดิมในสมัยนั้น ทำให้ไทยได้รับชัยชนะโดยง่าย หลังจากนั้นฝ่ายไทยจึงขอให้ช่วยจัดหาปืนไฟ มาใช้ในกองทัพ และช่วยฝึกทหารให้ด้วย ทำให้ยุทธวิธีที่เคยใช้กันมาแต่เดิมต้องเปลี่ยนแปลงไป เช่น รูปขบวนรบ การใช้ที่กำบัง และการเข้าตะลุมบอน เป็นต้น และทำให้เกิดหน่วยทหารอาสาชาวต่างประเทศขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยนี้[3]
รัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ทรงเห็นว่า บรรดาป้อมปราการของเมืองพระยามหานครที่มีอยู่นั้น เปรียบเหมือนดาบสองคม ในยามศึกสงคราม ถ้าสามารถรักษาไว้ได้ก็จะเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายเรา แต่ถ้าไม่สามารถรักษาไว้ได้และถูกข้าศึกยึดไป ก็จะกลายเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายข้าศึก ดังนั้นจึงทรงดำเนินการดังนี้
- ให้รื้อป้อมปราการเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนพม่าและอยู่ห่างจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อเกิดสงคราม ทางกรุงยกไม่สามารถยกกำลังไปช่วยได้ทัน
- มีการเสริมสร้างป้อมปราการให้แข็งแรงขึ้น ทางด้านเหนือคือเมืองพิษณุโลกและเมืองกำแพงเพชร ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนพม่า และฝ่ายไทยสามารถยกกำลังไปป้องกันได้ทัน
- ในส่วนของตัวกรุงศรีอยุธยานั้น แต่เดิมกำแพงเมืองของกรุงศรีอยุธยาเป็นกำแพงดิน ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างเป็นกำแพงก่ออิฐถือปูน เพื่อให้สามารถป้องกันปืนใหญ่ได้ มีการสร้างป้อมเพิ่มขึ้นและทันสมัยขึ้น โดยใช้ช่างชาวยุโรป สูง 3 วา หนา 10 ศอก ใบเสมาสูง 2 ศอกคืบ กว้าง 2 ศอก หนาศอกคืบ
- โปรดเกล้าขยายคูเมืองรอบพระนครให้กว้าง และลึกยิ่งขึ้น
ผลจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้กรุงศรีอยุธยาแข็งแรงขึ้นทั้งโดยธรรมชาติและที่สร้างเสริมขึ้นใหม่ สามารถใช้กรุงศรีอยุธยาเป็นที่มั่นสำคัญในการทำศึกที่ยกมารุกราน โดยปล่อยให้ข้าศึกยกเข้ามาล้อมกรุงแล้วคอยเวลาให้ถึงฤดูน้ำหลาก น้ำจากตอนเหนือไหลลงมาท่วมพื้นที่โดยรอบกรุง ฝ่ายข้าศึกก็จะไม่สามารถตั้งทัพอยู่ได้ ต้องถอยกลับไปเอง
นอกจากนี้ ในห้วงเวลาดังกล่าว ไทยได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ในการใช้อาวุธปืนใหญ่และปืนเล็กยาวจากทหาร เมื่ออาวุธทันสมัยขึ้น ทำให้การใช้รูปขบวนในการรบ และยุทธวิธีในป้อมค่ายเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ที่มีแต่อาวุธสั้นเป็นอาวุธประจำกาย และไม่มีอาวุธหนักเป็นอาวุธประจำหน่วย และใช้สนับสนุนทั่วไป เช่น ปืนใหญ่ ในครั้งนั้นเรือสินค้าโปรตุเกสติดตั้งปืนใหญ้ไว้ในเรือ สามารถยิงจากเรือไปยังที่หมายที่ต้องการได้ จึงได้เริ่มใช้เรือสินค้าโปรตุเกส แล่นไปยิงค่ายพม่าที่ล้อมกรุงศรีอยุธยาอย่างได้ผล จึงได้มีพระราชดำริให้ดัดแปลง เรือแซ คือเสริมกราบเรือ ทำแท่นที่ตั้งปืนใหญ่ไว้ยิงข้าศึก และบรรดาเรือรูปสัตว์ เช่น เรือครุฑ และเรือกระบี่จะมีปืนใหญ่ไว้ที่หัวเรือทุกลำ นับว่าเรือรบไทยเกิดมีขึ้นในครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ปรากฏเป็นหลักฐาน[3]
รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเริ่มปรับปรุงกิจการทหารมาตั้งแต่ก่อนขึ้นครองราชย์ คือตั้งแต่ พ.ศ. 2112 ซึ่งเป็นห้วงเวลาแห่งการกอบกู้เอกราช ได้ทรงนำวิธีการรบใหม่ ๆ มาใช้หลายประการอย่างได้ผล เช่น[4]
- การขยายคูพระนครด้านตะวันออก (คลองขื่อหน้า) ซึ่งเดิมเป็นที่แคบ ข้าศึกสามารถเข้าถึงกำแพงพระนครได้สะดวกกว่าด้านอื่น ทรงขยายกำแพงด้านนี้ออกไป จนจดริ่มแม่น้ำเหมือนด้านอื่น
- ทรงสร้างป้อมปราการรอบพระนคร ได้แก่ ป้อมมหาชัย ซึ่งเป็นป้อมสำคัญทางด้านแม่น้ำป่าสัก ป้อมเพชร อยู่ตรงข้ามกับคลองบางกระจะ และ ป้อมซัดกบ อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
- การตั้งหน่วยเตรียมเสบียงอาหาร ในรัชสมัยมีการยกทัพไปทำการรบในต่างแดนหลายครั้ง มักเกิดปัญหาการขาดแคลนเสบียงอาหาร เนื่องจากเสบียงอาหารในท้องถิ่นมีไม่พอ และการลำเลียงทำไม่ทัน เนื่องจากระยะทางไกลและทุรกันดาร พระองค์ทรงแก้ไขด้วยการตั้งหน่วยเสบียงขึ้นต่างหาก มีกำลังทั้งทางบกและทางเรือ มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่กำกับการโดยเฉพาะ
- ตั้งหน่วยรบพิเศษ เพื่อปฏิบัติการเฉพาะกิจ ตามสถานการณ์ในการรบ เช่นหน่วยทหารราบพิเศษ ของพระราชมนู หน่วยทหารม้าพิเศษ ของพระชัยบุรี และพระศรีถมอรัตน์ ในการรบกับกองทัพกัมพูชาที่ดงพญากลางเมื่อปี พ.ศ. 2137 เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการเตรียมพล เนื่องจากในรัชสมัยได้มีการทำสงครามหลายครั้ง สิ้นเปลืองกำลังพลที่เกณฑ์เข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงประสบปัญหาขาดแคลนกำลังพล เพราะไม่สามารถเกณฑ์กำลังพลเข้ามาเป็นทหารทดแทนได้ทัน จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงการเตรียมพลไปจากเดิมบ้าง คือ
- โอนการปกครองหัวเมืองชั้นนอกให้มาขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาโดยตรง ทั้งที่เป็นหัวเมืองฝ่ายเหนือ และเมืองพระยามหานครทั้งหมด เพื่อรวบรวมกำลังพลได้มากและรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม
- ทรงขยายหัวเมืองชั้นในให้กว้างออกไป เพื่อเกณฑ์คนมาเป็นทหารในกองทัพหลวงให้มากขึ้น
ในรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้มีเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการทหาร คือ มีการรับชาวต่างประเทศมาเป็นทหาร โดยตั้งเป็นหน่วยทหารอาสาต่างชาติ เรียกว่ากรมทหารอาสา เช่น กรมทหารอาสาญี่ปุ่น กรมทหารอาสาจาม กรมทหารแม่นปืน (ชาวโปรตุเกสเดิม) หน่วยทหารเหล่านี้มีหน้าที่รักษาพระองค์และรักษาพระนคร[4]
รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงเล็งเห็นภัยคุกคามจากฮอลันดาที่เป็นคู่แข่งทางการค้ากับไทย ซึ่งฮอลันดาได้ส่งกองเรือมาปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อบีบบังคับให้ไทยทำสัญญาการค้าที่ฝ่ายไทยเสียเปรียบ ซึ่งไทยก็ต้องจำยอม เนื่องจากไทยไม่มีกำลังทางเรือเพื่อป้องกันประเทศ สมเด็จพระนารายณ์ทรงเห็นถึงภัยคุกคามดังกล่าว จึงได้ทรงพึ่งพาประเทศอื่นในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส ตามคำแนะนำของพระยาวิชเยนทร์ และคณะบาดหลวงชาวฝรั่งเศส จึงได้มีทหารฝรั่งเศสเข้ามาประจำการในราชอาณาจักรไทย โดยประจำอยู่ที่ป้อมบางกอก และมีบางส่วนไปประจำอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา เมืองมะริด และเมืองลพบุรี เพื่อสร้างป้อมปราการต่าง ๆ ให้ทันสมัย
นอกจากนี้ในรัชสมัย ได้มีการฝึกทหารตามแบบยุโรปขึ้นเป็นครั้งแรก โดย เชอวาลิเอร์ เดอ ฟอร์บัง ชาวฝรั่งเศส ผู้บังคับป้อมบางกอก ให้ฝึกหัดและจัดกองทหารไทยตามแบบฝรั่งเศสโดยการช่วยเหลือจากพระยาวิชเยนทร์ ซึ่งภายหลังฟอร์บังผู้นี้ได้รับตำแหน่งเป็นผู้บังคับการทหารบก โดยฟอร์บังได้จัดหน่วยทหารเป็นกอง กองละ 50 คน แต่ละกองมีผู้บังคับบัญชาตามลำดับคือ นายร้อยเอก 1 นาย นายร้อยโท 2 นาย นายร้อยตรี 1 นาย นายสิบเอก 2 นาย นายสิบโท 4 นาย และนายสิบตรี 1 นาย การฝึกครั้งนี้ได้รับความช่วยเหลือจากทหารชาวโปรตุเกสที่รู้ภาษาไทย การฝึกทหารแบบยุโรปในครั้งนั้น เป็นการฝึกหัดเบื้องต้นในเรื่องระเบียบวินัย และการเข้าแถว การแปรแถว ไม่ได้เรียนรู้ถึงยุทธวิธีและยุทธศาสตร์แต่ประการใด
นอกจากนี้ ได้เกิดประเพณีในการจัดการทางทหารขึ้นมาอีกรูปหนึ่งคือ การทรงกรม กล่าวคือ เมื่อเจ้านายองค์ใด มีความดีความชอบและมีกำลังทรัพย์สิน เพียงพอให้ผู้คนพึ่งพาอาศัยได้มาก ก็จะทรงตั้งเป็น"กรม" ขึ้น ให้เจ้านายองค์นั้น บังคับบัญชาเลี้ยงดูไพร่พลของตนเอง เรียกว่า ทรงกรม เมื่อเกิดศึกสงครามกรมเหล่านั้นจะต้องจัดกำลังของตนไปร่วมรบ ประเพณีนี้มีสืบต่อมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ยกเลิกไป[4]
รัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา
เมื่อพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ มีหัวเมืองใหญ่ชั้นเมืองพระยามหานคร คิดแข็งเมือง คือ เมืองนครราชสีมาและเมืองนครศรีธรรมราช ทำให้พระองค์ต้องทรงแก้ไขการปกครองดินแดนทางภาคเหนือและภาคใต้ โดยให้ภาคเหนือขึ้นอยู่กับสมุหนายก และภาคใต้ขึ้นอยู่กับสมุหกลาโหม การปกครองลักษณะดังกล่าวนี้ได้ใช้สืบต่อมาจนถึง รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ยกเลิกไปเมื่อปี พ.ศ. 2437 นอกจากนี้ยังได้เพิ่มกำลังพลให้แก่วังหน้า ตามที่ได้รับการร้องขอจากวังหน้า แสดงให้เห็นถึงอำนาจการควบคุมบังคับบัญชาทหาร ที่แบ่งแยกกันไปตามส่วนต่าง ๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
สำหรับกองกำลังต่างชาติ สมเด็จพระเพทราชาได้นำกำลังทหารไทย เข้าขับไล่ทหารฝรั่งเศสออกไปจากประเทศไทย ดังนั้นการฝึกทหารไทยตามแบบยุโรป จึงขาดตอนไปนับแต่นั้น และได้มาเริ่มใหม่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[4]
รัชสมัยต่อมาจนถึงเสียกรุงศรีอยุธยา
กิจการทหารของกรุงศรีอยุธยาเสื่อมลงเป็นลำดับ เนื่องจากวังหน้าได้เพิ่มอำนาจทางทหารของตนมากขึ้น จนถึงขั้นเกิดสงครามกลางเมือง ระหว่างวังหน้ากับวังหลวง และระหว่างเจ้านายที่ทรงกรมต่าง ๆ หลายครั้ง ความอ่อนแอทางทหารมีมากในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ จนถึงกับพวกจีนได้คุมกำลังกัน เข้าปล้นวังหลวงได้อย่างง่ายดาย สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิฐานว่า เพราะเหตุที่กิจการทหารเสื่อมลงมากจนไม่มีใครอยากเป็นทหาร จึงเกิดวิธีการที่ทางราชการยอมให้คนเสียเงินค่าจ้างแทนการเข้าเวรได้[4]
การแบ่งเหล่าทหาร กองทัพไทยสมัยอยุธยา
โดยภาพรวม ตลอดยุคสมัยนั้น แบ่งกำลังพลออกเป็น ๔ เหล่า ที่เรียกว่า จตุรงคเสนา” ได้แก่ พลเท้า พลม้า พลช้าง และพลรถ[2]
- พลเท้า คือ ทหารเดินเท้า เป็นเหล่าหลักในการจัดและการรบของกองทัพ คัดเลือกมาจากชายฉกรรจ์ที่มีร่างกายสมบูรณ์ เป็นเหล่าที่มีจำนวนมากกว่าเหล่าอื่น มีหน้าที่ต้องรบประชิดเข้าตะลุมบอน อาวุธที่ใช้มักใช้ตามถนัดของแต่ละบุคคล เมื่อเรียกระดมไพร่พล มักแบ่งทหารออกเป็นเหล่าตามอาวุธที่ถือ อาวุธเหล่านี้ทางบ้านเมืองมิได้เตรียมไว้ให้ ผู้ที่ถูกเกณฑ์เข้ามาจะต้องนำอาวุธของตนเข้ามาทุกคน เช่น ดาบหอก ทวน โล่ เขน ดั้ง แหลน
- พลม้า คือ ทหารม้า มีหน้าที่สำคัญในการป้องกันรักษาปีกของทหารราบ ทำการตีโอบ และโฉบฉวยเพื่อรบกวนข้าศึก รวมทั้งทำหน้าที่รักษาด่าน ลาดตระเวน และหาข่าว อาวุธทหารม้าใช้กันตามถนัด ดังเช่น หอก ทวน ดาบ ปืน
- พลช้าง คือ ทหารที่ใช้ช้างเป็นพาหนะ มีหน้าที่บุกแนวพลเดินเท้า และพลม้าของข้าศึกให้ระส่ำระสาย โดยช้างศึกเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนให้เข้าทำการรบแบบประชิดบุกทำลายข้าศึก นอกจากนี้ยังมีการนำปืนใหญ่ติดบนหลังช้าง ซึ่งมีปรากฏ กรมช้างปืนใหญ่ ซึ่งเป็นกรมย่อยขึ้นกับกรมช้าง หรือกรมคชบาล เป็นกำลังที่สำคัญมากในการรบ ในพงศาวดารพม่าได้เขียนถึงช้างรบของฝ่ายอยุธยาว่าช้างนั้นคลุมเกราะเหล็กถึงหน้าอก และแต่ละตัวยังมีปืนใหญ่[2] นอกจากนี้ กองทัพได้ใช้ช้างในการบรรทุกเสบียงอาหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์
- พลรถ เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศ และยุทธวิธีทั้งของไทยและของบ้านเมืองใกล้เคียง ไม่อำนวยให้ใช้รถรบเข้าทำการยุทธ์ ดังนั้น พลรถจึงทำหน้าที่ในเรื่องการส่งกำลังบำรุง เช่น ลำเลียงขนส่งเสบียงอาหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ การเคลื่อนย้ายกำลังพลด้วยพาหนะเกวียน หรือระแทะ
การส่งกำลังบำรุง
มีการจัดหา และเก็บรักษาอาวุธยุทโธปกรณ์ พาหนะ ตลอดจนเสบียงอาหารในยามปกติ ในสมัยอยุธยาการส่งกำลังบำรุงยังขาดประสิทธิภาพ เห็นได้จากศึกสงครามหลายครั้งที่กองทัพต้องอ่อนแอ และเสียโอกาส เนื่องจากขาดเสบียงอาหารเป็นสำคัญ [2]
สำหรับกองทหารที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งกำลังบำรุง แบ่งออกเป็น ๒ กอง
- กองหนึ่งเรียกว่า “เกียกกาย” ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องเสบียงอาหาร
- อีกกองเรียกว่า “ยุกรบัตร” หรือ “ยกกระบัตร” มีหน้าที่จัดการเกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์
เมื่อเกิดการรบกันขึ้นถึงขั้นประชิดตัว ทั้งฝ่าย “เกียกกาย” และ “ยุกรบัตร” ต้องเข้าร่วมรบด้วย คือ ปฏิบัติหน้าที่ทั้งฝ่ายพลรบ และผู้ช่วยพลรบร่วมกัน
อาวุธสมัยอยุธยา
ส่วนใหญ่เป็นอาวุธที่ไพร่พลจัดหามาเอง จำแนกประเภทของอาวุธเป็น[2]
- อาวุธประเภทถือไว้ประจำมือสำหรับฟันแทง เช่น มีด ดาบ หอก ง้าว ขอ ง้าว ทวน
- อาวุธประเภทที่ใช้พุ่งซัดไป เช่น แหลน หลาว หอก อาวุธประเภทที่ใช้สำหรับยิงเช่น ธนู หน้าไม้ ปืน
- อาวุธประเภทที่ใช้ตี เช่น พลอง ตะบอง
นอกจากนี้ ยังมีเครื่องป้องกันอาวุธ หรือเครื่องกำบังสำหรับปิดป้องกันอาวุธ นับเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการรบเพื่อป้องกันข้าศึกมิให้ฟันแทงได้ เครื่องป้องกันอาวุธที่ใช้กัน ได้แก่ ดั้ง โล่ เขน สำหรับอาวุธปืนไฟที่ใช้ในกองทัพ นำเข้ามาโดยชาวโปรตุเกสภายหลังได้สมัครเป็นทหารอาสา ต่อมาไทยได้สร้างอาวุธปืนไฟขึ้นใช้เองในราชการทหาร[2]
สมัยกรุงธนบุรี
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงได้ทรงปรับปรุงกิจการทหารให้เข้มแข็ง ด้วยการวางมาตรการต่าง ๆ คือ [5]
- ทรงรวบรวมผู้ที่มีความสามารถในการรบ มาร่วมกันกอบกู้สถานการณ์ในสมัยนั้น โดยทรงแต่งตั้งเจ้าพระยาจักรี เป็นอัครมหาเสนาบดีที่สมุหนายก และเจ้าพระยาสุรสีห์ เป็นแม่ทัพไปปราบปรามอริราชศัตรู ทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร
- การจัดการกำลังพล คงยึดถือแบบแผนเดิม คือ ชายฉกรรจ์ไทยทุกคนต้องเป็นทหาร และเข้ารับราชการทหารตามระยะเวลาที่กำหนด เนื่องจากระยะนั้น กรุงศรีอยุธยาเพิ่งเสียแก่พม่าในสภาพที่ยับเยิน บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้คนหนีพลัดกระจัดกระจายกันไป การสำรวจกำลังพล จึงต้องใช้มาตรการที่ได้ผล และสะดวกแก่การตรวจสอบ โดยการสักพวกไพร่และทาสทุกคนที่ข้อมือ เพื่อให้ทราบเมืองที่สังกัด และชื่อผู้ที่เป็นนาย ทำให้ทราบจำนวนไพร่พลที่แน่นอน และง่ายต่อการควบคุมบังคับบัญชา นอกจากนี้ มีการกำหนดโทษรุนแรงแก่ไพร่พลและ นายทัพนายกองที่ทำการรบไม่จริงจัง หรือหลบหนี
- ด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ ได้มีการแสวงหาอาวุธที่มีอานุภาพสูงมาใช้ในกองทัพเป็นจำนวนมาก ได้รับอาวุธปืนชนิดต่าง ๆ จากต่างประเทศ ได้แก่ ปืนคาบศิลา ปืนนกสับ และปืนใหญ่ สำหรับปืนใหญ่นอกจากที่ได้รับจากต่างประเทศแล้ว ยังได้หล่อขึ้นใช้เอง สำหรับป้องกันพระนครอีกด้วย
- ด้านยุทธศาสตร์ทหาร มีการกำหนดเขตสงคราม ออกเป็นเขตหน้าและเขตหลัง เพื่อประโยชน์ในการส่งกำลังบำรุง และใช้วิธียกกำลังไปสกัดยับยั้งข้าศึกที่มารุกราน ที่บริเวณชายแดน เพื่อป้องกันดินแดนในราชอาณาจักรไม่ให้เสียหายจากภัยสงคราม และไม่เป็นอันตรายต่อราชธานี อันเป็นหัวใจของราชอาณาจักร มีการใช้ปืนใหญ่เพื่อเพิ่มอำนาจกำลังรบอย่างได้ผล
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
กิจการทหารในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช คงดำเนินตามแบบอย่างในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีการรวบรวมตำราพิชัยสงคราม ที่หลงเหลือจากการถูกทำลายจากพม่า มาปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมให้เป็นแบบแผน ซึ่งก็ได้ใช้ต่อมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระเบียบแบบแผนในการแบ่งเหล่า และการจัดหน่วยทหาร การเตรียมกำลังพล การเกณฑ์ทหาร และกิจการด้านทหารอื่น ๆ คงดำเนินการตามแบบแผนของกรุงศรีอยุธยาเป็นส่วนใหญ่ มีการปรับปรุงในส่วนปลีกย่อย เช่น ให้รับราชการทหารเพียงปีละ 4 เดือน โดยหมุนเวียนเป็นวงรอบ 4 รอบ ๆ ละ 1 เดือน ดังที่ปรากฏในกฎหมายตราสามดวง เมื่อปี พ.ศ. 2327 [6]
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย การทหารยังคงดำเนินตามแบบอย่างเดิม ในรัชสมัยของพระองค์มีการสงครามไม่มากนัก จึงได้มีการลดหย่อนการเข้ารับราชการทหารลง โดยลดลงเหลือปีละ 3 เดือน จากเดิม 4 เดือน เมื่อปี พ.ศ. 2353 นอกจากนี้ยังได้มีการจัดหาอาวุธปืนใหญ่และปืนเล็กมาใช้ในกองทัพ โดยจัดหาจากต่างประเทศ[6]
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการปรับปรุงการทหารให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น โดยจัดให้มีการจัดหน่วยทหารราบและทหารปืนใหญ่ขึ้น เป็นหน่วยประจำการ มีการนำชาวรามัญ จากเมืองนครเขื่อนขันธ์ (พระประแดง) และเมืองปทุมธานี มาฝึกหัดเป็นทหารซีปอย ที่ริเริ่มมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และมีการจัดพวกญวนมาฝึกหัดเป็นทหารปืนใหญ่ โดยให้แต่งการแบบทหารซีปอย นอกจากนี้ เพื่อป้องกันข้าศึกที่ยกมาทางบก ณ บริเวณพื้นที่ชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านคือ ทางด้านตะวันออกติดกับกัมพูชา ทางด้านใต้ติดกับมะลายู และทางด้านตะวันตกติดกับพม่า จึงได้มีการสร้างป้อมปราการขึ้นใน 3 ทิศ ดังนี้[7]
- สร้างป้อมปราการที่ตำบลปากแพรก เมืองกาญจนบุรี เพื่อป้องกันด้านตะวันตก คือพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2377
- สร้างป้อมไพรีพินาศ และป้อมพิฆาตศัตรู ที่กาญจนบุรี เพื่อป้องกันด้านตะวันออก คือญวณ เมื่อ พ.ศ. 2377
- สร้างป้อมปราการที่ตำบลบ่อยาง เมืองสงขลา เพื่อป้องกันด้านภาคใต้ เมื่อปี พ.ศ. 2379
สมัยปฏิรูปการทหารครั้งใหญ่
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศสยามได้เผชิญกับการคุกคามจากชาติตะวันตก มีการบีบบังคับให้เซ็นสนธิสัญญาทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม มีการส่งเรือรบมาปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยาในวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 มีการสู้รบและเกิดการปิดล้อมกรุงเทพ ประเทศสยามต้องสูญเสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง และดินแดนส่วนอื่นๆให้กับชาติตะวันตก ดังนั้นในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองรัชกาลนี้ ได้มีการปฏิรูปการทหารครั้งใหญ่ให้ทันสมัย และเป็นแบบอย่างตะวันตก การปฏิรูปการทหารบกของไทยเป็นแบบตะวันตก ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือต้นแบบของกิจการทหารบกสมัยปัจจุบัน
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงราชสมบัติ เมื่อ พ.ศ. 2394 กิจการแรกที่พระองค์ทรงกระทำ คือ ทรงตั้งเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) ว่าที่สมุหพระกลาโหมขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ ดำรงตำแหน่งสมุหพระกลาโหม และให้จัดการเรื่องกิจการทหารเป็นการด่วน โดยให้ปรับปรุงกองทัพบกให้เป็นแบบสมัยใหม่ และมีประสิทธิภาพที่สามารถป้องกันประเทศชาติได้ ทั้งนี้ เพราะประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกได้แผ่อิทธิพลเข้ามา อยู่เหนือประเทศทางภูมิภาคเอเซียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ และมีท่าทีคุกคามต่อประเทศไทยยิ่งขึ้นตามลำดับ
การจัดการทหารบกแบบตะวันตกหรือกองทัพบกปัจจุบันนี้เริ่มขึ้นในรัชสมัยนี้ แต่เป็นไปในวงแคบ อำนาจในการปกครองบังคับบัญชาทหารในกรุงเทพฯ แยกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ทหารที่สังกัดพระบรมมหาราชวังขึ้นโดยตรงต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนทหารที่สังกัดพระบวรราชวัง หรือวังหน้า ขึ้นโดยตรงต่อ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนทหารในหัวเมืองก็แยกขึ้นกับ สมุหพระกลาโหม และสมุหนายก
โดยทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนแปลงการจัดในกรมทหารรักษาพระองค์ใหม่ โดยให้ข้าหลวงเดิมในพระองค์ประมาณ ๘๐๐ คน เข้ามาเป็นทหารรักษาพระองค์ ตั้งเป็นกรมขึ้นอีกกรมหนึ่ง เรียกว่า กรมทหารรักษาพระองค์ปืนปลายหอกข้าหลวงเดิม ซึ่งภายหลังเมื่อได้รับการฝึกจากครูฝรั่งเป็นอย่างดีแล้วตั้งเป็นกองรักษาพระองค์อย่างยุโรป[2]
โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกองปืนใหญ่อาสาญวน ซึ่งจัดจากพวกญวนที่นับถือศาสนาพุทธแต่เดิมอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี และมีพระบรมราชานญุตให้เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษมแล้วจัดพวกอาสาเหล่านี้มาเป็นทหารปืนใหญ่ฝ่ายวังหลวง[2]
นอกจากนี้ในปีเดียวกัน โปรดเกล้าให้จัดตั้ง กองทหารหน้า68 ซึ่งเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) รวบรวมลูกหมู่กองมอญ มาฝึกขึ้นอยู่ในกรมพระกลาโหมโดยได้รับการฝึกแบบใหม่และมีอาวุธปืนทันสมัยประจำการ อีกทั้งมีกำลังพลมากกว่ากองทหารอื่นๆ[2]
พระองค์ทรงจ้าง ร้อยเอก อิมเปย์ และ ร้อยเอก โทมัส ยอร์ช น็อกซ์ เป็นนายทหารนอกราชการของกองทัพอังกฤษประจำอินเดีย เดินทางเข้ามาในไทยเมื่อปี พ.ศ. 2394 ให้มาเป็นครูฝึกหัดทหารบก ฝึกทหารในกรมทหารอาสาลาวและเขมร ที่เข้ามาเป็นทหารเกณฑ์หัดแบบตะวันตกในวังหน้า และวังหลวง คนทั่วไปเรียกทหารหน่วยนี้ว่า ทหารอย่างยุโรป หรือ ทหารเกณฑ์หัดอย่างฝรั่ง หน่วยดังกล่าวนี้มีการจัดเป็น กองร้อย หมวด และหมู่ มีนายร้อย นายสิบ ควบคุมตามแบบฝรั่ง ดังนั้นใน พ.ศ. 2395 กองทหารที่ได้รับการฝึกและจัดแบบตะวันตก มีดังนี้
- กองรักษาพระองค์อย่างยุโรป
- กองทหารหน้า
- กองปืนใหญ่อาสาญวน
กองทหารหน้าเป็นหน่วยที่ได้รับการฝึกแบบใหม่ มีอาวุธใหม่ และมีทหารประจำการมากกว่าทหารหน่วยอื่นๆ ทั้งยังมีความชำนาญในการรบมาพอสมควร เนื่องจากได้เข้าสมทบในกองทัพหลวงไปทำศึกที่เมืองเชียงตุง เมื่อปี พ.ศ. 2395 และ พ.ศ. 2396 การศึกทั้ง 2 ครั้งนี้ กองทหารหน้าได้สำแดงเกียรติภูมิในหน้าที่ของตนไว้อย่างน่าชมเชย จึงเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก ยามปกติกองทหารหน้ามีหน้าที่เข้าขบวนแห่นำตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกคราว นอกจากนั้นยังมีหน้าที่ปราบปรามโจรผู้ร้ายตามหัวเมืองต่างๆ เช่น ปราบปรามพวกอั้งยี่ที่มณฑลปราจีน และเมืองชลบุรีอีกด้วย จึงนับได้ว่า "กองทหารหน้า" นี้เองเป็นรากเหง้าของกองทัพบกในปัจจุบันนี้
กิจการทหารบกได้รุดหน้าไปอีก เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงมหิศวรินทรามเรศ ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการกองทหารหน้าใน พ.ศ. 2398 พระองค์ทรงรวบรวมกองทหารที่อยู่อย่างกระจัดกระจายทั่วกรุงเทพฯ มารวมไว้ที่เดียวกัน คือโรงทหารสนามไชย กองทหารดังกล่าวคือ
- กองทหารฝึกแบบยุโรป (เดิมอยู่ริมคลองโอ่งอ่างฝั่งตะวันออก)
- กองทหารมหาดไทย (ซึ่งถูกเกณฑ์มาจากหัวเมืองฝ่ายเหนือ)
- กองทหารกลาโหม (ซึ่งถูกเกณฑ์มาจากหัวเมืองฝ่ายใต้)
- กองทหารเกณฑ์หัด (คือพวกขุนหมื่นสิบยก กองทหารเกณฑ์หัดนี้ ขึ้นกับกองทหารหน้า)
ต่อมาเมื่อนายทหารอังกฤษทั้ง 2 นาย ได้ลาออกจากราชการ ก็ได้จ้างนายทหารชาวฝรั่งเศสชื่อ ลามาช (Lamache) มาฝึกแทน และได้รับราชทินนามเป็น หลวงอุปเทศทวยหาญ รับราชการอยู่ได้ไม่นานก็ลาออกไปจำนวนทหารที่ได้รับการฝึกแบบยุโรป เมื่อเทียบกับกำลังทั้งหมดแล้ว ก็นับว่ามีจำนวนไม่มาก และส่วนใหญ่เป็นการฝึกเบื้องต้น เพื่อปฏิบัติราชการในยามปกติ[8]
นอกจากนี้ในสมัยนั้น ปืนใหญ่สำหรับใช้รักษาพระนครยังมีอยู่น้อย มีปืนใหญ่ขนาด 10 นิ้ว ที่สั่งเข้ามาเพียง 200 กระบอก จึงได้มีการจัดหาปืนใหญ่ขนาด 8 นิ้ว และขนาด 12 นิ้ว มาใช้งานเพิ่ม นอกจากนั้นยังจัดหาปืนอาร์มสตรอง ปืนทองเหลือง ปืนหลังช้าง ปืนคาบศิลา และปืนไรเฟิลฉนวนทองแดง เข้ามาใช้ในการรักษาพระนครอีกเป็นจำนวนมาก[8] นอกจากจะจัดหาจากต่างประเทศแล้ว ยังให้สร้างขึ้นใช้เองอีกส่วนหนึ่ง เช่น "ปืนพระสุบินบรรดาล" ซึ่งเป็นปืนใหญ่ขนาดเล็ก บรรจุดินปืนแล้วสามารถยิงติดต่อกันได้ในเวลารวดเร็ว มีล้อ ๔ ล้อ พระองค์ยังทรงพระราชดำริให้สร้างปืนกลชนิดลูกโม่ซึ่งใช้นกสับซึ่งทำเป็นรูปปลา ตัวกระบอกเป็นเหล็กมีลูกโม่บรรจุดินปืนสามารถยิงติดต่อกันในเวลารวดเร็ว[2]
นอกจากนี้ ยังมีการการปรับปรุงป้อมปราการต่างๆ เนื่องจาก กำแพงพระนครเดิมแคบ และคูพระนครด้านตะวันออกเป็นเพียงลำคลอง นอกจากนั้นภูเขาทองวัดสระเกศที่สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ นั้น ถ้าข้าศึกยึดได้แล้วเอาปืนไปตั้งบนภูเขาทอง ก็จะระดมยิงเข้ามาในพระนครได้ จึงให้ขุดคลองผดุงกรุงเกษม เป็นคูเมืองชั้นนอก เมื่อปี พ.ศ. 2395 และให้สร้างป้อมเรียงรายเป็นระยะ ตามฝั่งคลองส่วนในพระนคร ตั้งแต่ปากคลองด้านเหนือไปถึงปากคลองด้านใต้ 5 ป้อม คือ ป้อมป้องปัจจามิตร ป้อมปิดปัจจานึก ป้อมผลาญศัตรู ป้อมปราบศัตรูพ่าย และป้อมทำลายปรปักษ์ เมื่อสงครามลามมาถึงพระนคร ให้ใช้ไม้แก่นหรือไม้ลำปักเป็นค่ายระเนียด บรรจบกันเป็นเขื่อน เพื่อจะได้ต่อสู้กับข้าศึกได้ถนัด
นอกจากป้อมทั้ง 5 ป้อมดังกล่าวแล้ว ยังมีป้อมที่สร้างในรัชสมัยของพระองค์อีก 3 ป้อมคือ ป้อมฮึกเหี้ยมหาญ ป้อมหักกำลังดัสกร และป้อมมหานคร[8]
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์มิได้แถลงพระบรมราโชบายในการจัดการทางทหารไว้เป็นที่เด่นชัด อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงสภาวการณ์ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ รวมทั้งวิธีการทางทหาร ตลอดจนพระปรีชาญาณในการบริหารประเทศแล้วอาจพิจารณาได้ว่า พระองค์น่าจะมีพระราชประสงค์ในการจัดการทางทหารเป็น 2 ประการ คือ
- การปฏิรูปการทหารเพื่อความมั่นคงแห่งราชบัลลังก์
- การปฏิรูปการทหารเพื่อความเจริญทางด้านการทหารเอง และให้เหมาะสมกับกาลสมัย ตลอดจนสามารถรักษาความปลอดภัยให้แก่ประเทศชาติ
การจัดการทหารในช่วงแรกนั้น ได้มีหลายประการด้วยกัน ดังนี้[8]
- การจัดตั้งหน่วยทหารมหาดเล็ก เริ่มต้นจากเมื่อ ปี พ.ศ. 2404 ได้มีการทดลองฝึกบุตรข้าราชการ ตามแบบยุทธวิธีแบบใหม่ แบบทหารหน้า เรียกกันว่า มหาดเล็กไล่กา ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2411 ก็ตั้งเป็นหน่วยทหารหน่วยหนึ่ง เรียกกันว่า ทหารสองโหล ต่อมาเมื่อมีกำลังพลเพิ่มขึ้น หน่วยนี้ได้วิวัฒนาการขึ้นเป็น กองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ตามลำดับ และในปี พ.ศ. 2414 ได้มีการจัดระเบียบของหน่วยนี้ให้มั่นคงขึ้น และให้ชื่อว่า กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ทรงจัดตั้งกองทหารม้า กองทหารช่าง และกองทหารแตรวง ขึ้นในกรมทหารมหาดเล็ก ฯ ตามลำดับ
- การปรับปรุงกรมทหารหน้า เมื่อปี พ.ศ. 2414 ได้โอนทหารรักษาพระองค์ กองทหารล้อมวัง และกองฝีพาย ซึ่งเป็นหน่วยทหารแบบเก่า เข้าสมทบกับกรมทหารหน้า กรมทหารหน้าได้รับการปรับปรุงในด้านต่าง ๆ มาโดยลำดับ มีหน่วยกองทหารม้า กองทหารดับเพลิง และกองทหารข่าวในสังกัด นอกจากนั้นยังโปรดเกล้า ฯ ให้กรมทหารหน้ารับเลขไพร่หลวง และบุตรหมู่ใด กรมใด ที่สมัครเข้ามาเป็นทหารเป็นเวลา 5 ปี จะได้ปลดพ้นหน้าที่ประจำการ ทำให้มีผู้มาสมัครเข้ารับราชการในกรมทหารหน้าเป็นอันมาก นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการปลดปล่อยไพร่ทั้งหลายให้ไปสู่ความเป็นไท
- การจัดกองทัพ กำลังในส่วนกลางหรือในกรุง ได้รับการปรับปรุงมาโดยลำดับ โดยแยกทหารบกและทหารเรือ จากกันเป็นสัดส่วน แต่กองทัพหัวเมืองยังคงเดิม คือแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ กองทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือในบังคับบัญชาของสมุหนายก กองทัพหัวเมืองฝ่ายใต้ในบังคับบัญชาของสมุหพระกลาโหม และกองทัพหัวเมืองชายทะเลในบังคับบัญชาของเจ้าพระยาพระคลัง
เนื่องจาการทหารในสมัยนั้นยังเป็นไปในลักษณะกระจัดกระจาย อยู่ในสังกัดอำนาจของบุคคลหลายฝ่าย จึงทำให้การปฏิรูปการทหารของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในระยะแรกมีขอบเขตจำกัด ต่อมาใน พ.ศ. 2415 ภายหลังจากการเสด็จไปประพาสสิงคโปร์และปัตตาเวียแล้ว พระองค์โปรดให้ปรับปรุงการทหารให้กาวหน้ายิ่งขึ้น โดยนำแบบอย่างการทหารที่ชาวยุโรปนำมาฝึกทหารในอาณานิคมของตน แต่ได้ดัดแปลงแก้ไขให้เหมาะสมกับสภาพของประเทศไทย โปรดให้แบ่งหน่วยทหารออกเป็น 7 หน่วย ดังนี้
- กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์
- กรมทหารรักษาพระองค์
- กรมทหารล้อมวัง
- กรมทหารหน้า
- กรมทหารปืนใหญ่
- กรมทหารช้าง
- กรมทหารฝีพาย
พ.ศ. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงหารือกับพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดี ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจัดการทหารอย่างใหม่เป็นระเบียบแบบแผนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้น ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2430 จึงได้มี "ประกาศจัดการทหาร" ขึ้น โดยตั้ง "กรมยุทธนาธิการ" มีลักษณะเป็นกรมกลางของทหารบก และทหารเรือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระราชอิสริยยศตำแหน่ง "จอมทัพ" สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็น "ผู้บังคับบัญชาการทั่วไป" และเพื่อให้หน่วยทหารได้รับการบังคับบัญชาดูแลได้ทั่วถึง จึงทรงแต่งตั้งตำแหน่งผู้ช่วยเหลือผู้บังคับบัญชาทั่วไปอีก 4 ตำแหน่ง คือ
- เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก
- เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ
- เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้บัญชาการใช้จ่าย
- เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้บัญชาการยุทธภัณฑ์
นอกจากนี้การปรับปรุงกิจการทหารด้านอื่น ๆ ในปี พ.ศ. 2431 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติแก้ไขธรรมเนียมกำหนดอายุไพร่ โดยกำหนดไว้ดังนี้
... บุตรหมู่ทหารเมื่ออายุย่าง 18 ปี ให้ไปลงบัญชีชื่อไว้ในกรมทหาร ครั้นอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ต้องไปประจำการฝึกหัดวิชาทหาร จนอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ และเมื่ออายุครบ 22 ปีบริบูรณ์ ให้มาเข้าเวรรับราชการปีละ 3 เดือน จนอายุครบ 50 ปีบริบูรณ์ จึงปลดพ้นราชการ ทหารที่มีบุตรเข้ารับราชการทหารตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ให้บิดาปลดจากราชการในเวลานั้น เว้นยามศึกสงคราม บุตรจะต้องเป็นทหารตามหมู่บิดาตน ...[8]
ในปีเดียวกันนี้ ได้มีการตราพระราชบัญญัติสำหรับกรมทหารขึ้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับเบี้ยเลี้ยง และรางวัลของทหาร โดยกำหนดให้เบี้ยเลี้ยงเฉพาะทหารที่ไปราชการรักษาชายแดนในหัวเมืองลาวและเขมร อันเป็นท้องถิ่นกันดาร และในปลายปี พ.ศ. 2431 ได้มี พรบ. ว่าด้วยศักดินาทหาร และ พรบ. ว่าด้วยลำดับยศนายทหารบก เพื่อเป็นการวางระเบียบในกิจการทหารให้เป็นที่เรียบร้อยสมบูรณ์ขึ้นตามลำดับ[8]
ต่อมาในปี พ.ศ. 2436 ประเทศไทยต้องเสียดินแดนอาณาจักรลาวให้กับฝรั่งเศส จึงได้มีการปรับปรุงด้านการทหารในปีต่อมา โดยคณะเสนาบดีได้ทูลเกล้า ฯ ถวายความเห็นให้จัดระเบียบราชการในกระทรวงกลาโหมใหม่ โดยให้รับผิดชอบทั้งด้านทหารบกและทหารเรือ จึงได้มีประกาศปันหน้าที่กระทรวงกลาโหม มหาดไทย โดยให้แยกราชการพลเรือน คือการบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ ไปขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย และจัดระเบียบกระทรวงกลาโหมใหม่ โดยรวมการบังคับบัญชาทางการทหารมาไว้ที่ กระทรวงกลาโหม นอกจากนั้นในส่วนภูมิภาค ก็ได้จัดตั้งกรมบัญชาการทหารประจำมณฑลต่าง ๆ เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ป้องกันราชอาณาจักรได้ทันท่วงที[9]
ในปี พ.ศ. 2439 ได้โอนกรมพระสุรัสวดี จากกระทรวงเมืองมาขึ้นกับกระทรวงกลาโหม เพื่อให้สะดวกในการเรียกพลเข้ารับราชการทหารและในปี พ.ศ. 2441 ได้จัดตั้งกรมเสนาธิการทหารบกขึ้น โดยมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช ซึ่งสำเร็จการศึกษาวิชาทหารจากประเทศเดนมาร์ก เป็นเสนาธิการ หลังจากนั้นก็ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจการทหารของไทยเข้าสู่ระบบสากล และในปีเดียวกันนี้ ได้มีการจัดตั้งหน่วย ทหารบกตามหัวเมืองต่าง ๆ ทั่วไป เพื่อสะดวกในการวางกำลังทหารไว้ ตามพื้นที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ และมีการเปลี่ยนนามหน่วยเสียใหม่ ดังนี้คือ[9]
- กรมทหารล้อมวัง เป็น กรมทหารบกราบที่ 1
- กรมทหารรักษาพระองค์ เป็น กรมทหารบกราบที่ 2
- กรมทหารฝีพาย เป็น กรมทหารบกราบที่ 3
- กรมทหารหน้า เป็น กรมทหารบกราบที่ 4
ในปี พ.ศ. 2444 เกิดกบฎผีบุญผีบ้าที่เมืองอุบลราชธานี และปีต่อมา เกิดกบฎเงี้ยวที่เมืองแพร่ จากการปราบปรามกบฎดังกล่าว ได้พบปัญหาและข้อบกพร่องในการปฏิบัติการบางส่วน มีหน่วยที่ต้องทำการปรับปรุงแก้ไข 7 หน่วยด้วยกัน และได้จัดให้มีการทหารประจำการอยู่ที่มณฑลอุดร มณฑลอีสาน และมณฑลพายัพ เพิ่มขึ้น และต่อมาจึงได้มีการจัดกำลังเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 30 ประกอบด้วยหน่วยต่าง ๆ 16 หน่วย เป็นหน่วยในภูมิภาค 6 หน่วย คือที่ ราชบุรี นครราชสีมา นครสวรรค์ มณฑลพายับตะวันตก และมณฑลพายัพตะวันออก[9]
ในปี พ.ศ. 2447 ได้มีพระราชบัญญัติลักษณะการเกณฑ์ทหาร โดยแยกการเกณฑ์ทหาร ออกจากราชการพลเรือนอย่างเด็ดขาด[9]
ในปี พ.ศ. 2450 กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดชทรงเห็นควรจะขนานนามลำดับกรมทหารต่าง ๆ ให้เป็นระเบียบ ๑๐ กองพล เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ในระเบียบราชการ โดยกรมกองทหารที่ทรงร่วมกันจัดขึ้นนั้น ประกอบไปด้วยกองพลทหารบก ๑๐ กองพล กระจายกันอยู่ในหัวเมืองมณฑลต่างๆ ทั่วพระราชอาณาจักร เป็นหน่วยกองพล 10 กองพล คือ กองพลที่ 1 ถึงกองพลที่ 10 กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ เป็นมณฑลกรุงเทพ ฯ อีก 9 กองพล อยู่ในภูมิภาค คือ นครไชยศรี กรุงเก่า ราชบุรี นครราชสีมา นครสวรรค์ พิษณุโลก มณฑลพายัพ ปราจีณบุรี และมณฑลอีสานอุดร ตามลำดับ[10]
ในปี พ.ศ. 2452 โปรดเกล้า ฯ ให้จัดกองพลเป็นกองทัพ ดังนี้[10]
- กองทัพที่ 1 ประกอบด้วย
- กองพลที่ ๑ (รักษาพระองค์) มณฑลกรุงเทพ ฯ
- กองพลที่ ๒ มณฑลนครไชยศรี
- กองพลที่ ๓ มณฑลกรุงเก่า
- กองทัพที่ 2 ประกอบด้วย
- กองพลที่ ๖ มณฑลนครสวรรค์
- กองพลที่ ๗ มณฑลพิษณุโลก
- กองพลที่ ๘ มณฑลพายัพ
- กองทัพที่ 3 ประกอบด้วย
- กองพลที่ ๕ มณฑลนครราชสีมา
- กองพลที่ ๙ มณฑลปาจิณบุรี
- กองพลที่ ๑๐ มณฑลอิสานและอุดร
- ส่วนกองพลที่ 4 ให้คงเป็นกองพลอิสระ
เนื่องกองทัพสยามที่เป็นกองทัพเพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ ทั้งยังมีข้อจำกัดด้านนโยบายที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด คือ ห้ามกู้ยืมเงินมาพัฒนากองทัพโดยเด็ดขาด การสร้างสมกำลังรบและยุทธปัจจัยต่างๆ ให้ใช้จ่ายได้เฉพาะจากงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับการจัดสรรประจำปีกับเงินคงพระคลังซึ่งเป็นเงินงบประมาณเหลือจ่ายจากปีต่างๆ ด้วยข้อจำกัดดังกล่าวกองทัพบกสยามในเวลานั้น จึงมีการวางอัตรากำลังพลในเวลาปกติของแต่ละกองพลทั่วราชอาณาจักร เป็นดังนี้[11]
- ทหารราบ ๒ กองพัน
- ทหารปืนใหญ่ ๒ กองร้อย
- ทหารม้าหรือทหารพราน ๒ กองร้อย
- ทหารช่าง ๑ กองร้อย
เว้นแต่กองพลที่ ๑ รักษาพระองค์ ที่เป็นหน่วยประจำรักษาพื้นที่กรุงเทพฯ และมีหน้าที่เป็นทหารรักษาพระองค์ กับกองพลที่ ๔ มณฑลราชบุรี ซึ่งเป็นกองพลอิสระที่ขึ้นตรงต่อเสนาธิการทหารบก และเป็นหน่วยระวังรักษาพื้นที่มณฑลราชบุรี ซึ่งเป็นหน้าด่านของการป้องกันประเทศทางด้านคาบสมุทรมลายู เพราะนับแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงไปจนสุดชายพระราชอาณาเขตที่มณฑลปัตตานีเป็นพื้นที่ที่ไม่มีกองทหารลงไปประจำการ จึงมีการจัดกำลังรบในกองพลที่ ๔ นี้เสมอด้วยอัตรากำลังในยามมีศึกสงครามมาประชิด ซึ่งแต่ละกองพลมีการจัดกำลังเต็มอัตรา ดังนี้[11]
- ทหารราบ ๒ กรมๆ ละ ๒ กองพัน
- ทหารปืนใหญ่ ๓ กองร้อย
- ทหารม้า ๒ กองร้อย หรือทหารพราน ๔ กองร้อย
- ทหารช่าง ๔ กองร้อย
ในด้านการฝึกศึกษานั้น โปรดเกล้า ให้จัดตั้งโรงเรียนทหารมหาดเล็ก ใน พ.ศ. 2425 ต่อมาได้ตั้ง โรงเรียนคาเด็ตทหารหน้า ซึ่งได้จ้างครูชาวอิตาลีมาสอน 2 คน และได้ตั้งโรงเรียนทำแผนที่ ขึ้นในกรมทหารมหาดเล็ก นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงส่งพระราชโอรสพระบรมวงศานุวงศ์ และบุตรผู้มีตระกูล ไปศึกษาวิชาทหารยังต่างประเทศ ในทวีปยุโรป ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศอังกฤษ เยอรมนี และเดนมาร์ก[9]
ต่อมาในปี พ.ศ. 2430 ได้มีการรวมโรงเรียนคาเด็ตทหารมหาดเล็ก และโรงเรียนคาเด็ตทหารหน้าเข้าด้วยกัน ระยะแรกเรียก คาเด็ตสกุล ในต่อมาปี พ.ศ. 2440 ได้นำโรงเรียนนายสิบ เข้ามาสมทบด้วยแล้วให้ชื่อใหม่ว่า โรงเรียนสอนวิชาทหารบก ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนนายร้อยทหารบก ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ในทุกวันนี้[9]
สำหรับพลทหาร ก็ได้มีหลักสูตรสำหรับพลทหาร เรียกว่า หลักสูตรพลทหาร รศ. 124 (พ.ศ. 2448) เพื่อฝึกกำลังพลให้ทำหน้าที่ทหารได้อย่างจริงจัง[9]
กองทัพบกสมัยถัดมาก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงส่งพระราชโอรสไปศึกษาวิชาทหารยังต่างประเทศในทวีปยุโรป ดังนั้นเมื่อพระราชโอรสซึ่งจบการศึกษาการทหารบกจากประเทศอังกฤษได้สำเร็จการศึกษา และเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ จึงได้กลับมาพัฒนากิจการทหารบกในด้านต่างๆ ให้เจริญก้าวหน้าตามแบบอย่างทหารในทวีปยุโรป
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกแซนด์เฮิสต์ ประเทศอังกฤษ ทั้งยังทรงรับราชการในกรมทหารราบเบาเดอรัม และค่ายฝึกทหารปืนใหญ่ นับว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ได้ทรงศึกษาวิชาทหารบกจากต่างประเทศโดยเฉพาะ เมื่อพระองค์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ จึงทรงปรับปรุงกิจการทหารบกให้ดียิ่งขึ้น และเจริญก้าวหน้าตามแบบอย่างทหารในทวีปยุโรป พระองค์ทรงให้มีการเปลี่ยนแปลงการบริหารกิจการทหารใหม่ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2453 โดย
- เปลี่ยนชื่อกรมยุทธนาธิการ เป็น กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ดูแลการปกครองเฉพาะกิจการทหารบก
- ยกกรมทหารเรือ ขึ้นเป็น กระทรวงทหารเรือ
- จัดตั้งสภาป้องกันพระราชอาณาจักร ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างกระทรวงกลาโหม และกระทรวงทหารเรือ
นอกจากนี้ ทรงดำริว่า "การทหารวังนั้น มิใช่มีหน้าที่เฉพาะของทหาร แต่เป็นหน้าที่ของกรมวังนอก" ซึ่งเป็นกรมพลเรือนในเขตพระราชฐาน จึงโปรดเกล้าให้ยกกรมวังนอก ซึ่งเป็นส่วนราชการพลเรือนในราชสำนัก ขึ้นเป็นกรมทหารรักษาวัง เมื่อวันอังคารที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 กรมทหารรักษาวังนี้ มีฐานะเป็นหน่วยทหารประจำการกรมหนึ่ง มีหน้าที่หลัก คือ การรักษาการในเขตพระราชฐานแทนทหารประจำการและปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยทหารรักษาพระองค์อีกหน่วยหนึ่ง แต่อยู่ในบังคับบัญชาของเสนาบดีกระทรวงวัง รวมทั้งการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็โปรดให้ใช้งบประมาณของกระทรวงวังซึ่งเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งสิ้น [12]
เมื่อแรกตั้งกรมทหารรักษาวังนั้น โปรดให้จัดอัตรากำลังเป็น ๒ กองพันดังเช่นการจัดอัตรากำลังของหน่วยทหารบกในยุคนั้น ภายหลังครั้นความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า จะมีชาติมหาอำนาจชาติหนึ่งจะทำการขอสัมปทานทำเหมืองแร่ในเขตมณฑลปักษ์ใต้ของไทย แล้วจะอาศัยเหตุนี้ส่งกำลังทหารเข้ามาโดยอ้างว่าเพื่อคุ้มครองคนของตนที่มาทำเหมืองแร่นั้นแล้ว ทรงห่วงใยในเรื่องกรรมสิทธิ์ของประเทศสยามในดินแดนแถบนี้ จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้จัดตั้งกองพันที่ ๓ กรมทหารรักษาวังขึ้นอีก ๑ กองพัน มีที่ตั้งกองบังคับการกองพันอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช [12]
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นทหารบกโดยอาชีพ กล่าวคือ ทรงศึกษาวิชาทหารบกจากวิทยาลัยการทหารวูลลิช ประเทศอังกฤษ และวิชาเสนาธิการทหาร จากโรงเรียนเสนาธิการฝรั่งเศส พระองค์ทรงพยายามทุกวิถีทางที่จะทำนุบำรุงกิจการทหารบกให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น แต่ปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการขากแคลนงบประมาณแผ่นดิน ทำให้รัฐบาลมีความจำเป็นต้องตัดทอนรายจ่าย และส่งผลกระทบมาถึงกิจการทหารในสมัยของพระองค์ด้วย มีการยุบกรมกองและปลดข้าราชการตำแหน่งต่างๆ ลง ต่อมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยุบกระทรวงทหารเรือ รวมเข้ากับกระทรวงกลาโหม ให้เสนาบดีกระทรวงกลาโหมมีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชาการทหาร 3 ฝ่าย คือ ทหารบก ทหารเรือ และทหารอากาศ ปัญหาและผลสะท้อนจาการตัดทอนรายจ่ายในราชการทหารนี้เองเป็นสาเหตุนำไปสู่ความยุ่งยากทางการเมือง
หลังการปฏิวัติ พ.ศ. 2475
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการที่เคยดำรงตำแหน่งชั้นสูงในกองทัพบก ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งจนหมด และได้มีการบรรจุบุคคลอื่นเข้าดำรงตำแหน่งแทน โดยมี นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นผู้บัญชาการทหารบก และ นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกฝ่ายยุทธการ อย่างไรก็ตามงานในหน้าที่ผู้บังคับบัญชาทหารบกกลับอยู่ในมือของ นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช เนื่องจากมีความสามารถและความเชี่ยวชาญทางวิชาการทหารสูง จึงมีบทบาทในการจัดราชการทหารอยู่ระยะหนึ่ง ในเดือนกันยายน ปี 2476 พระยาทรงสุรเดช ได้ก่อความไม่สงบขึ้น โดยมั่นหมายที่จะเปลี่ยนแปลงบุคคลในระดับสูง ทั้งทางด้านการทหารและพลเรือนเสียใหม่ แต่ไม่สำเร็จ
เมื่อเกิดสงครามมหาเอเซียบูรพา จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดขณะนั้น ได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ทางทหาร ด้วยการนำกำลังกองทัพบกส่วนใหญ่ขึ้นไปอยู่ทางภาคเหนือ แล้วจัดตั้งเป็นกองทัพพายัพขึ้น กับได้วางแผนการย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพฯ ไปอยู่เพชรบูรณ์ ทั้งนี้เพื่อรักษาอธิปไตยของไทยให้พ้นจากการยึดครองของญี่ปุ่น และในขณะเดียวกัน ก็พยายามรักษากำลังทัพของไทยมิให้กองทัพญี่ปุ่นปลดอาวุธ แผนการนี้เป็นแผนที่จะใช้พื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นป้อมปราการต่อสู้ตายกับศัตรู เมื่อภัยสงครามได้ทวีความรุนแรงขึ้นใน พ.ศ. 2486 กองบัญชาการกองทัพบกสนามได้อพยพส่วนหนึ่งจากกรุงเทพฯ ไปตั้งที่ ตำบลวังรุ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ตามแผนการย้ายเมืองหลวงดังกล่าว
กองบัญชาการกองทัพบก นอกจากจะมีที่ตั้งอยู่ภายในกระทรวงกลาโหมแล้ว ยังมีกองบัญชาการอีกส่วนหนึ่งอยู่ที่หอประชุมกองทัพบก และบริเวณสวนรื่นฤดี เขตดุสิต กล่าวคือ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2500 รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและแต่งตั้งให้ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้บัญชาการฝ่ายทหาร มีอำนาจเต็มที่ในการสั่งการแก่ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจ โดยใช้หอประชุมกองทัพบก เป็นกองบัญชาการฝ่ายทหาร ต่อมาในเดือนกันยายน เมื่อคณะทหารภายใต้การนำของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้พร้อมใจกันยึดอำนาจจากรัฐบาล (จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้ใช้หอประชุมกองทัพ เป็นกองบัญชาการผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร แต่ได้ปิดลงในระยะเวลาอันสั้น แล้วตั้งเป็น กองบัญชาการกองทัพบก ส่วนที่ 2 ขึ้นแทน ต่อมาใน พ.ศ. 2503 ได้ใช้หอประชุมกองทัพบก เป็นกองบัญชาการกองทัพบก ส่วนที่ 2 อีกครั้ง เมื่อสถานการณ์ตามแนวพรหมแดนมีปัญหาขัดแย้งบางประการ อันจะมีผลกระทบต่อประเทศไทย และใน พ.ศ. 2506 จอมพล ประภาส จารุเสถียร รองผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น ให้เปลี่ยนชื่อกองบัญชาการกองทัพบกส่วนที่ 2 เป็นศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกและใช้เรียกชื่อนี้เรื่อยมาจนปัจจุบัน แม้ว่าศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกจะย้ายมาตั้งอยู่ภายในกองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนินนอก เขตพระนคร ก็ตาม
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ปัจจุบันเป็นหน่วยเฉพาะกิจ ประกอบด้วย สำนักงานผู้บังคับบัญชาและฝ่ายอำนวยการต่างๆ มีภารกิจในการวางแผน อำนวยการ ประสานการปฏิบัติ และกำกับดูแลหน่วยรองของกองทัพบก และกำลังรบเฉพาะกิจในการปฏิบัติเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ และความมั่นคงของรัฐในทุกรูปแบบ
สมัยปัจจุบัน
พลเอก อาทิตย์ กำลังเอก ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก พิจารณาเห็นว่า กองทัพบกเป็นสถาบันหลักสถานบันหนึ่งของประเทศ มีภารกิจในการรักษาความมั่นคงและอธิปไตยของชาติ ตลอดจนเทิดทูนและรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่ยังไม่มีกองบัญชาการเป็นสัดส่วนของตนเองเช่นเหล่าทัพอื่น ทั้งยังได้อาศัยอาคารและสถานที่ของกระทรวงกลาโหมมาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย สถานที่ดังกล่าวนอกจากจะคับแคบ ไม่เป็นเอกเทศกับตนเองแล้ว ยังไม่สมเกียรติและศักดิ์ศรีของกองทัพบกอีกด้วย ดังนั้น ผู้บัญชาการทหารบกจึงได้สั่งการให้พิจารณาหาสถานที่ก่อสร้าง "กองบัญชาการกองทัพบก" แห่งใหม่ ในระยะแรกได้พิจารณาเห็นว่า สถานที่บริเวณกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ บางเขน มีพื้นที่เพียงพอ การคมนาคมสะดวก แต่เรื่องนี้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ เนื่องจากติดขัดทางด้านงบประมาณ
ครั้นเมื่อโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ย้ายไปอยู่ ณ เขาชะโงก อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก กองทัพบกพิจารณาเห็นว่า โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเดิม ซึ่งตั้งอยู่บนถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่ที่มีความสง่างาม มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานควบคู่กับกองทัพบก นอกจากนั้น ยังมีพื้นที่กว้างขวาง การคมนาคมสะดวก เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร และเป็นเส้นทางผ่านของแขกบ้านแขกเมือง หากกองทัพบกใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นกองบัญชาการกองทัพบก นอกจากจะมีความเหมาะสมอย่างยิ่งดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังเป็นการประหยัดงบประมาณของกองทัพบกและประเทศชาติได้อีกเป็นจำนวนมาก ผู้บัญชาการทหารบก จึงได้สั่งการให้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็น กองบัญชาการกองทัพบก และได้กระทำพิธีเปิดที่ทำการของกองบัญชาการกองทัพบกครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2529 สำหรับการกำหนดสถานที่ของหน่วยงานต่างๆ ภายในกองบัญชาการกองทัพบกในครั้งนั้น ได้กำหนดให้อาคารซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของส่วนราชการโรงเรียนนายร้อยฯ เดิม (ตรงข้ามสนามมวยราชดำเนิน) เป็นที่ตั้งของกรมฝ่ายเสนาธิการ ส่วนอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของส่วนการศึกษาเดิม (ตรงข้ามกระทรวงศึกษาธิการ) เป็นที่ตั้งของสำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก สำนักงานตรวจบัญชีกองทัพบก และกรมการเงินทหารบก
ต่อมาสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ขอใช้ที่ดินบริเวณส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยฯ เดิม เพื่อขยายสถานที่ทำงานของทำเนียบรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ลงมติเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2530 อนุมัติหลักการให้สำนักนายกรัฐมนตรีใช้ที่ดินและอาคารสถานที่บริเวณส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยฯ เดิม และอนุมัติให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้กองทัพบกในการก่อสร้างอาคาร "กองบัญชาการกองทัพบก" แห่งใหม่ บริเวณส่วนบัญชาการโรงเรียนนายร้อยฯ เดิม คณะกรรมการโครงการก่อสร้างกองบัญชาการกองทัพบก จึงได้พิจารณาออกแบบอาคารขนาดใหญ่ที่ทันสมัย เพื่อเป็นศูนย์รวมในการปฏิบัติงานของผู้บังคับบัญชาชั้นสูง และฝ่ายเสนาธิการต่างๆ ของกองทัพบก ให้สามารถปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พิธีวางศิลาฤกษ์กองบัญชาการกองทัพบกแห่งใหม่นี้ได้กำหนดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2531 ระหว่างเวลา 08.49 - 09.29 นาฬิกา โดยมี พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบก รักษาราชการผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานในพิธี
สำหรับหน่วยที่ใช้สถานที่ภายในอาคาร "กองบัญชาการกองทัพบก" ปัจจุบันประกอบด้วย
- อาคารส่วนที่ 1
- สำนักงานผู้บังคับบัญชาชั้นสูง
- กรมยุทธการทหารบก
- กรมข่าวทหารบก
- กรมกำลังพลทหารบก
- กรมส่งกำลังบำรุงทหารบก
- กรมกิจการพลเรือนทหารบก
- ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก
- อาคารส่วนที่ 2 และส่วนที่ 3
- ประชาสัมพันธ์ หน่วยตรวจโรค ร้านสวัสดิการ ห้องจัดเลี้ยง ห้องเตรียมอาหาร ห้องอาหารนายทหารชั้นสัญญาบัตรและนายทหารชั้นประทวน ห้องประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก หน่วยสื่อสาร ห้องสมุด
- สำนักงานที่ปรึกษา ทบ.
- ศูนย์เทคโนโลยีทางทหารกองทัพบก
- กรมสารบรรณทหารบก
- อาคารส่วนที่ 4
- สำนักงานเลขานุการกองทัพบก
- กรมการเงินทหารบก
- ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาย่อย บก.ทบ.
- อาคารส่วนที่ 5
- อาคารจอดรถสูง 9 ชั้น
ภารกิจหลัก
พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2503 มาตรา 14 กำหนดอำนาจและหน้าที่กระทรวงกลาโหมและหน้าที่ของกองทัพบกไว้ว่า "กองทัพบกมีหน้าที่เตรียมกำลังทางบก และป้องกันราชอาณาจักร มีผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ"
การรัฐประหารที่กองทัพมีส่วนเกี่ยวข้อง[13]
กองทัพบกมักมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมต่อการรัฐประหารในประเทศไทยเสมอ
รัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 นำโดยพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ยึดอำนาจรัฐบาล พระยามโนปกรณ์นิติธาดา
รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
รัฐประหาร 6 เมษายน พ.ศ. 2491 คณะนายทหารกลุ่มที่ทำการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 จี้บังคับให้ นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมอบตำแหน่งต่อให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
รัฐประหาร 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 นำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง
รัฐประหาร 16 กันยายน พ.ศ. 2500 นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม
รัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร (ตามที่ตกลงกันไว้)
รัฐประหาร 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 นำโดย จอมพลถนอม กิตติขจร ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง
รัฐประหาร 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
รัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล นายธานินทร์ กรัยวิเชียร
รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ
รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
รัฐประหาร 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล (ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีหลังยิ่งลักษณ์ ชินวัตรถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง)
การแบ่งเหล่า
กองทัพบกไทย มีการแบ่งประเภทเหล่าทหารบก ออกเป็นเหล่าต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
เหล่ารบ
เหล่ารบ เป็นเหล่าหลักที่ใช้ในการรบ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่หลักในสนามรบ ประกอบด้วย
- ทหารราบ (ร.) เป็นกำลังรบหลักของกองทัพบกไทย มีกำลังพลมากที่สุด มีหน้าที่เข้ายึดครองและรักษาพื้นที่ ทหารราบมาตรฐาน ทหารราบเบา ทหารราบยานเกราะ
- ทหารม้า (ม.) แบ่งออกเป็นสามแบบคือ ทหารม้าลาดตระเวน ทหารม้าบรรทุกยานเกราะ ยานสายพาน หรือยานหุ้มเกราะเป็นพาหนะในการรบ ทหารม้ารถถัง ใช้รถถังเป็นอาวุธหลักในการปฏิบัติการรบ
เหล่าสนับสนุนการรบ
เหล่าสนับสนุนการรบ เป็นฝ่ายสนับสนุนการรบ โดยมากมักปฏิบัติงานควบคู่กับหน่วยรบในสนามรบ ประกอบด้วย
- ทหารปืนใหญ่ (ป.) ใช้ปืนใหญ่ ในการยิงสนับสนุนให้กับหน่วยกำลังรบ
- ทหารช่าง (ช.) เป็นฝ่ายช่วยเหลือทางเทคนิคด้านงานช่าง ก่อสร้าง ซ่อม หรือทำลาย สิ่งก่อสร้างต่างๆ
- ทหารสื่อสาร (ส.) เป็นฝ่ายช่วยเหลือทางเทคนิคด้านงานสื่อสาร และด้านเทคโนโลยีต่างๆ
- ทหารการข่าว (ขว.) ข่าวกรอง
เหล่าช่วยรบ
เหล่าช่วยรบ เป็นฝ่ายส่งกำลังหรือสิ่งอุปกรณ์ช่วยเหลือการรบ โดยมากปฏิบัติงานแนวหลังในสนามรบ ประกอบด้วย
- ทหารสรรพาวุธ (สพ.) เป็นฝ่ายสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์จำพวก อาวุธ กระสุน วัตถุระเบิด ตลอดจนยานพาหนะในการรบ
- ทหารพลาธิการ (พธ.) เป็นฝ่ายสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์จำพวก อาหาร เครื่องแต่งกาย เชื้อเพลิง ยุทธภัณฑ์ส่วนบุคคล
- ทหารแพทย์ (พ.) เป็นฝ่ายสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์ในกลุ่มเวชภัณฑ์ และสิ่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงเป็นฝ่ายรักษาพยาบาลให้กับทหารและครอบครัวทหาร
- ทหารขนส่ง (ขส.) เป็นฝ่ายอำนวยความสะดวกเรื่องการขนส่งกำลังพล และการเคลื่อนย้ายสิ่งอุปกรณ์
เหล่าสนับสนุนการช่วยรบ
นอกจากนี้ยังมีหน่วยอื่นๆ ที่มิได้เป็นหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการรบโดยตรง ประกอบด้วย
- ทหารสารบรรณ (สบ.) มีหน้าที่ดำเนินการด้านธุรการ เอกสาร ทะเบียนประวัติ และงานสัสดี
- ทหารการเงิน (กง.) ปฏิบัติงานด้านการเงิน บัญชี งบประมาณ และการเบิกจ่ายงบประมาณ
- ทหารพระธรรมนูญ (ธน.) ดำเนินการด้านกฎหมาย การศาลทหาร
- ทหารแผนที่ (ผท.) มีหน้าที่สำรวจและจัดทำ แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ (ขึ้นการบังคับบัญชากับ กองบัญชาการกองทัพไทย)
- ทหารการสัตว์ (กส.) มีหน้าที่ดูแลสัตว์ในราชการกองทัพ
- ทหารดุริยางค์ (ดย.) มีหน้าที่ให้ความบันเทิง สันทนาการ
- ทหารสารวัตร (สห.) มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย ดูแลระเบียบวินัยของทหาร การเชลย
การจัดส่วนราชการ
กองทัพบก แบ่งส่วนราชการเป็น 7 ส่วนดังนี้ [14]
- ส่วนบัญชาการ
- ส่วนกำลังรบ
- ส่วนสนับสนุนการรบ
- ส่วนสนับสนุนการช่วยรบ
- ส่วนภูมิภาค
- ส่วนการศึกษา
- ส่วนช่วยพัฒนาประเทศ
ส่วนบัญชาการ
|
|
ส่วนกำลังรบ
- กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) รับผิดชอบพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ตั้งกองบัญชาการที่กรุงเทพมหานคร หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) ดูแลพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล พื้นที่ภาคกลางตั้งแต่จังหวัดลพบุรี ยาวไปจนถึงจังหวัดสุพรรณบุรี ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร
- กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) เป็นกองพลทหารราบยานเกราะ รับผิดชอบชายแดนด้านตะวันออก ชายแดนไทย-กัมพูชา และพื้นที่ภาคตะวันออกทั้งหมด ตั้งอยู่ที่ค่ายพรหมโยธี จังหวัดปราจีนบุรี
- กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) รับผิดชอบชายแดนด้านตะวันตก ยาวไปจนถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งอยู่ที่ค่ายสุรสีห์ จังหวัดกาญจนบุรี
- กองพลทหารราบที่ 11 (พล.ร.11) เป็นกองพลสำรอง ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา
- กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) ตั้งอยู่ในเขตพญาไท กรุงเทพมหานคร
- กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) รับผิดชอบพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด ตั้งกองบัญชาการที่ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลทหารราบที่ 3 (พล.ร.3) ดูแลภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ตั้งอยู่ที่ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา
- กองพลทหารราบที่ 6 (พล.ร.6) ดูแลภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ตั้งอยู่ที่ค่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จังหวัดร้อยเอ็ด
- กองพลทหารม้าที่ 3 (พล.ม.3) เป็นกองพลใหม่ ตั้งอยู่ในค่ายติณสูลานนท์ จังหวัดขอนแก่น
- กองทัพภาคที่ 3 (ทภ.3) รับผิดชอบพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด ตั้งกองบัญชาการที่ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ จังหวัดพิษณุโลก หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลทหารราบที่ 4 (พล.ร.4) ดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ตั้งอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก
- กองพลทหารราบที่ 7 (พล.ร.7) ดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนบน เป็นกองพลใหม่ ตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ใช้ค่ายกรมรบพิเศษที่ 5
- กองพลทหารม้าที่ 1 (พล.ม.1) ตั้งอยู่ที่ค่ายพ่อขุนผาเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์
- กองทัพภาคที่ 4 (ทภ.4) รับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมด ตั้งกองบัญชาการที่ค่ายวชิราวุธ จังหวัดนครศรีธรรมราช และมีกองทัพภาคที่4ส่วนหน้าอยู่ที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เพื่อดูแลปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเฉพาะ หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลทหารราบที่ 5 (พล.ร.5) ดูแลพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ตั้งอยู่ที่ค่ายเทพสตรีศรีสุนทร อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช
- กองพลทหารราบที่ 15 (พล.ร.15) ดูแลพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ เดิมเป็นกองพลหนุน แต่จัดตั้งเป็นกองพลมาตรฐานหลังเกิดปัญหาความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย เดิมใช้ชื่อว่ากองพลพัฒนาและพิทักษ์ทรัพยากรแห่งชาติ ที่ตั้งเดิมอยู่ที่ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปัจจุบันย้ายมาที่ ค่ายอิงคยุทธบริหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี
- หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) ตั้งกองบัญชาการอยู่ที่ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี รับผิดชอบภารกิจเกี่ยวกับสงครามพิเศษ หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลรบพิเศษที่ 1 (พล.รพศ. 1) มีที่ตั้งอยู่ในค่ายเอราวัณ จังหวัดลพบุรี
- ศูนย์สงครามพิเศษ (ศสพ.)
- หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.) ตั้งกองบัญชาการอยู่ที่แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร มีภารกิจเกี่ยวกับการป้องกันภัยทางอากาศ การต่อต้านอากาศยาน หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (พล.ปตอ.) ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
- ศูนย์ต่อสู้ป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก (ศปภอ.ทบ.) ตั้งอยู่ที่ถนนเตชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร มีหน้าที่สำคัญในด้านการเฝ้าตรวจทางอากาศ ค้นหาอากาศยาน พิสูจน์ฝ่าย แจ้งเตือน และควบคุมการปฏิบัติ
ส่วนสนับสนุนการรบ
- กองพลทหารปืนใหญ่ (พล.ป.) ดูแลพื้นที่ทั่วประเทศไทย มีที่ตั้งอยู่ที่ ค่ายพิบูลสงคราม อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี
- กองพลทหารช่าง (พล.ช) ดูแลพื้นที่ทั่วประเทศไทย มีที่ตั้งอยู่ที่ ค่ายบุรฉัตร อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี
- หน่วยข่าวกรองทางทหาร (ขกท.)
- กองบัญชาการช่วยรบที่ 1 (บชร.1) ดูแลด้านการส่งกำลังบำรุงและซ่อมบำรุง พื้นที่ภาคกลาง
- กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 (บชร.2) ดูแลด้านการส่งกำลังบำรุงและซ่อมบำรุง พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- กองบัญชาการช่วยรบที่ 3 (บชร.3) ดูแลด้านการส่งกำลังบำรุงและซ่อมบำรุง พื้นที่ภาคเหนือ
- กองบัญชาการช่วยรบที่ 4 (บชร.4) ดูแลด้านการส่งกำลังบำรุงและซ่อมบำรุง พื้นที่ภาคใต้
ส่วนสนับสนุนการช่วยรบ
มีจำนวน 9 กรม ดังนี้ [14]
- กรมการทหารช่าง (กช.)
- กรมการทหารสื่อสาร (สส.)
- กรมสรรพวุธทหารบก (สพ.ทบ.)
- กรมพลาธิการทหารบก (พธ.ทบ.)
- กรมแพทย์ทหารบก (พบ.)
- กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.)
- กรมยุทธโยธาทหารบก (ยย.ทบ.)
- กรมการสัตว์ทหารบก (กส.ทบ.)
- กรมวิทยาศาสตร์ทหารบก (วศ.ทบ.)
- ศูนย์การบินทหารบก (ศบบ.)
ส่วนภูมิภาค
|
|
ส่วนการศึกษา
- กรมยุทธศึกษาทหารบก (ยศ.ทบ.)
- โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (รร.จปร.)
- วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า (วพม.)
- หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.)
- วิทยาลัยการทัพบก (วทบ.)
- โรงเรียนเสนาธิการทหารบก (รร.สธ.ทบ.)
- โรงเรียนนายสิบทหารบก (รร.นส.ทบ.)
- ศูนย์การทหารราบ (ศร.)
- ศูนย์การทหารม้า (ศม.)
- ศูนย์การทหารปืนใหญ่ (ศป.)
- ศูนย์สงครามพิเศษ (ศสพ.)
ส่วนช่วยการพัฒนาประเทศ
- กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1)
- กองพลพัฒนาที่ 1 (พล.พัฒนา 1)
- กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2)
- กองพลพัฒนาที่ 2 (พล.พัฒนา 2)
- กองทัพภาคที่ 3 (ทภ.3)
- กองพลพัฒนาที่ 3 (พล.พัฒนา 3)
- กองทัพภาคที่ 4 (ทภ.4)
- กองพลพัฒนาที่ 4 (พล.พัฒนา 4)
สื่อในความควบคุมของกองทัพบก
- สถานีวิทยุกระจายเสียงกองทัพบก เครือข่ายทั่วประเทศ 127 สถานี
- สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 (ททบ.5)
- สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 (ให้เอกชนเช่าสัมปทาน)
- สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ไทยทีวีโกลบอลเน็ตเวิร์ค (TGN)
- โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.)
ยุทธภัณฑ์
อาวุธประจำกาย
Photo | Model | Type | Caliber | Origin | Notes | |
---|---|---|---|---|---|---|
Pistols | ||||||
M1911 | Semi-automatic pistol | .45 ACP | สหรัฐ ไทย |
Thai M1911A1 pistols produced under license; locally known as the Type 86 pistol (ปพ.86). | ||
Heckler & Koch USP | Semi-automatic pistol | .45ACP | เยอรมนี | Used by special forces. | ||
HS2000 | Semi-automatic pistol | 9×19mm Parabellum | โครเอเชีย | Used by armed forces.[15] | ||
CZ 75 | Semi-automatic pistol | 9×19mm Parabellum | เชโกสโลวาเกีย | Used by special forces. | ||
Beretta 92 | Semi-automatic pistol | 9×19mm Parabellum | อิตาลี | |||
Beretta M1951 | Semi-automatic pistol | 9×19mm Parabellum | อิตาลี | Used by armed forces. | ||
FN Five-seven | Semi-automatic pistol | FN 5.7×28mm | เบลเยียม | |||
Shotguns | ||||||
Remington Model 870 | Shotgun | 12 gauge | สหรัฐ | |||
Franchi SPAS-12 | Shotgun | 12 gauge | อิตาลี | |||
Submachine guns | ||||||
Heckler & Koch MP5 | Submachine gun | 9×19mm Parabellum | เยอรมนี | Used by special forces. | ||
UZI | Submachine gun | 9×19mm Parabellum | อิสราเอล | Used by military police. | ||
Heckler & Koch UMP | Submachine gun | 9×19mm Parabellum | เยอรมนี | UMP9 submachine guns used by special forces. | ||
FN P90 | Submachine gun | 5.7x28mm | เบลเยียม | FN P90 submachine guns used by special forces. | ||
Assault rifles | ||||||
IWI Tavor TAR-21 | Assault rifle | 5.56×45mm NATO | อิสราเอล | Standard infantry rifle. Replaced M16A1, 106,203 Tavors on order. Present 73,000+ Tavor/X95 in service [16][17] | ||
IWI X95 | Assault rifle | 5.56×45mm NATO | อิสราเอล | |||
IWI ACE | Assault rifle | 5.56×45mm NATO | อิสราเอล | |||
M16A1/A2/A4 | Assault rifle | 5.56×45mm NATO | สหรัฐ | Standard infantry rifle. Aging M16A1 will be replaced by IMI Tavor TAR-21 and M16A4. | ||
Heckler & Koch HK33 | Assault rifle | 5.56×45mm NATO | เยอรมนี ไทย |
Thai license produced version of the Heckler & Koch HK33. Used by Royal Thai Armed Forces and Army Reserve Force Students. | ||
Type 11 assault rifle | Assault rifle | 5.56×45mm NATO | ไทย | The Type 11 (ปลย.11) is a bullpup assault rifle of Thai origin, manufactured by the Ministry of National Defence. The weapon is a derivative of the Heckler & Koch HK33 assault rifle. | ||
Steyr AUG | Assault rifle | 5.56×45mm NATO | ออสเตรีย | Used by special forces. | ||
Heckler & Koch G36 | Assault rifle | 5.56×45mm NATO | เยอรมนี | Used by special forces. | ||
SAR 21 | Assault rifle | 5.56×45mm NATO | สิงคโปร์ | Used by special forces. | ||
AK-102 | Assault rifle | 5.56×45mm NATO | รัสเซีย | Used by volunteer force | ||
IWI Galil | Assault rifle | 5.56×45mm NATO | อิสราเอล | Used in small numbers. | ||
Type 56/56-1 | Assault rifle | 7.62×39mm | จีน | Used in small numbers.[ต้องการอ้างอิง] | ||
M4A1 Carbine | Carbine | 5.56×45mm NATO | สหรัฐ | Used by special forces, some equipped with SOPMOD kit. | ||
CAR-15 | Carbine | 5.56×45mm NATO | สหรัฐ | |||
Semi-automatic rifles | ||||||
M1 Garand | Semi-automatic rifle | .30-06 Springfield | สหรัฐ | Locally known as the Type 88 self-loading rifle (ปลยบ.88). Used by King's Guards and by Army Reserve Force Students as a non-firing training rifle. | ||
M1/M2 Carbine | Semi-automatic rifle | .30 Carbine | สหรัฐ | Locally known as the Type 87 carbine (ปสบ. 87). Used by Army Reserve Force Students as a non-firing training rifle. | ||
Sniper rifle and Marksman rifles | ||||||
SIG Sauer SSG 3000 | Sniper rifle | 7.62×51mm NATO | สวิตเซอร์แลนด์ | |||
SR-25 | Marksman rifle | 7.62×51mm NATO | สหรัฐ | |||
M14 rifle | Marksman rifle | 7.62×51mm NATO | สหรัฐ | |||
Machine guns | ||||||
FN MINIMI | Light machine gun | 5.56×45mm NATO | เบลเยียม | |||
IMI Negev | Light machine gun | 5.56×45mm NATO | อิสราเอล | Over 2,000 purchased. Delivery is ongoing.[18] | ||
Heckler & Koch HK21 | Light machine gun | 5.56×45mm NATO | เยอรมนี | |||
Type 56 LMG | Light machine gun | 7.62×39mm | จีน | Used in small numbers.[ต้องการอ้างอิง] | ||
FN MAG-58 | General purpose machine gun | 7.62×51mm NATO | เบลเยียม | |||
M60 | General purpose machine gun | 7.62×51mm NATO | สหรัฐ | |||
M2 Browning machine gun | Heavy machine gun | .50 BMG | สหรัฐ | Locally known as Type 93 machine gun (ปก.93). Use by infantry units and mobile vehicles and helicopters. | ||
Type 54 HMG | Heavy machine gun | 12.7×108mm | จีน | Mounted on Type 69 and small number of V-150. |
เครื่องยิงลูกระเบิด/จรวดต่อต้านรถถัง
ยานพาหนะ
รถกู้ซ่อม
รูปภาพ | ชื่อ | ประเภท | ประเทศต้นกำเนิด | รายละเอียด |
---|---|---|---|---|
M992 | Ammunition resupply vehicle | สหรัฐ | Used for resupplying the M109A5 howitzer. | |
FV105 Sultan | Armored command vehicle | สหราชอาณาจักร | ||
Bronco ATTC | Amphibious armoured vehicle | สิงคโปร์ | Troop carrier variant. Used by engineers. | |
Type 84 AVLB | Armoured vehicle-launched bridge | จีน | Based on the Type 69 MBT. 18 m long mobile bridge. | |
M881A1/A2 Hercules | Armored recovery vehicle | สหรัฐ | ||
Type 653 | Armored recovery vehicle | จีน | ||
FV106 Samson | Armored recovery vehicle | สหราชอาณาจักร | ||
M578 LRV | Armored recovery vehicle | สหรัฐ |
รถบรรทุก/ขนส่ง
รูปภาพ | ชื่อ | ประเภท | ประเทศต้นกำเนิด | รายละเอียด | ||
---|---|---|---|---|---|---|
รถขนส่ง | ||||||
M50,M51 Chaiprakarn | Military light utility vehicle | ไทย | ||||
TR MUV4 | Military light utility vehicle | ไทย | ||||
M151 | Military light utility vehicle | สหรัฐ | ||||
Mercedes-Benz G-Class | Military light utility vehicle | เยอรมนี | ||||
Ford Ranger | Light utility vehicle | สหรัฐ | ||||
Toyota HiLux Revo | Light utility vehicle | ญี่ปุ่น ไทย |
||||
รถบรรทุก | ||||||
M911 | Tractor unit | สหรัฐ | ||||
M813 | Truck | สหรัฐ | ||||
M35 2-1/2 ton cargo truck | Truck | สหรัฐ | ||||
Isuzu F-Series | Truck | ญี่ปุ่น ไทย |
||||
KrAZ-6322 | Truck | ยูเครน | ||||
LMTV | Truck | สหรัฐ | ||||
UNIMOG | Truck | เยอรมนี | ||||
Hino 700 | Truck | ญี่ปุ่น ไทย |
ปืนใหญ่
เครื่องยิงลูกจรวดหลายลำกล้อง,ปืนใหญ่,ปืนครก,ขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ
รูปภาพ | ชื่อ | ประเภท | ประเทศต้นกำเนิด | จำนวน | รายละเอียด | |
---|---|---|---|---|---|---|
เครื่องยิงลูกจรวดหลายลำกล้อง | ||||||
DTI-1G | 400 mm self-propelled multiple rocket launcher | ไทย จีน |
12 | The DTI-1G is a multiple rocket launcher of Thai origin. The weapon is a derivative of the WS-32. | ||
DTI-1 | 302 mm self-propelled multiple rocket launcher | ไทย จีน |
8 | The DTI-1 is a multiple rocket launcher of Thai origin. The weapon is a derivative of the WS-1B. | ||
Type 82 | 130 mm self-propelled multiple rocket launcher | จีน | 6 | Mounted on Type 85 hulls. The weapon will be replaced by DTI-2 | ||
SR4 | 122 mm self-propelled multiple rocket launcher | จีน | 4 | |||
ปืนใหญ่ | ||||||
CAESAR | 155 mm Self-propelled howitzer | ฝรั่งเศส | 6 | |||
ATMOS 2000 | 155 mm self-propelled howitzer | อิสราเอล ไทย |
18 | |||
M109A5 | 155 mm self-propelled howitzer | สหรัฐ | 20 | |||
GHN-45 | 155 mm towed howitzer | ออสเตรีย | 42 | |||
Soltam M-71 | 155 mm towed howitzer | อิสราเอล | 32 | Undergoing upgrade to self-propelled howitzer | ||
M198 | 155 mm towed howitzer | สหรัฐ | 116 | |||
M114 | 155 mm towed howitzer | สหรัฐ | 56 | In reserve. Replaced by M198 howitzer. | ||
Type 59-1 | 130 mm towed howitzer | จีน | Unknown | In reserve. | ||
L119 | 105 mm towed howitzer | สหราชอาณาจักร ไทย |
Unknown | Thai L119 light gun produced under license. | ||
GIAT LG1 | 105 mm towed howitzer | ฝรั่งเศส | Unknown | Mk l from Singapore Army. | ||
M56 | 105 mm towed howitzer | อิตาลี | Unknown | |||
M101A1 mod | 105 mm towed howitzer | สหรัฐ | 285 | 285 guns improve the Nexter LG1 calibre | ||
M102 | 105 mm towed howitzer | สหรัฐ | Unknown | In reserve. | ||
M618A2 | 105 mm towed howitzer | ไทย | Unknown | In reserve. | ||
M425 | 105 mm towed howitzer | ไทย | Unknown | In reserve. | ||
ปืนครก | ||||||
M29 mortar | 81 mm mortar | สหรัฐ | Unknown | |||
M1 mortar | 81 mm mortar | สหรัฐ | Unknown | |||
M2 mortar | 60 mm mortar | สหรัฐ | Unknown | |||
M19 mortar | 60 mm mortar | สหรัฐ | Unknown | |||
M121A1/A2 mortar | 60 mm mortar | ไทย | Unknown | |||
M121A3 commando mortar | 60 mm mortar | ไทย | Unknown | |||
ขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ | ||||||
SPADA | ขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ | อิตาลี | Unknown | |||
Starstreak | ขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ | สหราชอาณาจักร | Unknown | |||
VL MICA | ขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ | ฝรั่งเศส | Unknown |
ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน
รูปภาพ | ชื่อ | ประเภท | ประเทศต้นกำเนิด | รายละเอียด |
---|---|---|---|---|
M42 Duster | 40 mm self-propelled anti-aircraft gun | สหรัฐ | ||
M163 VADS | 20 mm self-propelled anti-aircraft gun | สหรัฐ | ||
Type 59 | 57 mm towed anti-aircraft gun | จีน | ||
Bofors L60/70 | 40 mm towed anti-aircraft gun | สวีเดน | ||
Oerlikon GDF | 35 mm twin cannon towed anti-aircraft gun | สวิตเซอร์แลนด์ | ||
M167 VADS | 20 mm towed anti-aircraft gun | สหรัฐ | ||
M45 Quadmount | 4 x M2HB machine guns | สหรัฐ | ||
M16 MGMC | 4 x M2HB machine guns | สหรัฐ |
ระบบเรดาร์
เรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศ, เรดาร์ตรวจการณ์ภาคพื้นดิน
รูปภาพ | ชื่อ | ประเภท | ประเทศต้นกำเนิด | รายละเอียด | ||
---|---|---|---|---|---|---|
เรดาร์ตรวจการณ์ทางอากาศ | ||||||
Siemens DR-172 ADV | Medium range air search radar | สหรัฐ | ||||
Lockheed Martins LAADS | Mobile Short range air search radar | สหรัฐ | ||||
Type 513 | Short range air search radar | จีน | ||||
เรดาร์ตรวจการณ์ภาคพื้นดิน | ||||||
AN/TPQ-36(V)11 | Counter-battery radar | สหรัฐ | ||||
BL-904A | Counter-battery radar | จีน |
อากาศยาน
ข่าวการจัดหาอาวุธของกองทัพบก
อาวุธประจำกาย
- ปืนเล็ก, ปืนกล, และจรวดแบบใหม่ - กองทัพบกจัดหาปืนเล็กยาว TAR-21 Tavor จากอิสราเอลจำนวน 15,000 กระบอก และปืนเล็กกล Negev จากอิสราเอลจำนวน 992 กระบอก มูลค่ารวม 43.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ [20]
ในวันที่ 9 ก.ย. 2551, คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้กองทัพบกจัดหาปืนเล็กยาว TAR-21 Tavor จากอิสราเอลจำนวน 15,037 กระบอก และปืนกลเบา Nagev จากอิสราเอลจำนวน 553 กระบอก ซึ่งเป็นการจัดหาในล็อตที่สอง นอกจากนี้ยังอนุมัติให้จัดหาจรวดต่อสู้อากาศยานแบบประทับบ่ารุ่น Igla จำนวน 36 หน่วยจากรัสเซียอีกด้วย[21] ทั้งนี้ ทบ.สั่งซื้อ TAR-21 Tavor ล็อตสามรวม 13,868 กระบอก[22] ในวันที่ 15 ก.ย. 52 ล็อตที่4 ในเดือนเดียวกัน 22 ก.ย. 52 อีก 14,264 กระบอก รวมทั้งหมด 58,206 กระบอก ทบมีความต้องการ ปลย. รุ้นใหม่เพื่อมาทดแทน M16A1 ที่ใช้งานมากว่า 40 ปี ทั้งหมด 106,205 กระบอก
ยุทธยานยนต์
- การจัดหารถเกราะล้อยางจากยูเครน - กองทัพบกประกาศจัดซื้อรถเกราะล้อยางซึ่งยังขาดแคลน โดยได้เลือกรถเกราะรุ่น BTR-3E1 จากประเทศยูเครนพร้อมอาวุธ จำนวน 96 คัน ในราคา 4,000 ล้านบาท [23] แต่เกิดข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับความโปร่งใสของกระบวนการการจัดหา จนรัฐมนตรีกลาโหมต้องประกาศพักโครงการและรอรัฐบาลใหม่เข้ามาสานต่อ [24] จนในที่สุดนายสมัคร สุนทรเวชก็ลงนามอนุมัติการจัดหา ซื้อกองทัพบกจะได้รับมอบในปี 2552 แต่เนื่องจากมีปัญหาด้านการจัดหาเครื่องยนต์ ทำให้การจัดส่งล่าช้าและจะได้รับรับในปี 2553 [25]
- รถบรรทุก KrAZ-6322 - KrAZ-6322 รถบรรทุกทางทหาร ขนาด 10 ตัน ตามสัญญาการจัดหารถ KrAZ-6322 ชุดใหญ่ ของกองทัพบกไทย ที่ได้มีการลงนามสั่งซื้อจากทางการยูเครน ได้เดินทางมาถึงประเทศไทยแล้วเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2556
จรวดพื้นสู่อากาศ (SAM)
จีนเสนอจรวดพื้นสู่อากาศแบบระยะไกล (SAM) - ในงานDefense & Security 2013 จีนคุยกับบริษัทคู่ค้าในไทยเพื่อเสนอจรวดHQ-9ให้กองทัพไทยพิจารณาอีกที และแหล่งข่าวอีกอัน จีนเสนอจรวดและรถเกราะให้กับไทย/กรุงเทพมหานคร – สองบริษัทจากจีนเสนอระบบจรวดและรถเกราะให้กับประเทศไทย โดยนำโมเดลมาจัดแสดงในงาน Defense and Security 2013 โดยบริษัท Poly Technologies เสนอรถเกราะ CS-VP3 ซึ่งเป็นรถเกราะป้องกันกับระเบิด โดยถ้ากองทัพไทยเลือกรถเกราะ CS-VP3 ก็พร้อมที่จะทำการถ่ายทอดเทคโนโลยีและทำการผลิตในประเทศไทย นอกจากนั้นบริษัท China National Precision Machinery Import & Export Corporation หรือ CPMIEC ยังได้เสนอระบบจรวดต่อสู้อากาศยาน HQ-9 หรือรุ่น FD-2000 ซึ่งเป็นรุ่นส่งออก โดยระบบนี้ได้ถูกเลือกโดยกองทัพตุรกีเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการป้องกันภัยทางอากาศของตุรกี โดย CPMIEC พร้อมที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีและเปิดสายการผลิตจรวดในประเทศไทยด้วยเช่นกัน/'s
- จรวดพื้นต่อสู้อากาศแบบระยะปานกลาง ซึ่งก๊อปมาจาก 9K22 Tunguska จากรัสเซีย แต่แตกต่างตรงที่ปล่อยจรวดเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม(แต่ของรัสเซียที่ปล่อยจรวดเป็นทรงกระบอก) จีนเสนอให้กับกองทัพบกไทยแต่ไม่ได้รับความสนใจจัดหา
อากาศยานทหารบก
- เครื่องบินลำเลียงบุคคลสำคัญและส่งกลับสายการแพทย์ - กองทัพบกและกองทัพเรือร่วมกันลงนามในสัญญาจัดหาเครื่องบินแบบ ERJ-135 จากบริษัท Embraer ประเทศบราซิล จำนวน 2 ลำ เหล่าทัพละ 1 ลำ โดยกองทัพบกและกองทัพเรือจะนำไปใช้ในในสนับสนุนการเดินทางของผู้บัญชาการและบุคคลสำคัญ สำหรับเครื่องของกองทัพเรือยังเพิ่มความสามารถในการขนส่งผู้บาดเจ็บจากการสู้รบ MEDEVAC ได้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนภารกิจของทหารเรือในสามจังหวัดชายแดนใต้ [26]
วันที่ 12 มกราคม 2552 กองทัพบกได้ลงนามจัดหาเครื่องบินแบบ ERJ-135 เพิ่มเติมอีก 1 ลำเพื่อใช้ในการสนับสนุนการเดินทางของผู้บัญชาการและบุคคลสำคัญ รวมถึงขนส่งผู้บาดเจ็บจากการสู้รบ (MEDEVAC) [27]
- การจัดหาเฮลิคอปแบล็คฮอก - ในวันที่ 6 สิงหาคม สำนักงานความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงของสหรัฐได้รายงานต่อสภาคองเกรสว่ากองทัพบกไทยได้จัดหา UH-60L Black Hawk เพิ่มเติมอีก 3 ลำ[28]
การพัฒนาในอนาคต
- รถเกราะ
- Tiger I armored car - รถเกราะ โดย พรรษวุฒิ
- Black Widow Spider - รถเกราะ 8x8 โดย สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศและบริษัทปรีชาถาวรอุตสาหกรรม
- First Win-E - รถเกราะ โดย บริษัท ชัยเสรี เมทอล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด
- อาวุธประจำกาย
- ปืนใหญ่
- DTI-1G – ระบบจรวดหลายลำกล้อง ขนาด 400 มม. ซึ่งจะคล้ายๆต้นแบบจรวดเว่ยซื่อ 32 โดยสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ซึ่งต่อยอดจาก DTI-1 โดยเพิ่มระบบนำวิถีเพื่อให้เกิดความแม่นยำสูง คาดว่าจะเสร็จกลางปี พ.ศ. 2557 (2014)
- DTI-2 – ระบบจรวจหลายลำกล้อง ขนาด 122 มม. โดย สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ซึ่งจะทำคล้ายๆ BM-21ของรัสเซีย
- วิจัยปืนใหญ่อัตตาจร ขนาด 155 มม. โดย สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ
- ระบบจรวด
- วิจัยระบบจรวดต่อต้านรถถัง โดย สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ
- อากาศยาน
- UAV RD01 - อากาศยานไร้คนขับ โดย สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ
ยุทโธปกรณ์ที่กำลังพัฒนา
Name | Origin | Type | Notes |
---|---|---|---|
DTI-1 | ไทย | Multiple Launch Rocket Systems |จรวดหลายลำกล้องรุ่นแรกที่พัฒนาโดย DTI ลอกแบบมาจาก WS-1B ของจีน| | |
DTI-1G | ไทย | Multiple Launch Rocket Systems | จรวดหลายลำกล้องรุ่นที่สอง โดย DTI พัฒนาระบบนำวิถีเพื่อเพิ่มความแม่นยำด้วยดาวเทียม | | |
UAV RD01 | ไทย | Unmanned aerial vehicle |
ยุทโธปกรณ์ที่ปลดประจำการแล้ว
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- ↑ 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 http://thaiheritage.net/nation/military/military1/index01.htm
- ↑ 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 2.11 2.12 2.13 https://dopns.mi.th/Document/history/BOOK-Army_history_study_doc.pdf
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 http://thaiheritage.net/nation/military/military1/index02.htm
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 http://thaiheritage.net/nation/military/military1/index03.htm
- ↑ http://thaiheritage.net/nation/military/military1/index04.htm
- ↑ 6.0 6.1 http://thaiheritage.net/nation/military/military1/index05.htm
- ↑ http://thaiheritage.net/nation/military/military1/index06.htm
- ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 8.4 8.5 http://thaiheritage.net/nation/military/military1/index07.htm
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 9.5 9.6 http://thaiheritage.net/nation/military/military1/index08.htm
- ↑ 10.0 10.1 http://www.politicalbase.in.th/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_1_%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C
- ↑ 11.0 11.1 http://www.vajiravudh.ac.th/OVtoVC/OVtoVC_71.htm
- ↑ 12.0 12.1 http://thaiheritage.net/king/rama6/rama6_defence.htm
- ↑ http://www.manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9570000058853
- ↑ 14.0 14.1 กรมยุทธศึกษาทหารบก, คู่มือนายทหารสัญญาบัตร ประจำปี 2551, สำนักพิมพ์ หจก.อรุณการพิมพ์, 2551, หน้า 484
- ↑ "HS Produkt" (PDF). Hrvatski vojnik (ภาษาCroatian) (337/338): 20. 28 มีนาคม 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 7 ตุลาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 11 พฤษภาคม 2013.
{{cite journal}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help)CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - ↑ Patrick Winn (12 September 2009). "Thailand Plans $191.3M Arms Purchase".[ลิงก์เสีย]
- ↑ "Cabinet nod for buying Israeli rfiles". Bangkok Post. 15 September 2009.
- ↑ [1] เก็บถาวร 2 มีนาคม 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ 19.0 19.1 "SIPRI Trade Register". Stockholm International Peace Research Institute.
- ↑ Defensenews.com Thai Cabinet Approves Defense Equipment Buys
- ↑ DefenseNews.com Thailand Plans $191.3M Arms Purchase
- ↑ Thairath กห.ชงครม. ซื้อปืนยิว พันล้านให้ทบ.
- ↑ Ukrainian Observer Online Ukraine Snags Large Armored Personnel Carrier Deal in Thailand
- ↑ The Nation Army required to clear doubt of auditor-general over APCs purchase first: Boonrawd
- ↑ Skyman Blogทบ. ลงนามจัดหา BTR-3E1 จากยูเครน: ข้อวิจารณ์และบทเรียนสำคัญต่อกองทัพไทย
- ↑ Embraer Press Release Embraer sign contracts with the Royal Thai Army and the Royal Thai Navy
- ↑ Flight International Thailand buys third ERJ-135
- ↑ DSCAUH-60L Black Hawk Helicopter