โดมความร้อน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โดมความร้อนเหนือสหรัฐอเมริกา ความกดอากาศ "สูง" (H) ที่กดทับมวลอากาศร้อนลงสู่ด้านล่าง (คลื่นความร้อน) ประกอบกับกระแสลมกรดที่พัดโอบล้อมไม่ให้กระแสอากาศอื่นเข้ามาได้ (โอเมก้าบล็อก)

โดมความร้อน หรือ ปรากฏการณ์โดมความร้อน (อังกฤษ: heat dome หรือ heat dome phenomena) เป็นปรากฏการณ์ทางภูมิอากาศในบริเวณหนึ่งซึ่งกำลังประสบกับความร้อนที่อบอ้าว และมีความกดอากาศสูงในระบบบรรยากาศดันลมร้อนลงมาด้านล่าง กักเก็บอากาศร้อนนี้ไว้ราวกับอยู่ในฟองอากาศหรือถูกปิดทับด้วยฝาครอบขนาดมหึมา โดยทั่วไปโดมความร้อนเกิดขึ้นเมื่อบรรยากาศบริเวณหนี่งถูกทำให้ไม่ไหลเวียนตามปกติ โดยเฉพาะที่เกิดจากการเปลี่ยนทิศทางขนาดใหญ่ของกระแสลมกรด (กระแสเจ็ตสตรีม) ไปทางขั้วโลก และการไหลคดงอเป็นคลื่นกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนกระแสลมกรดโอบล้อมเกือบเป็นวงรอบ สร้างความกดอากาศสูงภายในและทำให้มวลอากาศร้อนเดิมในบริเวณ "ติด" อยู่กับที่ก่อตัวเป็นโดมความร้อน[1]

โดมความร้อนยังอาจเชื่อมโยงกับภาวะโลกร้อน[2][3] โดมความร้อนต่างจากปรากฏการณ์เกาะความร้อนซึ่งเป็นภูมิอากาศจุลภาคที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงพื้นผิวของแผ่นดิน (การเปลี่ยนแปลงทางภูมิประเทศและการพัฒนาเมือง)

การก่อตัว

โดมความร้อนของคลื่นความร้อนในอเมริกาเหนือตะวันตกปี ค.ศ. 2021 เหนือผืนโลกบริเวณแคนาดาตะวันตกและสหรัฐอเมริกาตะวันตกเฉียงเหนือ ความกดอากาศ "สูง" (high - H) คือโดมความร้อน

ในสภาวะอากาศที่แห้งแล้งในฤดูร้อน มวลของอากาศร้อนจะก่อตัวขึ้น ความกดอากาศสูงจากชั้นบรรยากาศของโลกกดให้มวลอากาศร้อนลดระดับต่ำลง อากาศเมื่อถูกบีบอัดจะยิ่งร้อนขึ้น และแม้ว่าอากาศร้อนพยายามลอยตัวขึ้น (ตามภาวะปกติ) แต่ในกรณีนี้ความกดอากาศสูงที่อยู่เหนือมวลอากาศร้อนจะกดดันให้มวลอากาศเหล่านี้ลงสู่ด้านล่าง ทำให้อุณหภูมิร้อนขึ้นและหนาแน่นขึ้นอีก ความกดอากาศสูงทำหน้าที่เป็นเสมือนโดม (ฝาครอบ) ทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ด้านล่างร้อนขึ้นเรื่อย ๆ[1]

โดยทั่วไปความกดอากาศสูงจากชั้นบรรยากาศที่ก่อให้เกิดโดมความร้อน เกิดขี้นจากการที่กระแสลมบริเวณหนี่งไม่ไหลเวียนตามปกติ (บล็อก) โดยเฉพาะที่เกิดจากการเปลี่ยนทิศทางขนาดใหญ่ของกระแสลมกรด (กระแสเจ็ตสตรีม; jet stream) ไปทางขั้วโลก (poleward shift) ซึ่งมีแนวโน้มที่จะก่อตัวขึ้นในช่วงปีลานีญา การเปลี่ยนทิศทางของการไหลของกระแสลมกรดให้คดงอ บิดเบี้ยวเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนกระแสลมกรดพัดเกือบเป็นวงรอบ กักมวลอากาศไว้ แนวกระแสลมกรดโอบล้อมไว้สร้างความกดอากาศสูงภายในและทำให้มวลอากาศร้อนเดิมในบริเวณ (ส่วนมากคือ มวลอากาศร้อนจากมหาสมุทร และฤดูร้อนตามปกติ) ติดอยู่กับที่ก่อตัวเป็นโดมความร้อน[1]

บล็อก

การคงสภาพอากาศอยู่ในบริเวณเดิมนานหลายวัน หรือแม้แต่หลายสัปดาห์ และกีดกันระบบสภาพอากาศอื่น ๆ ไม่ให้เคลื่อนผ่านบริเวณนี้ (กระแสอากาศที่เคลื่อนมาบริเวณนี้ต้องไหลอ้อมไปทางอื่น) จึงเรียกสภาวะอากาศเช่นนี้ว่า "บล็อก" (block) กระแสลมกรดที่ไหลคดงอมีรูปร่างคล้ายตัวอักษรกรีก Ω (Omega) จึงถูกเรียกว่า โอเมก้าบล็อก (Omega block)

คลื่นความร้อน

โดยปกติที่อากาศที่ร้อนจะลอยตัวสูงหรือถูกพัดไปบริเวณอื่นด้วยกระแสลม แต่ที่บริเวณใจกลางของโอเมก้าบล็อกมีความกดอากาศสูงจากการปิดล้อม ซึ่งทำให้อากาศระดับสูงกดอัดอากาศที่อยู่ต่ำกว่าลงไป มวลอากาศร้อนที่ถูกดลงไปทำให้อากาศใกล้ผิวพื้นร้อนขึ้น สิ่งมีชีวิตที่อยู่บนพื้นจะรับรู้ความร้อนนี้และเรียกว่า “คลื่นความร้อน”

ผลกระทบ

คลื่นความร้อนภายในโดมความร้อนมีผลกระทบด้านสุขภาพโดยตรงและโดยอ้อม อุณหภูมิที่สูงจะเพิ่มโความเสี่ยงให้ร่างกายอ่อนเพลียจากความร้อนและเป็นลมแดด อาจทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น อาจทำให้ยาบางชนิดมีประสิทธิภาพน้อยลง และอาจทำให้สภาพทางระบบประสาทแย่ลง เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง[3] ภาวะมลพิษทางอากาศยังเลวร้ายลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งเพิ่มอัตราการเกิดก๊าซอันตราย เช่นโอโซน สารมลพิษทางอากาศทำให้ปัญหาหัวใจและปอดรุนแรงขึ้น[3] รวมทั้งอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในตอนกลางคืนอาจทำให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่มีโดมความร้อนเกิดความเครียดจากความร้อนสะสมที่สูงขึ้น ก่อความเสี่ยงต่อปัญหาต่าง ๆ เช่น การขาดน้ำและรบกวนการนอนหลับ ซึ่งอาจทำให้ความเหนื่อยล้าและความเครียดจากอุณหภูมิสูงขึ้น[3]

โดมความร้อนดักคลื่นความร้อนในภูมิภาค ส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมากที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศในบ้าน ให้ไปยังที่พักพิงฉุกเฉินเพื่อความปลอดภัยจากความร้อนจัด (ซึ่งอาจถึงตายได้)[4]

ในปี ค.ศ.2003 โดมความร้อนที่เกิดจากสภาวะคลื่นความร้อนที่เกิดเป็นเวลานาน ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึงกว่า 70,000 คน และเกิดภาวะภัยแล้งที่ยาวนานมีผลกระทบกับพืชบางชนิดที่ต้องอาศัยช่วงอากาศเย็นมีผลผลิตลดลง เช่น ข้าวสาลี[5]

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2021 คิงเคาน์ตี้ของรัฐวอชิงตัน ซึ่งรวมถึงซีแอตเทิล ได้เผยแพร่แผนที่ความร้อน แสดงให้เห็นว่าย่านที่พักอาศัยซึ่งหนาแน่นกว่าและมีต้นไม้ปกคลุมน้อยกว่า ประสบกับผลกระทบที่เป็นอันตรายจากความร้อนที่รุนแรงกว่าย่านที่พักอาศัยที่โปร่งโล่ง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (รวมถึงภาวะโลกร้อน) ทำให้คลื่นความร้อนสูงมีแนวโน้มมากขึ้นในอนาคต เมืองที่เสี่ยงต่อสุขภาพของประชากรจากผังเมือง การดูแลสิ่งแวดล้อม (เช่นการจัดการสวนและจำนวนต้นไม้ การจัดการไฟป่า) อาจต้องเผชิญกับอันตราย[4]

ตัวอย่างปรากฏการณ์

ตามลำดับเวลา

  • คลื่นความร้อนในอเมริกาเหนือ ค.ศ. 2012
  • คลื่นความร้อนในอเมริกาเหนือ ค.ศ. 2018
  • คลื่นความร้อนในยุโรป ค.ศ. 2018 ในสเปนและโปรตุเกสทำสถิติอุณหภูมิสูงสุด คือ 47.3 และ 47.4 องศาเซลเซียสตามลำดับ เกิดภัยแล้งอย่างหนักในออสเตรียแถบตอนเหนือและแถบตะวันตก สวีเดนเกิดไฟป่ากว่า 50 แห่ง[5]
  • รัสเซียคลื่นความร้อน ค.ศ. 2021
  • ไฟป่าบริติชโคลัมเบีย ค.ศ. 2021
  • คลื่นความร้อนอเมริกาตะวันตกเฉียงเหนือ ค.ศ. 2021 คลื่นความร้อนสูงที่ทำลายสถิติในพอร์ตแลนด์และซีแอตเทิล ทำให้อุณหภูมิในทั้งสองเมืองสูงขึ้นกว่า 100 องศาฟาเรนไฮต์ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ซึ่งก่อนหน้าในเดือนมิถุนายนโดมความร้อนสร้างสภาพอากาศที่ร้อนจัดในสหรัฐอเมริกาตะวันตกเฉียงใต้ ทำลายสถิติอุณหภูมิ อุณหภูมิสูงสุดที่ 123 องศาฟาเรนไฮต์ ในปาล์มสปริงส์ และลาสเวกัสทำสถิติสูงสุดที่ 114 องศาฟาเรนไฮต์[4]

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 1.2 "What is a heat dome?". National Oceanic and Atmospheric Administration. June 30, 2021.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  2. Rosenthal, Zachary (July 1, 2021). "Extreme heat". AccuWeather.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 Irfan, Umair (2021-06-23). "The surprisingly subtle recipe making heat waves worse". Vox (ภาษาอังกฤษ).
  4. 4.0 4.1 4.2 "What is a heat dome? Pacific Northwest swelters in record temperatures". Environment (ภาษาอังกฤษ). 2021-06-29.
  5. 5.0 5.1 ธนบุญสมบัติ, บัญชา (2018-08-11). "Cloud Lovers : Omega Block คือต้นเหตุ 'คลื่นความร้อน'ที่ยุโรป : โดย บัญชา ธนบุญสมบัติ". มติชนออนไลน์.