หยางเหมย์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หยางเหมย์
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Plantae
ไม่ได้จัดลำดับ: Angiosperms
ไม่ได้จัดลำดับ: Eudicots
ไม่ได้จัดลำดับ: Rosids
อันดับ: Fagales
วงศ์: Myricaceae
สกุล: Myrica
สปีชีส์: M.  rubra
ชื่อทวินาม
Myrica rubra
ชื่อพ้อง[1]
รายการ
  • 'Morella rubra Lour.
  • Morella rubra f. alba (Makino) Yonek.
  • Myrica rubra var. alba Makino
ภาพประกอบพฤกษศาสตร์ของ หยางเหมย (Myrica rubra)
ผล หยางเหมย (Myrica rubra)

หยางเหมย หรือ เอี่ยบ๊วย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Myrica rubra) (จีนตัวย่อ: 杨梅; จีนตัวเต็ม: 楊梅; พินอิน: 'yángméi; อังกฤษ: Yangmei) ชื่ออื่น: เบย์เบอร์รี่จีน (Chinese bayberry), เบย์เบอร์รี่แดง (red bayberry), ยัมเบอร์รี่ (yumberry), แว๊กซ์เบอร์รี่ (waxberry) หรือ สตรอเบอร์รี่จีน (Chinese strawberry ซึ่งมักสับสนกับ strawbeery tree (Arbutus unedo) ที่เป็นผลไม้ในแถบเมดิเตอเรเนียน) หยางเหมยเป็นไม้ยืนต้นในเขตอบอุ่นกึ่งร้อน มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน จึงเรียกกันตามชื่อภาษาจีน ปัจจุบันเพาะปลูกเพื่อเป็นไม้ผล ผลหยางเหมยมีสีแดงเข้ม ฉ่ำน้ำ มีรสหวานและเปรี้ยว ใช้รับประทานสด สำหรับคั้นเป็นน้ำผลไม้ ทำผลไม้แห้ง หรือ หมักเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณทางยา และใช้สกัดทำสีย้อมสีเหลือง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

หยางเหมย (Myrica rubra) เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ขนาดกลาง แตกกิ่งก้านเป็นพุ่ม เรือนยอดกลม มีความสูงได้ถึง 10–20 เมตร (33–66 ฟุต) ลำต้นที่อายุมากมีเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 60 ซม เปลือกสีเทาผิวเรียบและทรงพุ่มกลมถึงครึ่งวงกลม เป็นพืชที่มี 2 เพศแยกกันคนละต้น

ราก เป็นระบบรากแก้วแต่ไม่ชัดเจน รากลึก 5 - 60 ซม. ลักษณะกลม มีรากแขนงและรากฝอยเล็กๆ ออกตามแนวราบ สีน้ำตาล [2]

ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับเป็นช่อ เหนียว ไม่มีขน รูปไข่ทรงยาวรีถึงรูปใบหอกกว้าง โคนใบสอบเข้า และปลายใบมนหรืออาจมีปลายแหลม ขอบใบหยัก (serrate) หรือหยักเฉพาะส่วนปลายใบ ยาว 5–14 เซนติเมตร (2.0–5.5 นิ้ว) และกว้าง 1–4 เซนติเมตร (0.39–1.57 นิ้ว) มีก้านใบและใบย่อย ก้านใบยาว 2–10 มิลลิเมตร (0.079–0.394 นิ้ว) ผิวใบด้านล่างมีสีเขียวซีดและมีจุดสีเหลืองประปราย ผิวใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้ม [3]

ดอก แยกเพศ (dioecious) ช่อดอกตัวผู้เรียบง่าย แยกกันเป็นกลุ่มไม่เกะกะ หรือเป็นกลุ่มช่อดอกสองสามช่อในซอกใบ ช่อดอกยาว 1 - 3 ซม. (0.39 1.18 นิ้ว) ก้านช่อดอกเปลือยกาบเกือบเป็นวงกลมมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 มิลลิเมตร และมีต่อมสีทองอยู่ด้านล่าง ดอกตัวผู้มีใบรูปใบหอกประปรายรูปไข่สองถึงสี่ใบ แต่ละดอกมีเกสรตัวผู้ 4 - 6 เส้น มีอับเรณูรูปไข่สีแดงเข้ม ช่อดอกตัวเมียเป็นดอกเดี่ยวมีฐานรองดอกแหลมยาว 0.5–1.5 เซนติเมตร (0.20–0.59 นิ้ว) ช่อดอกออกที่ซอกใบ ก้านดอก (rhachis) มีขนและตุ่ม กลีบดอกทับซ้อนกันไม่มีขน มีสี่กลีบ รังไข่ด้านบนมีขนนุ่มปลายเป็นสองแฉก ทรงเรียว สีแดงสด ออกดอกตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน (ในประเทศจีน)

ผล เป็นผลเดี่ยว ทรงกลม โดยทั่วไปมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5–2.5 เซนติเมตร (0.59–0.98 นิ้ว) และมากที่สุดไม่เกิน 3 เซนติเมตร ก้านผลสั้น พื้นผิวเป็นปุ่มปม เมื่อผ่าครึ่งเนื้อผลเป็นลักษณะคล้ายเสี้ยนอัดรวมกัน ผลดิบสีเขียว ผลสุกผิวหนาสีแดงเลือดหมู หรือสีแสดแดง แต่อาจพบความหลากหลายของสีได้ตั้งแต่สีขาวไปจนถึงสีม่วงดำ โดยมีสีเนื้อนอกในใกล้เคียงกันทั้งลูก สีเนื้อข้างในอาจอ่อนกว่า ผลจากต้นเดียวกันอาจมีสีต่างกันขึ้นอยู่ความสุกและปริมาณน้ำตาลในแต่ละลูก ผลที่แก่กว่าจะมีสีเข้ม เนื้อนุ่มฉ่ำน้ำ กลิ่นหอมหวานและเปรี้ยวมาก เมล็ดเดี่ยว แข็ง สีน้ำตาล มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณครึ่งหนึ่งของผล ออกผลตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน

อนุกรมวิธาน

หยางเหมย ‘’(Myrica rubra) ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย João de Loureiro ใน Flora Cochinchinensis ในปี 1790 ในชื่อ (basionym) Morella rubra [4] ต่อมาถูกย้ายไปยังสกุล Myrica ในชื่อ Myrica rubra (Lour.) Siebold & Zucc (Lour.) Siebold & Zucc . โดย Philipp Franz von Siebold และ Joseph Gerhard von Zuccarini ในบทความของ Bavarian Academy of Sciences หยางเหมย หรือ จีน: 杨梅 (จีน: 楊梅; พินอิน: 'yángméiกวางตุ้ง: yeung4 mui4; เซี่ยงไฮ้: [jɑ̃.mɛ]) ชื่ออื่น: เอี่ยบ๊วย (ภาษาจีนแต้จิ๋ว), เบย์เบอร์รี่จีน (Chinese bayberry), เบย์เบอร์รี่ญี่ปุ่น (Japanese bayberry), เบย์เบอร์รี่แดง (red bayberry), ยัมเบอร์รี่ (yumberry), แว๊กซ์เบอร์รี่ (waxberry), สตรอเบอร์รี่จีน (Chinese strawberry) หรือ ยามาโมโนะ (yamamomo) (Japanese: ヤマモモ - พีชภูเขา)

ในการศึกษาเชื้อพันธุ์พืช พบว่ามีหยางเหมย (M. rubra) ความแตกต่างอย่างชัดเจนจากต้นแวกซ์ไมร์เทิล และยังสามารถแบ่งย่อยได้เป็นสองกลุ่มตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ใน ประเทศจีน ซึ่งความหนาแน่นของจำนวนพันธุ์ที่แตกต่างกันไปตามภูมิภาคบ่งชี้ถึงการผสม ยีน ขยายเพาะพันธุ์ ยีน อย่างกว้างขวาง ในประเทศจีนเพียงแห่งเดียวมีเกือบ 100 สายพันธุ์ มณฑลเจ้อเจียง เป็นศูนย์กลางความหลากหลายของหยางเหมยในประเทศจีน

จำนวนโครโมโซมคือ 2n = 16 [5]

การแพร่กระจายและถิ่นกำเนิด

มีถิ่นกำเนิดใน เอเชียตะวันออก ในทางใต้ของแม่น้ำแยงซีของ จีน ได้แก่ มณฑล ฝูเจี้ยน กวางตุ้ง กวางสี กุ้ยโจว ไห่ หนานหูหนาน เจียงซู เจียงซี เสฉวน ยูนนาน และ เจ้อเจียง รวมทั้งญี่ปุ่น เกาหลี และฟิลิปปินส์ในป่าตรงจุดที่มีความลาดชันของเนินเขาและหุบเขา ที่ระดับความสูง 100–1,500 เมตร (330–4,920 ฟุต) [3] เมล็ดพันธุ์อาจถูกกระจายตามธรรมชาติโดย ลิงแสมญี่ปุ่น และ ลิงกังยากุชิมะ

หยางเหมยเติบโตได้ดีในดินร่วนน้ำไม่ขัง พื้นที่ที่มีอากาศเย็น ทนต่อสภาพดินเลวที่เป็นกรด

การเพาะปลูก

จาน M. rubra จากสวนอเมริกัน 2416
M. rubra เติบโตในฟรีมอนต์แคลิฟอร์เนีย

การเพาะปลูกของจีนกระจุกตัวอยู่ทางตอนใต้ของ แม่น้ำแยงซี ภูมิภาคที่ซึ่งหยางเหมยเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญ และมีประวัติย้อนไปได้อย่างน้อย 2,000 ปี

ในประเทศไทย มีปลูกกันมากในภาคเหนือ [6]

หยางเหมย (M. rubra) ถูกแนะนำเป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา โดย Frank Nicholas Meyer จากเมล็ดพันธุ์ที่ซื้อจาก Yokohama Nursery Co. ในญี่ปุ่น และได้รับการตีพิมพ์ใน Bulletin of Foreign Plant Introduction ในปี พ.ศ. 2461 พืชจากการนำเข้าครั้งนี้ปลูกและออกผลใน ชิโก แคลิฟอร์เนีย และใน บรุกส์วิลล์ ฟลอริดา โดย เดวิด แฟร์ไชลด์ ปัจจุบัน หยางเหมยกำลังได้รับการทำการตลาดในแคลิฟอร์เนียโดยบริษัท Calmei [7] [8] หยางเหมยเป็นไม้ผลที่ให้ผลผลิตสูงโดยหนึ่งต้นให้ผลผลิตประมาณ 100 กิโลกรัม (220 ปอนด์) ของน้ำหนักผลไม้ ในปี 2550 มี พื้นที่ 865,000 เอเคอร์ สำหรับการผลิตหยางเหมยใน ประเทศจีน ซึ่งเป็นสองเท่าของพื้นที่ที่ใช้ในการปลูก แอปเปิ้ล ใน สหรัฐอเมริกา

การใช้ประโยชน์

หยางเหมยถูกใช้เป็น ไม้ประดับ ตามสวนสาธารณะและถนน และยังเป็นไม้ประดับที่ใช้ในการแต่งสวนจีนแบบดั้งเดิม

ผลิตภัณฑ์

บางพันธุ์มีผลขนาดใหญ่ถึง 4 เซนติเมตร (1.6 นิ้ว) ซึ่งได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ นอกจากการบริโภคสดแล้วผลไม้ยังสามารถตากแห้งบรรจุกระป๋อง ดองในเหล้าขาวจีน (白酒 - ไป๋จิ่ว) หรือหมักเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น ไวน์ เบียร์ หรือ ค็อกเทล ยังสามารถดองเกลือตากแห้งในลักษณะแบบเดียวกับ บ๊วยเค็ม และในสหภาพยุโรปเครื่องดื่มคั้นน้ำจากผลหยางเหมยได้รับการจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ภายใต้ชื่อแบรนด์ "Yumberry" ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน แบ่งหยางเหมยเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทเปรี้ยวใช้ทำผลไม้แห้งและประเภทหวานใช้สำหรับคั้นน้ำและรับประทานสด

การใช้ประโยชน์อื่น ๆ ได้แก่

การใช้บำบัดโรค

โดยทั่วไปเป็นยาสมานแผลขับลม เปลือกลำต้นใช้เป็นยาล้างพิษจากสารหนูโรคผิวหนังบาดแผลและแผลพุพอง ผลใช้เป็นยาขับลมหน้าอกและยาแก้ท้องอืด เมล็ดใช้ในการรักษาเหงื่อออกง่ายที่เท้า

ความสำคัญทางวัฒนธรรม

หลักฐานทางโบราณคดีและลายลักษณ์อักษรบ่งชี้ว่าการเพาะปลูกหยางเหมยเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศจีนเมื่อ 2,000 ปีก่อนในช่วง ราชวงศ์ฮั่น หยางเหมยได้รับการกล่าวถึงใน วรรณกรรมจีน รวมทั้งบทกวีของ Li Bai [9]

ในญี่ปุ่นเป็นดอกไม้ประจำจังหวัด Kōchi และต้นไม้ประจำจังหวัด Tokushima ชื่อของพืชปรากฏในบทกวีเก่าของญี่ปุ่นหลายเล่ม

อ้างอิง

  1. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ WCSP
  2. [1]
  3. 3.0 3.1 "Myrica rubra in Flora of China @ efloras.org". eFloras.org Home. 2000-06-09. สืบค้นเมื่อ 2020-07-30.
  4. Loureiro, João de; Lisboa., Academia das Ciências de. "Flora cochinchinensis". Biodiversity Heritage Library. สืบค้นเมื่อ 2020-07-30.
  5. "Name - Myrica rubra (Lour.) Siebold & Zucc". Tropicos. 2020-07-30. สืบค้นเมื่อ 2020-07-30.
  6. [2]
  7. "Calmei". Calmei.
  8. "Yum's the word". California Bountiful. 2012-03-27. สืบค้นเมื่อ 2020-07-30.
  9. Wende, Meng Meng. "Ancient and Modern Yangmei Poems". Douban. สืบค้นเมื่อ 14 September 2018.