ข้ามไปเนื้อหา

พายุเฮอริเคนคามิลล์ (พ.ศ. 2512)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พายุเฮอริเคนคามิลล์
ไฟล์:Hurricane Camille 1969-08-16 2340Z (Infrared Version and colorized).png
พายุเฮอริเคนคามิลล์ขณะมีกำลังแรงสูงสุด
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2512
ประวัติทางอุตุนิยมวิทยา
ก่อตัว14 สิงหาคม พ.ศ. 2512
สลายตัว22 สิงหาคม พ.ศ. 2512
พายุเฮอริเคนรุนแรงระดับ 5
1-นาที ของเฉลี่ยลม (SSHWS/NWS)
ความเร็วลมสูงสุด180 ไมล์/ชม. (285 กม./ชม.)
ความกดอากาศต่ำสุด900 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล)
; 26.58 นิ้วปรอท
ผลกระทบ
ผู้เสียชีวิต267 ราย
ความเสียหาย$1.42 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
(ค่าเงินปี พ.ศ. 2512 USD)
พื้นที่ได้รับผลกระทบคิวบา, คาบสมุทรยูกาตัน,
คาบสมุทรยูกาตัน, สหรัฐ,
ชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐ
IBTrACS

ส่วนหนึ่งของ ฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติก
พ.ศ. 2512

พายุเฮอริเคนคามิลล์ (อักษรโรมัน: Camille)[nb 1] เป็นพายุหมุนเขตร้อนที่มีความรุนแรงที่สุดในบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือในช่วงปี พ.ศ. 2512 และเป็นหนึ่งในพายุที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมหาสมุทรแอตแลนติก[1] โดยนับเป็นหนึ่งในสี่พายุเฮอริเคนรุนแรงระดับ 5 ที่เคยเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งสหรัฐ พายุเฮอริเคนคามิลล์เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งทางตอนใต้ของรัฐมิสซิสซิปปีในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2512 และเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนลูกที่ 16, พายุโซนร้อนลูกที่ 3 และพายุเฮอริเคนลูกที่ 2 ในฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติก พ.ศ. 2512 ก่อตัวขึ้นจากหย่อมความกดอากาศต่ำเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2512 โดยมีจุดกำเนิดจากคลื่นกระแสลมร้อนเขตร้อนที่เคลื่อนตัวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก และทวีกำลังแรงขึ้นจนกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำอยู่บริเวณทางตอนใต้ของประเทศคิวบาเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม[2] ในสภาวะที่เอื้อต่อการพัฒนา พายุได้ทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 2 และเคลื่อนตัวพัดถล่มทางตะวันตกของประเทศคิวบา หลังจากนั้นพายุก็ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่อ่าวเม็กซิโก และทวีกำลังแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นพายุเฮอริเคนรุนแรงระดับ 3 ต่อมาในช่วงค่ำพายุได้ทวีกำลังแรงขึ้นจนถึงพายุเฮอริเคนรุนแรงระดับ 5 ในขณะที่เคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่งทางตอนเหนือของอ่าวเม็กซิโก พายุเฮอริเคนคามิลล์มีกำลังแรงสูงสุดด้วยความเร็วลมสูงสุด 1 นาทีที่ 180 ไมล์ต่อชั่วโมง (285 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)[nb 2] และความกดอากาศที่ 900 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 26.58 นิ้วของปรอท) ในวันที่ 16 สิงหาคม ซึ่งนับเป็นความกดอากาศที่ต่ำที่สุดเป็นอันดับสองที่เคยมีการบันทึกในสหรัฐรองจากพายุเฮอริเคนวันแรงงานในปี พ.ศ. 2478[3] นอกจากนี้ ยังเป็นพายุหมุนเขตร้อนที่รุนแรงที่สุดในโลกในปี พ.ศ. 2512 อีกด้วย

ก่อนที่พายุเฮอริเคนคามิลล์จะเคลื่อนตัวเข้าสู่อ่าวเม็กซิโก พายุได้เคลื่อนตัวพัดขึ้นฝั่งทางตะวันตกของประเทศคิวบาส่งผลให้เกิดลมแรง และน้ำท่วมตามแม่น้ำสายหลัก[4] ส่งผลกระทบให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยประมาณ 5 ราย หลังจากที่พายุทวีกำลังแรงขึ้นในอ่าวเม็กซิโก[5] กรมอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติได้ออกประกาศเตือนภัยล่วงหน้าอย่างกว้างขวางตั้งแต่รัฐลุยเซียนาไปจนถึงรัฐฟลอริดา พายุเฮอริเคนคามิลล์ได้ก่อให้เกิดคลื่นลมแรงซัดเข้าหาบริเวณชายฝั่งส่งผลให้แท่นขุดเจาะน้ำมัน 3 แห่ง ได้รับความเสียหายอย่างหนัก และแท่นขุดเจาะน้ำมันอีกหลายแห่งได้รับความเสียหาย[6] ในรัฐมิสซิสซิปปี ซึ่งเป็นจุดที่พายุเคลื่อนตัวขึ้นฝั่ง พายุได้สร้างคลื่นพายุซัดฝั่งที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐโดยมีระดับน้ำขึ้นสูงถึงประมาณ 7.5 เมตร ที่พาสคริสเตียน ซึ่งสถิตินี้ได้ถูกทำลายในภายหลังโดยพายุเฮอริเคนแคทรีนาในปี พ.ศ. 2548 พายุเฮอริเคนคามิลล์ได้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลตามแนวชายฝั่งรัฐมิสซิสซิปปี และบางส่วนของรัฐลุยเซียนา โดยโครงสร้างอาคารบ้านเรือนแทบจะได้รับความเสียหายอย่างหนักทั้งหมด ในรัฐมิสซิสซิปปีมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 137 ราย และมีผู้เสียชีวิตอีก 9 ราย ในรัฐลุยเซียนา ลมแรงยังส่งผลให้สิ่งก่อสร้างในทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐมิสซิสซิปปีได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง และส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรมอย่างร้ายแรง[7]

หลังจากที่พายุเฮอริเคนคามิลล์ได้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่ง พายุก็อ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วโดยลดระดับลงต่ำกว่าพายุเมื่อเคลื่อนตัวผ่านทางตอนเหนือของแจ็กสันในรัฐมิสซิสซิปปี และต่อมาพายุได้อ่อนกำลังลงจนกลายเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนในรัฐเทนเนสซี แม้ว่าพายุจะอ่อนกำลังลงแล้ว แต่ฝนตกตามแนวพายุในรัฐมิสซิสซิปปี และรัฐเทนเนสซีก็ยังช่วยบรรเทาสภาวะแห้งแล้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่เหล่านี้[8] อย่างไรก็ตาม ในขณะที่พายุเคลื่อนตัวผ่านหุบเขาโอไฮโอในฐานะพายุดีเปรสชันเขตร้อน พายุก็ได้ก่อให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองอย่างรุนแรงจนเกิดฝนตกหนักเฉพาะจุดในหลายพื้นที่ของรัฐเวอร์จิเนียโดยจุดที่มีปริมาณน้ำฝนสูงสุดอยู่ที่แมสซี่ส์มิลล์โดยวัดได้ถึง 690 มิลลิเมตร (27 นิ้ว) ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดที่เคยมีการบันทึกในรัฐเวอร์จิเนียจากพายุ อุทกภัยที่ตามมาได้ส่งผลกระทบอย่างหนักในเทือกเขาแอปพาเลเชียน มีผู้เสียชีวิตในรัฐเวอร์จิเนียมากถึงประมาณ 114 ราย และมีผู้เสียชีวิตอีกประมาณ 2 ราย ในรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย พายุเฮอริเคนคามิลล์ได้คร่าชีวิตประชาชนอย่างน้อยประมาณ 262 ราย ทั่วสหรัฐ และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่าประมาณ 1.42 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[nb 3] ซึ่งนับเป็นพายุที่สร้างความเสียหายสูงที่สุดในสหรัฐในขณะนั้น และแซงหน้าพายุเฮอริเคนเบ็ตซี่ในปี พ.ศ. 2508[9]

บันทึกและสถิติทางอุตุนิยมวิทยา

[แก้]
ภาพเรดาร์ของพายุเฮอริเคนคามิลล์กำลังเข้าสู่วัฏจักรการแทนที่กำแพงตาก่อนที่จะเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งรัฐมิสซิสซิปปีในช่วงค่ำของวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2512

พายุเฮอริเคนคามิลล์ได้ทำสถิติความกดอากาศที่ระดับน้ำทะเลต่ำที่สุดเป็นอันดับ 7 ที่เคยบันทึกไว้อย่างเป็นทางการในมหาสมุทรแอตแลนติกโดยมีความกดอากาศอยู่ที่ 900 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 26.58 นิ้วของปรอท)[10] ในขณะที่พายุเคลื่อนตัวขึ้นฝั่ง ซึ่งนับเป็นค่าความกดอากาศในขณะขึ้นฝั่งที่ต่ำที่สุดเป็นอันดับสองของสหรัฐรองจากพายุเฮอริเคนวันแรงงานในปี พ.ศ. 2478[11] ที่มีค่าต่ำกว่านั้น พายุเฮอริเคนคามิลล์ยังถือเป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุดในสหรัฐนับตั้งแต่พายุเฮอริเคนวันแรงงานโดยความเร็วลมสูงสุดของพายุเฮอริเคนคามิลล์ไม่สามารถวัดได้โดยตรง เนื่องจากอุปกรณ์อุตุนิยมวิทยาทั้งหมดได้รับความเสียหายอย่างหนักในขณะที่พายุเคลื่อนตัวขึ้นฝั่ง[12] อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ซ้ำเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2557 ได้พบว่าพายุเฮอริเคนคามิลล์มีความเร็วลมสูงสุด 1 นาทีที่ 180 ไมล์ต่อชั่วโมง (285 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) จนถึงปี พ.ศ. 2561 พายุเฮอริเคนคามิลล์เป็นหนึ่งในสี่พายุเฮอริเคนรุนแรงระดับ 5 ในมหาสมุทรแอตแลนติกที่เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งสหรัฐด้วยระดับความรุนแรงเท่านี้ เช่น พายุเฮอริเคนวันแรงงานในปี พ.ศ. 2478 พายุเฮอริเคนแอนดรูว์ในปี พ.ศ. 2535 และพายุเฮอริเคนไมเคิลในปี พ.ศ. 2561 เป็นต้น[13]

เมื่อพายุเฮอริเคนคามิลล์ได้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งรัฐมิสซิสซิปปี พายุได้ก่อให้เกิดคลื่นพายุซัดชายฝั่งสูงที่สุดเท่าที่เคยบันทึกได้ในสหรัฐโดยแรงคลื่นได้ทำให้มาตรวัดน้ำทะเลเกือบทั้งหมดตามชายฝั่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจนไม่สามารถใช้ข้อมูลจากอุปกรณ์ได้ จากการตรวจวัดระดับเศษซาก และความเสียหายในพาสคริสเตียน พบว่าพายุเฮอริเคนคามิลล์มีระดับน้ำทะเลซัดชายฝั่งสูงถึงประมาณ 7.5 เมตร และมีระดับน้ำสูงสุดที่วัดได้ภายในอาคารอยู่ที่ประมาณ 6.9 เมตร ภายในอาคารสมาคมทหารผ่านศึกในพื้นที่[14] ระดับน้ำท่วมสถิตินี้ของพายุได้ถูกทำลายลงในเวลาต่อมาโดยพายุเฮอริเคนแคทรีนาในปี พ.ศ. 2548 ซึ่งสร้างระดับน้ำสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 8.4 เมตร ที่เมืองเดียวกัน คือ พาสคริสเตียน[15] หลังจากพายุได้เคลื่อนตัวข้ามทางตอนใต้กับตอนกลางของสหรัฐ พายุเฮอริเคนคามิลล์ได้พัดพาฝนตกหนักอย่างรุนแรงในรัฐเวอร์จิเนียโดยมีการวัดปริมาณน้ำฝนสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 690 มิลลิเมตร (27 นิ้ว) จากบาร์เรลในพื้นที่ใกล้กับแมสซี่ส์มิลล์[16] ซึ่งนับเป็นปริมาณน้ำฝนจากพายุหมุนเขตร้อนที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐเวอร์จิเนีย[17][nb 4]

การเปรียบเทียบกับพายุเฮอริเคนแคทรีนา

[แก้]
การเปรียบเทียบพายุเฮอริเคนคามิลล์ (ด้านซ้าย) กับพายุเฮอริเคนแคทรีนา (ด้านขวา)

แม้พายุเฮอริเคนคามิลล์กับพายุเฮอริเคนแคทรีนาในปี พ.ศ. 2548 จะเคลื่อนตัวผ่านเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่พายุทั้ง 2 ลูก ก็เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งบริเวณชายฝั่งรัฐมิสซิสซิปปีใกล้เคียงกัน และก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน พายุเฮอริเคนคามิลล์มีการทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าพายุเฮอริเคนแคทรีนา และต่างจากพายุเฮอริเคนแคทรีนาตรงที่พายุเฮอริเคนคามิลล์สามารถกลับมาทวีกำลังแรงขึ้นอีกครั้งก่อนเคลื่อนตัวขึ้นฝั่ง และคงสถานะเป็นพายุเฮอริเคนรุนแรงระดับ 5 จนถึงในขณะขึ้นฝั่ง[18] ในขณะที่พายุทั้ง 2 ลูก ต่างก็มีช่วงระยะเวลาที่เกิดการทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม รัศมีลมแรงสูงสุดของพายุเฮอริเคนคามิลล์นั้นเล็กกว่าของพายุเฮอริเคนแคทรีนาถึง 3 เท่า โดยมีขนาดใกล้เคียงกับพายุเฮอริเคนแอนดรูว์ในปี พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นพายุลูกเล็ก แต่มีความรุนแรงอย่างมากในอดีต พายุเฮอริเคนคามิลล์ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อนิวออร์ลีนส์ในรัฐลุยเซียนาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากศูนย์กลางของพายุเคลื่อนตัวเฉียดเมืองไปอย่างหวุดหวิดต่างจากพายุเฮอริเคนแคทรีนา ซึ่งก่อให้เกิดน้ำท่วม และความเสียหายอย่างใหญ่หลวงในพื้นที่ดังกล่าว[19] ขนาดของบริเวณที่มีลมจากพายุเฮอริเคนคามิลล์อยู่ที่ประมาณสองในสามของพายุเฮอริเคนแคทรีนาโดยพายุทั้ง 2 ลูก มีความเร็วในการเคลื่อนตัวในขณะขึ้นฝั่งที่ใกล้เคียงกัน แม้พายุเฮอริเคนคามิลล์จะมีความเร็วลมที่สูงกว่าในขณะขึ้นฝั่ง แต่พายุเฮอริเคนแคทรีนากลับมีระดับน้ำสูงขึ้นโดยพายุที่สูงกว่าพายุเฮอริเคนคามิลล์ในทุกพื้นที่ที่มีการบันทึกข้อมูล สาเหตุหลักมาจากขนาดที่ใหญ่กว่าของพายุเฮอริเคนแคทรีนา[20]

ความเป็นมาของการตั้งชื่อ

[แก้]
ป้ายบอกทางประวัติศาสตร์ของพายุเฮอริเคนคามิลล์ตามทางหลวงสหรัฐหมายเลข 29 และทางหลวงสหรัฐหมายเลข 6 ของรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งใกล้กับวูดส์มิลล์ในเนลสันเคาน์ตี รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐ

ในช่วงพุทธทศวรรษ 2500 สหรัฐได้ใช้บัญชีรายชื่อพายุเฮอริเคนแอตแลนติกแบบหมุนเวียน 4 ชุด โดยรายชื่อแต่ละชุดประกอบด้วยชื่อผู้หญิงล้วน และจะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ทุก ๆ 4 ปี แม้ในตอนแรกจะมีแนวทางให้มีการถอนออกจากรายชื่อพายุที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงออกจากรายชื่อเพียงชั่วคราวเป็นระยะเวลา 10 ปี แต่ในเวลาต่อมาหลักการดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นการถอนออกจากรายชื่อถาวรโดยอิงจากผลกระทบ และความรุนแรงของพายุในแต่ละลูก ตัวอย่างหนึ่ง คือ ชื่อ คาร์ลา ซึ่งถูกถอนออกจากรายชื่อในปี พ.ศ. 2504 หลังจากพายุเฮอริเคนคาร์ลาได้ถล่มรัฐเท็กซัสอย่างหนัก ต่อมาเมื่อถึงรอบการใช้รายชื่อชุดเดิมในปี พ.ศ. 2508 ได้มีการเลือกชื่อ แครอล แทน ซึ่งเป็นชื่อที่เคยถูกถอนออกจากรายชื่อไปแล้วในปี พ.ศ. 2497 หลังจากพายุเฮอริเคนแครอลได้สร้างความเสียหายในแถบนิวอิงแลนด์ เนื่องจากระยะเวลาผ่านไปกว่า 10 ปี จึงมีความพยายามนำชื่อนี้กลับมาใช้ในฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติก พ.ศ. 2512

พายุเฮอริเคนคามิลล์ในเนลสันเคาน์ตี รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐ

นักวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการวิจัยพายุเฮอริเคนแห่งชาติ (NHRL) ได้เสนอให้ถอนชื่อ แครอล เอ็ดนา และ เฮเซล ออกจากรายชื่ออย่างเป็นทางการ เนื่องจากยังมีงานวิจัยจำนวนมากที่กล่าวถึงพายุทั้ง 3 ลูก นี้อยู่ คณะกรรมการตั้งชื่อได้เห็นชอบให้ถอนชื่อเหล่านั้นออกจากบัญชีถาวร และเริ่มต้นค้นหาชื่อใหม่ที่จะใช้แทนชื่อพายุที่ถูกถอน โดยเฉพาะชื่อที่ขึ้นต้นด้วยอักษร C[21]

ที่มาของชื่อคามิลล์

[แก้]

คามิลล์เป็นชื่อของบุตรสาวของ จอห์น โฮป นักอุตุนิยมวิทยาผู้มีบทบาทสำคัญในวงการพยากรณ์อากาศของสหรัฐ และทำงานร่วมกับ แบนเนอร์ มิลเลอร์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพายุหมุนเขตร้อน ในขณะนั้นคามิลล์กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และเข้าร่วมโครงการพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ขั้นสูงของโรงเรียน โดยเธอได้จัดทำโครงงานวิจัยอิสระที่เกี่ยวข้องกับพายุ และแนวโน้มของบรรยากาศในระยะยาว โครงการของเธอได้รับความชื่นชมจาก แบนเนอร์ มิลเลอร์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาโครงการ เขาประทับใจในความสามารถ และแรงจูงใจของคามิลล์ จึงได้เสนอให้ใช้ชื่อของเธอในบัญชีรายชื่อพายุเฮอริเคนแอตแลนติกประจำปี พ.ศ. 2512 แทนชื่อ แครอล ที่เพิ่งถูกถอนออกจากรายชื่อ เรื่องราวของการตั้งชื่อพายุว่า คามิลล์ ไม่ได้ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะในทันที และคามิลล์ได้กล่าวในบทสัมภาษณ์ในปี พ.ศ. 2557 ว่า "เราเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบมาหลายปี"[22]

ในวัฒนธรรมสมัยนิยม

[แก้]

ภาพยนตร์

[แก้]
  • "เฮอริเคน" เป็นภาพยนตร์ภัยพิบัติที่สร้างขึ้นสำหรับโทรทัศน์โดยบริษัทแพร่สัญญาณอเมริกัน (ABC) ในปี พ.ศ. 2517 นำแสดงโดย แฟรงค์ ซัตตัน และลาร์รี แฮคแมน ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการอ้างอิงถึงริชิลิเยออพาร์ตเมนต์ เครื่องบินนักล่าพายุเฮอริเคนที่บินเข้าสู่ตาพายุของพายุเฮอริเคนคามิลล์ และสูญเสียเครื่องยนต์ไป 1 เครื่อง รวมถึงมีการใช้ภาพข่าวจากเหตุการณ์พายุลูกนี้อีกด้วย[23]

ดนตรี

[แก้]
ควอนตัมลีป กระโดดข้ามเวลา ซีรีส์ทางช่องบริษัทแพร่สัญญาณแห่งชาติ (NBC) ในปี พ.ศ. 2532
  • นักดนตรีแจ๊สผู้เล่นแบนโจ เบลา เฟล็ก ได้แต่งเพลงแจ๊สฟิวชันชื่อ "เฮอริเคนคามิลล์" ในอัลบั้ม "เบลาเฟล็กแอนด์เดอะเฟล็กโทนส์" ในปี พ.ศ. 2534[24]

การผลิตละครเวที

[แก้]
  • ในปี พ.ศ. 2551 บริษัทโรงละครเอนด์สเตชั่นจากลินช์เบิร์กในรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งในขณะนั้นยังตั้งอยู่ที่แอมเฮิร์สต์ ได้เปิดการแสดงรอบปฐมทัศน์ละครต้นฉบับ "เดอะบลูเอสต์วอเทอร์: เรื่องราวของพายุเฮอริเคนคามิลล์" เขียนโดยนักเขียนบทละคร เจสัน คิโมนิเดส และจัดในงานเทศกาลละครฤดูร้อนบลูริดจ์ครั้งแรกในวิทยาลัยสวีทไบรเออร์[25] แม้ว่าละครดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์โดยมีตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสะท้อน หรือจดจำเหตุการณ์จริงของพายุเฮอริเคนคามิลล์ แต่หลายเรื่องราวกับบทสนทนาของตัวละครเป็นการเรียบเรียงจากคำบอกเล่า และประจักษ์พยานจริงในเนลสันเคาน์ตี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่แมสซี่ส์มิลล์ แม่น้ำไท ลำห้วยเดวิสครีก และพื้นที่ใกล้เคียง การแสดงละครเรื่องนี้ถูกนำกลับมาเล่นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2552 เพื่อร่วมกับการจัดงานรำลึกครบรอบ 40 ปี ของพายุเฮอริเคนคามิลล์โดยสมาคมประวัติศาสตร์เนลสันเคาน์ตี[26]

โทรทัศน์

[แก้]
  • ในตอนออกอากาศวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2534 ของซีรีส์ "ควอนตัมลีป กระโดดข้ามเวลา" ทางช่องบริษัทแพร่สัญญาณแห่งชาติ (NBC) ตอนที่มีชื่อว่า "เฮอริเคน" (ฤดูกาลที่ 4 ตอนที่ 3) ตัวละครหลัก แซม เบ็กเก็ตต์ ได้กระโดดข้ามเวลาไปเป็น อาร์ชี เนแคส นายอำเภอเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ท่ามกลางพายุเฮอริเคนคามิลล์ เขาจะต้องปกป้องไม่ให้แฟนสาวของร่างที่ตนสิงอยู่ถูกพายุคร่าชีวิต[27]

การถอนออกจากรายชื่อ

[แก้]

หลังจากที่พายุลูกนี้ได้ก่อให้เกิดความเสียหาย และความรุนแรง จึงทำให้ชื่อ คามิลล์ ถูกถอนออกจากรายชื่อพายุเฮอริเคนแอตแลนติกอย่างเป็นทางการในภายหลัง องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ได้เลือกชื่อ ซินดี เป็นชื่อแทนในรายชื่อพายุหมุนเขตร้อนในปี พ.ศ. 2516 อย่างไรก็ตาม รายชื่อ 4 ปี ที่ใช้ในขณะนั้นถูกแทนที่ด้วยรายชื่อชุดใหม่ 10 รายชื่อ ในปี พ.ศ. 2514 ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องไปจนถึงปี พ.ศ. 2523 ก่อนที่จะนำกลับมาใช้ใหม่[28]

ดูเพิ่ม

[แก้]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. "คามิลล์" เป็นชื่อพายุหมุนเขตร้อนในรายชื่อชุดที่ 1 ลำดับที่ 3 ของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ
  2. ความเร็วลมเฉลี่ยนี้ใช้ความเร็วลมเฉลี่ยใน 1 นาที เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอื่น ๆ
  3. ตัวเลขความเสียหายในบทความนี้เป็นค่าเงินในปี พ.ศ. 2512 เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอื่น ๆ
  4. พายุเฮอริเคนคามิลล์เป็นพายุที่มีความรุนแรงมากเป็นอันดับ 7 ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ด้วยความกดอากาศที่ 900 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 26.58 นิ้วของปรอท)

อ้างอิง

[แก้]
  1. DeAngelis, Richard M. (January 1970). "North Atlantic Tropical Cyclones, 1969". Mariners Weather Log (ภาษาอังกฤษ). 14 (1): 2.
  2. Simpson, R. H.; Arnold L. Sugg (April 1970). "The Atlantic Hurricane Season of 1969" (PDF). Monthly Weather Review (ภาษาอังกฤษ). 98 (4): 293. Bibcode:1970MWRv...98..293S. doi:10.1175/1520-0493-98.4.293. S2CID 123713109. สืบค้นเมื่อ 1 January 2014.
  3. Kieper, Margaret E.; Landsea, Christopher W.; Beven, John L. (2016-03-01). "A Reanalysis of Hurricane Camille" (PDF). Bulletin of the American Meteorological Society (ภาษาอังกฤษ). 97 (3): 367–384. Bibcode:2016BAMS...97..367K. doi:10.1175/BAMS-D-14-00137.1. สืบค้นเมื่อ 19 October 2024.
  4. "Cuba Faces Big Problem From Storm". The Progress-Index (ภาษาอังกฤษ). Associated Press. 1969-08-17. p. 1. สืบค้นเมื่อ 28 September 2021 โดยทาง Newspapers.com. Free to read
  5. "Florida Braces for Big Blow". The Kingston Gleaner (ภาษาอังกฤษ). Associated Press. 1969-08-16.
  6. Roger A. Pielke Jr.; และคณะ (August 2003). Hurricane Vulnerability in Latin America and The Caribbean: Normalized Damage and Loss Potentials (PDF). National Hazards Review (Report) (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 24 February 2013.
  7. Eric S. Blake; Jerry D. Jarrell; B. Max Mayfield; Edward N. Rappaport (2005-07-25). The Most Intense Hurricanes in the United States 1851-2004 (Report) (ภาษาอังกฤษ). Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ 17 July 2014.
  8. David M. Roth (2007-10-31). Hurricane Camille - August 16-21, 1969. Weather Prediction Center (Report). National Oceanic and Atmospheric Administration. สืบค้นเมื่อ 24 February 2013.
  9. Costliest U.S. tropical cyclones tables updated (PDF) (Report) (ภาษาอังกฤษ). Miami, Florida: National Hurricane Center. 2018-01-26. สืบค้นเมื่อ 4 February 2018.
  10. National Hurricane Center; Hurricane Research Division; Atlantic Oceanographic and Meteorological Laboratory (March 2014). "Atlantic hurricane best track (HURDAT) Meta Data" (ภาษาอังกฤษ). United States National Oceanic and Atmospheric Administration's Office of Oceanic & Atmospheric Research. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2011. สืบค้นเมื่อ 26 March 2014.
  11. Kieper, Margaret E.; Landsea, Christopher W.; Beven, John L. (2016-03-01). "A Reanalysis of Hurricane Camille" (PDF). Bulletin of the American Meteorological Society (ภาษาอังกฤษ). 97 (3): 367–384. Bibcode:2016BAMS...97..367K. doi:10.1175/BAMS-D-14-00137.1. สืบค้นเมื่อ 19 October 2024.
  12. Eric S. Blake; Ethan J. Gibney (August 2011). The Deadliest, Costliest, and Most Intense United States Tropical Cyclones from 1851 to 2010 (and Other Frequently Requested Hurricane Facts) (PDF) (Report) (ภาษาอังกฤษ). National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ 25 August 2025.
  13. Beven, John; Berg, Robbie; Hagen, Andrew (2019-05-17). Tropical Cyclone Report: Hurricane Michael (PDF) (Report) (ภาษาอังกฤษ). National Hurricane Center. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 29 July 2020. สืบค้นเมื่อ 17 August 2020.
  14. Report on Hurricane Camille August 14-22 1969 (PDF) (Report) (ภาษาอังกฤษ). United States Army Corps of Engineers. May 1970. สืบค้นเมื่อ 26 August 2025.
  15. Knabb, Richard D; Rhome, Jamie R; Brown, Daniel P; National Hurricane Center (2005-12-20). Hurricane Katrina: August 23–30, 2005 (PDF) (Tropical Cyclone Report) (ภาษาอังกฤษ). United States National Oceanic and Atmospheric Administration's National Weather Service. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2 October 2015. สืบค้นเมื่อ 8 January 2016.
  16. David Roth (2025-08-18). "Hurricane Camille" (ภาษาอังกฤษ). Weather Prediction Center. สืบค้นเมื่อ 18 August 2025.
  17. J. D. Camp; E. M. Miller, บ.ก. (1970). Flood of August 1969 in Virginia (PDF) (Report) (ภาษาอังกฤษ). p. 6-7, 11. สืบค้นเมื่อ 18 August 2025.
  18. Jay S. Hobgood (2006). 16C.7: A comparison of hurricanes Katrina (2005) and Camille (1969). (ภาษาอังกฤษ). American Meteorological Society's 27th Conference on Hurricanes and Tropical Meteorology. Retrieved on 13 March 2009.
  19. Stefan Bechtel (2006). Roar of the Heavens. (ภาษาอังกฤษ). Stefan Bechtel, pp. 279. ISBN 978-0-8065-2706-2. Retrieved on 13 March 2009.
  20. Hermann M. Fritz, Chris Blount, Robert Sokoloski, Justin Singleton, Andrew Fuggle, Brian G. McAdoo, Andrew Moore, Chad Grass, Banks Tate (2007). Hurricane Katrina storm surge distribution and field observations on the Mississippi Barrier Islands. (ภาษาอังกฤษ). Estuarine, Coastal and Shelf Science Volume 74, pp. 14-20. Retrieved on 13 March 2009.
  21. "45th Anniversary of Hurricane Camille" (ภาษาอังกฤษ). Miami, Florida: NOAA Hurricane Research Division. 2014-08-14. สืบค้นเมื่อ 16 February 2024.
  22. Padgett, Gary (2008). August 2007 (Monthly Global Tropical Cyclone Summary) (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 June 2011. สืบค้นเมื่อ 28 May 2014.
  23. Hurricane ที่ฐานข้อมูลภาพยนตร์ทีซีเอ็ม
  24. Béla Fleck and the Flecktones ที่ออลมิวสิก
  25. Endstation Theatre Company (2008). "2008 Season" (ภาษาอังกฤษ).
  26. "Nelson County Historical Society". nchsva (ภาษาอังกฤษ). 2009.
  27. Hurricane. Quantum Leap. NBC.
  28. Robert H. Simpson; Arnold L. Sugg (เมษายน 1970). The Atlantic hurricane season of 1969 (PDF). U.S. Weather Bureau (Report) (ภาษาอังกฤษ). Miami, Florida: National Hurricane Center. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 4 January 2011. สืบค้นเมื่อ 29 November 2015.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]