พระเจ้าฟูลค์แห่งเยรูซาเลม
พระเจ้าฟูลค์ | |
---|---|
![]() | |
พระมหากษัตริย์เยรูซาเลม | |
ครองราชย์ | ค.ศ. 1131–1143 |
ก่อนหน้า | พระเจ้าโบดวงที่ 2 |
ถัดไป | เมลีแซงด์และพระเจ้าโบดวงที่ 3 |
ผู้ครองราชสมบัติร่วม | เมลีแซงด์ |
เคานต์แห่งอ็องฌู
(ในฐานะ ฟูลค์ที่ 5) | |
ครองราชย์ | ค.ศ. 1109–1129 |
ก่อนหน้า | ฟูลค์ที่ 4 |
ถัดไป | ฌอฟรัวที่ 5 |
เคานต์แห่งแมน (jure uxoris) | |
ครองราชย์ | ค.ศ. 1110–1126 |
ก่อนหน้า | เอเลียสที่ 1 |
ถัดไป | ฌอฟรัวที่ 5 |
ผู้ครองราชสมบัติร่วม | เอเแรมบูร์แห่งแม็ง |
ประสูติ | ป. ค.ศ. 1089/1092 อ็องเฌ ราชอาณาจักรฝรั่งเศส |
สวรรคต | 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1143 เอเคอร์ ราชอาณาจักรเยรูซาเลม |
ฝังพระศพ | โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ เยรูซาเลม |
ชายา | |
พระราชบุตร | |
ราชวงศ์ | อ็องฌู |
พระราชบิดา | ฟูลค์ที่ 4 เคานต์แห่งอ็องฌู |
พระราชมารดา | แบร์ทราดแห่งมงฟอร์ต |
พระเจ้าฟูลค์ (ฝรั่งเศส: Foulque หรือ Foulques; ละติน: Fulco; ป. ค.ศ. 1089/1092 – 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1143) หรือที่รู้จักในชื่อ ฟูลค์ผู้น้อง (อังกฤษ: Fulk the Younger) และ ฟูลค์แห่งอ็องฌู (อังกฤษ: Fulk of Anjou) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์เยรูซาเลมระหว่าง ค.ศ. 1131 ถึง ค.ศ. 1143 โดยทรงครองราชสมบัติร่วมกับพระมเหสี เมลีแซงด์แห่งเยรูซาเลม โดยก่อนหน้านั้น พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งในนาม ฟูลค์ที่ 5 เคานต์แห่งอ็องฌู ตั้งแต่ ค.ศ. 1109 ถึง 1129 และยังเคยเป็นเคานต์แห่งแมน (Count of Maine) ระหว่าง ค.ศ. 1110 ถึง 1126 ร่วมกับพระชายาองค์แรกของพระองค์ เคาน์เตสเอเแรมบูร์ โดยเหล่าพระราชโอรสและพระราชนัดดาสายตรงของพระองค์จะกลายเป็นผู้ปกครองแห่งจักรวรรดิอ็องแฌแวงและราชอาณาจักรเยรูซาเลม
ชีวิตช่วงต้น
[แก้]พระเจ้าฟูลค์เสด็จพระราชสมภพที่เมืองอ็องเฌ ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1089 ถึง 1092 เป็นพระโอรสของฟูลค์ที่ 4 เคานต์แห่งอ็องฌูและแบร์ทราดแห่งมงฟอร์ต ใน ค.ศ. 1092 แบร์ทราดได้ละทิ้งสามีของนางและสมรสซ้อนกับพระเจ้าฟีลิปที่ 1 แห่งฝรั่งเศส ทำให้ฟูลค์ถูกเลี้ยงดูในราชสำนักฝรั่งเศสอยู่บางช่วง ภายใน ค.ศ. 1106 ฟูลค์ที่ 4 ถูกบีบบังคับให้ยกอำนาจการปกครองเคาน์ตีให้แก่พระโอรสองค์โต คือ ฌอฟรัวที่ 4 ซึ่งเป็นพระเชษฐาต่างพระมารดาของฟูลค์ แต่ในปีเดียวกันนั้น ฌอฟรัวถูกลูกธนูสังหารหน้าปราสาทเมืองค็องเด ซึ่งในทางทฤษฎีทำให้ฟูลค์ผู้พ่อกลับคืนสู่อำนาจ แต่ฟูลค์ผู้น้องกลับกลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งคนต่อไป นักพงศาวดาร ออร์เดอริก วีตาลิส (Orderic Vitalis) ระบุว่า ฟูลค์ผู้น้องถูกบังคับให้ถวายความจงรักภักดีของอ็องฌูแด่พระเจ้าฟิลิปที่ 1 แห่งฝรั่งเศส และต่อมาเขาถูกจับเป็นเชลยและถูกคุมขังเป็นเวลาหนึ่งปีโดย กีโยมที่ 9 ดยุกแห่งอากีแตน ทั้งนี้ มีการสันนิษฐานว่าของ Chronicles of the Deeds of the Counts of Anjou (Chronica de gestis consulum Andegavorum) ฉบับแรกสุดอาจถูกเขียนขึ้นเพื่อตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ครั้งนั้น
เคานต์แห่งอ็องฌู
[แก้]
ใน ค.ศ. 1109 พระบิดาของฟูลค์สิ้นพระชนม์และฟูลค์ที่ 5 ก็ได้สืบตำแหน่งเป็นเคานต์แห่งอ็องฌู เป็นการยุติวิกฤตกยาวนานสามปี ใน ค.ศ. 1110 พระองค์สมรสกับ เคาน์เตสเอเแรมบูร์ ซึ่งเป็นการเสริมสร้างอำนาจของอ็องฌูเหนือเคาน์ตีแมน ใน ค.ศ. 1113 เอเแรมบูร์ให้กำเนิดพระโอรส ซึ่งจะได้เป็น ฌอฟรัวที่ 5 เคานต์แห่งอ็องฌูในอนาคต
เดิมแล้ว ฟูลค์เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้าเฮนรีที่ 1 แห่งอังกฤษและสนับสนุนพระเจ้าหลุยส์ที่ 6 แห่งฝรั่งเศส แต่ใน ค.ศ. 1119 พระองค์กลับจับมือกับพระเจ้าเฮนรี เมื่อพระธิดาของฟูลค์ มาตีลด์แห่งอ็องฌูได้สมรสกับเจ้าชายวิลเลียม อาเดลิน[1] พระราชโอรสของพระเจ้าเฮนรี
ในปีเดียวกันนั้น ฟูลค์อาจได้รับแรงบันดาลใจจากข่าวความพ่ายแพ้ของกองทัพครูเสดในยุทธการที่ทุ่งโลหิต (Battle of the Field of Blood) และเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปากัลลิสตุสที่ 2 ทรงประทับอยู่ใกล้ฝรั่งเศส พระองค์จึงตัดสินพระทัยเข้าร่วมสงครามครูเสด[2] ใน ค.ศ. 1120 ระหว่างที่พระองค์เยือนเยรูซาเลม ฟูลค์ได้ไปเกี่ยวข้องกับคณะอัศวินเทมพลาร์และอาจถึงขั้นเข้าร่วมเป็นสมาชิกสามัญ (confrater) พระองค์กลายเป็นเจ้าชายยุโรปพระองค์แรกที่อุปถัมภ์คณะนี้ โดยมอบรายได้ประจำปี 30 ปอนด์อ็องฌู และให้คำมั่นว่าจะจัดกองอัศวิน 100 นายไปประจำการในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลา 1 ปี
การอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเมลีแซงด์แห่งเยรูซาเลม
[แก้]
ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1120 ความวิตกเกี่ยวกับการสืบราชบัลลังก์ของพระเจ้าโบดวงที่ 2 แห่งเยรูซาเลมและพระราชินีมอร์เฟียแห่งเมลีแตง ก็เพิ่มขึ้น ทั้งคู่มีเพียงพระราชธิดา โดยพระองค์โต คือ เมลีแซงด์แห่งเยรูซาเลม ด้วยหลายปัจจัยทำให้ฟูลค์เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากพระองค์เคยมาเยรูซาเลมและสนับสนุนราชอาณาจักรและอัศวินเทมพลาร์ พระโอรสของพระองค์ ฌอฟรัวก็บรรลุนิติภาวะใน ค.ศ. 1126 และชายาของพระองค์สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกัน เมื่อชาร์ลที่ 1 เคานต์แห่งแฟลนเดอส์ ผู้เคยเยือนเยรูซาเลมและเป็นที่นิยมถูกลอบปลงพระชมน์ใน ค.ศ. 1127 ฟูลค์จึงกลายเป็นตัวเลือกที่ชัดเจน
ในปีนั้น พระเจ้าโบดวงทรงส่งคณะทูตไปหาฟูลค์ ประกอบด้วย กีโยม เจ้าชายแห่งกาลิลี, กีที่ 1 แห่งบรีซบาร์เรและผู้ก่อตั้งและผู้นำคนแรกของอัศวินเทมพลาร์ อูกแห่งปาแย็ง โดยมีภารกิจเพื่อหาสวามีให้กับเมลีแซงด์และระดมกองทัพโจมตีดามัสกัส หลังจากหารือกับเหล่าขุนนาง พระเจ้าโบดวงทรงตัดสินพระทัยเสนอให้เมลีแซงด์สมรสกับฟูลค์ พร้อมสัญญาว่าจะจัดอภิเษกสมรสภายใน 50 วันหลังจากฟูลค์มาถึง และพระองค์จะได้ขึ้นครองราชย์หลังจากพระเจ้าโบดวงเสด็จสวรรคต ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1128 คณะทูตถึงอ็องฌู นักประวัติศาสตร์ ฮันส์ เอเบอร์ฮาร์ท ไมเออร์ วิเคราะห์ว่ามีการเจรจาอย่างละเอียดระหว่างฟูลค์กับคณะทูต ซึ่งทำให้พระเจ้าโบดวงทรงยอมรับให้ทั้งฟูลค์และเมลีแซงด์เป็น รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์ (heres regni) เพื่อป้องกันการท้าทายใดๆ ต่อการสืบราชสมบัติ วันที่ 31 พฤษภาคม ฟูลค์รับข้อเสนอโดยการ "รับกางเขน" ที่เมืองเลอม็อง[2] จากนั้นพระองค์ใช้เวลาหนึ่งปีเตรียมการ มอบอ็องฌูและแมนให้โอรส ฌอฟรัว ซึ่งสมรสกับมาทิลดา พระราชธิดาของพระเจ้าเฮนรีที่ 1 แต่พระองค์ยังไม่สละตำแหน่งเคานต์ อาจเพื่อป้องกันแผนเยรูซาเลมล้มเหลว มีนาคม ค.ศ. 1129 ฟูลค์ออกเดินทางสู่เยรูซาเลม พร้อมอัศวินจากอ็องฌูและพื้นที่โดยรอบ ถึงในเดือนพฤษภาคมและฟูลค์กับเมลีแซงด์ได้อภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 1129 ตรงกับเทศกาลเพนเทคอสต์ โดยพระเจ้าโบดวงมอบเมืองเอเคอร์และไทร์เป็นสินสอด ในฤดูหนาวปีนั้น ฟูลค์และกองทัพที่อูกแห่งปาแย็งจัดหาจากยุโรปได้โจมตีเมืองดามัสกัส
พระมหากษัตริย์เยรูซาเลม
[แก้]
พระเจ้าโบดวงที่ 2 สวรรคตเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1131 พิธีบรมราชาภิเษกของฟูลค์และเมลีแซงด์มีขึ้นในวันที่ 14 กันยายน ณ โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ ตรงกับวันฉลองเทิดทูนไม้กางเขน เป็นครั้งแรกที่กษัตริย์เยรูซาเล็มสวมมงกุฎในพิธีการแบบนี้ ในพิธีนี้ คูตัยฟัต ผู้ปกครองอียิปต์ได้มอบงาช้างรูปตัวที (ivory tau) ให้แด่พระเจ้าให้ฟูลค์ ซึ่งต่อมาพระองค์ส่งกลับไปยังพระราชวังที่อ็องเฌพร้อมพระบรมราชโองการให้นำมาใช้ในพิธีรับเคานต์แห่งอ็องฌู
พระเจ้าฟูลค์ทรงเริ่มต้นโดยปกครองราชอาณาจักรด้วยพระองค์เองโดยไม่ให้เมลีแซงด์มีบทบาท และพระองค์ยังโปรดปรานขุนนางจากอ็องฌูมากกว่าขุนนางในท้องถิ่น[1] รัฐนักรบครูเสดทางเหนือต่างเริ่มกลัวว่าพระเจ้าฟูลค์จะกดดันพวกเขาให้ยอมรับอำนาจเยรูซาเลมเช่นเดียวกับที่พระเจ้าโบดวงที่ 2 เคยทำ แต่พระเจ้าฟูลค์ฟูลค์ไม่มีอำนาจเท่าพระสัสสุระ รัฐทางเหนือจึงปฏิเสธอำนาจของพระองค์
อาลิกซ์แห่งแอนติออก พระกนิษฐาของเมลีแซงด์ ซึ่งเคยถูกเนรเทศโดยพระเจ้าโบดวงที่ 2 กลับมายึดแอนติออกอีกครั้งหลังจากพระบิดาสวรรคต[3] ใน ค.ศ. 1132 พระนางร่วมมือกับปง เคานต์แห่งตริโปลีและฌอแซลังที่ 2 เคานต์แห่งอิเดสซาเพื่อต่อต้านพระเจ้าฟูลค์ โดยมีการสู้รบกันช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะมีการเจรจาสงบศึกและอาลิกซ์ถูกเนรเทศอีกครั้ง
ในเยรูซาเลมเอง ชาวคริสต์รุ่นที่ 2 ที่เกิดหลังหลังสงครามครูเสดครั้งที่ 1 ต่างไม่พอใจในพระเจ้าฟูลค์ โดยเฉพาะกลุ่มที่สนับสนุนพระราชภาดาของเมลีแซงด์ อูกที่ 2 แห่งเลอปูว์เซต์ เคานต์แห่งจัฟฟา ซึ่งจงรักภักดีต่อเมลีแซงด์ พระเจ้าฟูลค์ทรงมองอูกเป็นคู่แข่ง และเมื่อบุตรเลี้ยงของอูกกล่าวหาว่าพระองค์ไม่จงรักภักดีทรยศทำให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียด
ใน ค.ศ. 1134 พระเจ้าฟูลค์กล่าวหาอูกว่ามีสัมพันธ์กับเมลีแซงด์ อูกจึงก่อกบฏ ยึดจัฟฟาไว้และร่วมมือกับชาวมุสลิมในอัสคาลอน และสามารถเอาชนะกองทัพที่พระเจ้าฟูลค์ทรงส่งมา แต่สถานการณ์ไม่ได้ยืดยาวเนื่องจาก อัครบิดรวิลเลียมแห่งมาแลงได้เข้าไกล่เกลี่ย อาจด้วยแรงผลักดันจากเมลีแซงด์ พระเจ้าฟูลค์ทรงยอมเจรจาสันติภาพ และเนรเทศอูกออกจากราชอาณาจักรเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งถือว่าเบามาก
แต่หลังจากนั้น อูกถูกลอบสังหารโดยอัศวินชาวเบรอตาญ เชื่อกันว่าพระเจ้าฟูลค์หรือพวกอาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง[3] เหตุการณ์นี้เผยให้เห็นว่าศาสนจักรอยู่ข้างเมลีแซงด์ ซึ่งพระนางเริ่มมีบทบาทสูงขึ้นในราชสำนัก นักประวัติศาสตร์ เบอร์นาร์ด แฮมิลตัน เขียนไว้ว่า: “...อย่างการแทรกแซงของอัครบิดรที่แสดงให้เห็น คือการสนับสนุนจากศาสนจักรโดยสมบูรณ์”[4] วิลเลียมแห่งไทร์ นักประวัติศาสตร์ร่วมสมัย บันทึกถึงพระเจ้าฟุลค์ไว้ว่า: “พระองค์ทรงไม่กล้าตัดสินใจใด ๆ แม้เพียงเล็กน้อย โดยไม่ได้รับความยินยอมจากพระนาง (เมลีแซงด์)” ตั้งแต่ ค.ศ. 1136 เป็นต้นมา เมลีแซงด์จึงครองอำนาจบริหารอย่างเต็มที่และไม่มีใครโต้แย้ง ก่อนปีนั้นไม่นาน พระเจ้าฟูลค์และเมลีแซงด์ก็คืนดีกัน และมีพระราชโอรสองค์ที่สองชื่อ อามอรี
การสวรรคต
[แก้]
ใน ค.ศ. 1143 ขณะพระราชาและพระราชินีประทับอยู่ที่เมืองเอเคอร์ พระเจ้าฟูลค์เสด็จสวรรคตจากอุบัติเหตุขณะทรงล่าสัตว์ ม้าของพระองค์ตื่นตกใจเพราะกระต่ายป่า จึงสะดุดล้มและอานม้าก็กระแทกพระเศียรของพระองค์[5] วิลเลียมแห่งไทร์บันทึกไว้ว่า[6] “พระมัตถลุงค์ (สมอง) ของพระองค์ทะลักออกมาทางพระกรรณและทางพระนาสิกทั้งสองข้าง” โดยพระราชาและพระราชินีเสด็จจากเมืองเอเคอร์ไกลออกไปเพื่อเยี่ยมชมแหล่งน้ำพุในชานเมือง ระหว่างการทรงม้า ข้าราชบริพารของทั้งสองพระองค์ทำกระต่ายตกใจและเริ่มไล่ล่า พระราชาก็เข้าร่วมในการไล่ล่าด้วย แต่ม้าของพระองค์สะดุดล้ม ทำให้พระเศียรพระองค์กระแทกพื้น พระเจ้าฟูลค์ทรงทนบาดแผลอยู่สี่วัน[7]ก่อนจะเสด็จสวรรคตในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1143 พระองค์ถูกฝังไว้ในโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ ณ กรุงเยรูซาเลม แผ่นหินอ่อนจากหลุมฝังพระศพของพระองค์ (หรืออาจเป็นของพระราชโอรส พระเจ้าโบดวงที่ 3) ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ใน พิพิธภัณฑ์ Terra Sancta กรุงเยรูซาเล็ม[8] แผ่นหินดังกล่าวมีลวดลายรูปดอกไม้ (rosettes) และดอกหนึ่งมีไม้กางเขนแบบปลายบาน (cross pattée) อยู่ตรงกลาง
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 Mayer, Hans E. (2024-09-18), "Angevins versus Normans: The New Men of King Fulk of Jerusalem", Kings and Lords in the Latin Kingdom of Jerusalem, London: Routledge, pp. IV–1-IV-25, ISBN 978-1-003-55627-5, สืบค้นเมื่อ 2025-04-22
- ↑ 2.0 2.1 Doherty, James; Paul, Nicholas. "Fulk V of Anjou". Independent Crusaders Project. สืบค้นเมื่อ May 7, 2025.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ 3.0 3.1 Barber, Malcolm (2012). The Crusader States. Yale University Press. ISBN 9780300189315.
- ↑ Hamilton, Bernard (1980). The Latin Church in the Crusader states: the secular church. London: Variorum Publications. ISBN 978-0-86078-072-4.
- ↑ Life among the Europeans in Palestine and Syria in the Twelfth and Thirteenth Centuries, Urban Tignor Holmes, A History of the Crusades: The Art and Architecture of the Crusader States, Volume IV, ed. Kenneth M. Setton and Harry W. Hazard, (University of Wisconsin Press, 1977), 19.
- ↑ Folda, Jaroslav (1995). The Art of the Crusaders in the Holy Land 1098-1187 (ภาษาอังกฤษ). North Carolina Chapel Hill: Cambridge University Press. ISBN 0521453836.
- ↑ William of Tyre, et al. A History of Deeds Done Beyond the Sea. Vol. 1, Columbia University Press, 1943.
- ↑ Boehm, Barbara Drake; Holcomb, Melanie (2016). Jerusalem, 1000–1400. Metropolitan Museum of Art. p. 155. ISBN 978-1-58839-598-6.
Portion of a Transenna Panel […] CTS-SB-09460
บรรณานุกรม
[แก้]- วิลเลียมแห่งไทร์
- Baker, Derek (ed.) (1978). Medieval Women, the Ecclesiastical History Society.
- Gibb, H.A.R. (trans.) (1932). The Damascus Chronicle of the Crusades, London: Luzac & Co.
- Hollister, C. Warren (2001). Frost, Amanda Clark (บ.ก.). Henry I. Yale University Press.
- John, Simon (2017). "Royal inauguration and liturgical culture in the Latin kingdom of Jerusalem, 1099–1187". Journal of Medieval History. 43 (4): 485–504.
- LoPrete, Kimberly A. (2007). Adela of Blois: Countess and Lord (c.1067-1137). Four Courts Press. ISBN 978-1-85182-563-9.
- Mayer, Hans Eberhard (1985). "The Succession to Baldwin II of Jerusalem: English Impact on the East". Dumbarton Oak Papers. Dumbarton Oaks. 39: 139–147. doi:10.2307/1291522. JSTOR 1291522.
- Paul, Nicholas L. (2012). To Follow in Their Footsteps: The Crusades and Family Memory in the High Middle Ages (1 ed.). Cornell University Press. doi:10.7591/j.cttq42cf. ISBN 978-0-8014-5097-6.
- Payne, Robert (1984). The Dream and the Tomb.
- Paul, Nicholas (2015). "Origo Consulum: Rumours of Murder, a Crisis of Lordship, and the Legendary Origins of the Counts of Anjou". French History. 29 (2): 139–160.
- แม่แบบ:Cite chapter
- Runciman, Steven (1952). A History of the Crusades. Vol. II: The Kingdom of Jerusalem. Cambridge University Press.