ข้ามไปเนื้อหา

พระเจ้าฟูลค์แห่งเยรูซาเลม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระเจ้าฟูลค์
พระมหากษัตริย์เยรูซาเลม
ครองราชย์ค.ศ. 1131–1143
ก่อนหน้าพระเจ้าโบดวงที่ 2
ถัดไปเมลีแซงด์และพระเจ้าโบดวงที่ 3
ผู้ครองราชสมบัติร่วมเมลีแซงด์
เคานต์แห่งอ็องฌู
(ในฐานะ ฟูลค์ที่ 5)
ครองราชย์ค.ศ. 1109–1129
ก่อนหน้าฟูลค์ที่ 4
ถัดไปฌอฟรัวที่ 5
เคานต์แห่งแมน
(jure uxoris)
ครองราชย์ค.ศ. 1110–1126
ก่อนหน้าเอเลียสที่ 1
ถัดไปฌอฟรัวที่ 5
ผู้ครองราชสมบัติร่วมเอเแรมบูร์แห่งแม็ง
ประสูติป. ค.ศ. 1089/1092
อ็องเฌ ราชอาณาจักรฝรั่งเศส
สวรรคต13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1143
เอเคอร์ ราชอาณาจักรเยรูซาเลม
ฝังพระศพโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ เยรูซาเลม
ชายา
พระราชบุตร
ราชวงศ์อ็องฌู
พระราชบิดาฟูลค์ที่ 4 เคานต์แห่งอ็องฌู
พระราชมารดาแบร์ทราดแห่งมงฟอร์ต

พระเจ้าฟูลค์ (ฝรั่งเศส: Foulque หรือ Foulques; ละติน: Fulco; ป. ค.ศ. 1089/1092 – 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1143) หรือที่รู้จักในชื่อ ฟูลค์ผู้น้อง (อังกฤษ: Fulk the Younger) และ ฟูลค์แห่งอ็องฌู (อังกฤษ: Fulk of Anjou) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์เยรูซาเลมระหว่าง ค.ศ. 1131 ถึง ค.ศ. 1143 โดยทรงครองราชสมบัติร่วมกับพระมเหสี เมลีแซงด์แห่งเยรูซาเลม โดยก่อนหน้านั้น พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งในนาม ฟูลค์ที่ 5 เคานต์แห่งอ็องฌู ตั้งแต่ ค.ศ. 1109 ถึง 1129 และยังเคยเป็นเคานต์แห่งแมน (Count of Maine) ระหว่าง ค.ศ. 1110 ถึง 1126 ร่วมกับพระชายาองค์แรกของพระองค์ เคาน์เตสเอเแรมบูร์ โดยเหล่าพระราชโอรสและพระราชนัดดาสายตรงของพระองค์จะกลายเป็นผู้ปกครองแห่งจักรวรรดิอ็องแฌแวงและราชอาณาจักรเยรูซาเลม

ชีวิตช่วงต้น

[แก้]

พระเจ้าฟูลค์เสด็จพระราชสมภพที่เมืองอ็องเฌ ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1089 ถึง 1092 เป็นพระโอรสของฟูลค์ที่ 4 เคานต์แห่งอ็องฌูและแบร์ทราดแห่งมงฟอร์ต ใน ค.ศ. 1092 แบร์ทราดได้ละทิ้งสามีของนางและสมรสซ้อนกับพระเจ้าฟีลิปที่ 1 แห่งฝรั่งเศส ทำให้ฟูลค์ถูกเลี้ยงดูในราชสำนักฝรั่งเศสอยู่บางช่วง ภายใน ค.ศ. 1106 ฟูลค์ที่ 4 ถูกบีบบังคับให้ยกอำนาจการปกครองเคาน์ตีให้แก่พระโอรสองค์โต คือ ฌอฟรัวที่ 4 ซึ่งเป็นพระเชษฐาต่างพระมารดาของฟูลค์ แต่ในปีเดียวกันนั้น ฌอฟรัวถูกลูกธนูสังหารหน้าปราสาทเมืองค็องเด ซึ่งในทางทฤษฎีทำให้ฟูลค์ผู้พ่อกลับคืนสู่อำนาจ แต่ฟูลค์ผู้น้องกลับกลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งคนต่อไป นักพงศาวดาร ออร์เดอริก วีตาลิส (Orderic Vitalis) ระบุว่า ฟูลค์ผู้น้องถูกบังคับให้ถวายความจงรักภักดีของอ็องฌูแด่พระเจ้าฟิลิปที่ 1 แห่งฝรั่งเศส และต่อมาเขาถูกจับเป็นเชลยและถูกคุมขังเป็นเวลาหนึ่งปีโดย กีโยมที่ 9 ดยุกแห่งอากีแตน ทั้งนี้ มีการสันนิษฐานว่าของ Chronicles of the Deeds of the Counts of Anjou (Chronica de gestis consulum Andegavorum) ฉบับแรกสุดอาจถูกเขียนขึ้นเพื่อตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ครั้งนั้น

เคานต์แห่งอ็องฌู

[แก้]
พระราชลัญจกรของพระเจ้าฟูลค์

ใน ค.ศ. 1109 พระบิดาของฟูลค์สิ้นพระชนม์และฟูลค์ที่ 5 ก็ได้สืบตำแหน่งเป็นเคานต์แห่งอ็องฌู เป็นการยุติวิกฤตกยาวนานสามปี ใน ค.ศ. 1110 พระองค์สมรสกับ เคาน์เตสเอเแรมบูร์ ซึ่งเป็นการเสริมสร้างอำนาจของอ็องฌูเหนือเคาน์ตีแมน ใน ค.ศ. 1113 เอเแรมบูร์ให้กำเนิดพระโอรส ซึ่งจะได้เป็น ฌอฟรัวที่ 5 เคานต์แห่งอ็องฌูในอนาคต

เดิมแล้ว ฟูลค์เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้าเฮนรีที่ 1 แห่งอังกฤษและสนับสนุนพระเจ้าหลุยส์ที่ 6 แห่งฝรั่งเศส แต่ใน ค.ศ. 1119 พระองค์กลับจับมือกับพระเจ้าเฮนรี เมื่อพระธิดาของฟูลค์ มาตีลด์แห่งอ็องฌูได้สมรสกับเจ้าชายวิลเลียม อาเดลิน[1] พระราชโอรสของพระเจ้าเฮนรี

ในปีเดียวกันนั้น ฟูลค์อาจได้รับแรงบันดาลใจจากข่าวความพ่ายแพ้ของกองทัพครูเสดในยุทธการที่ทุ่งโลหิต (Battle of the Field of Blood) และเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปากัลลิสตุสที่ 2 ทรงประทับอยู่ใกล้ฝรั่งเศส พระองค์จึงตัดสินพระทัยเข้าร่วมสงครามครูเสด[2] ใน ค.ศ. 1120 ระหว่างที่พระองค์เยือนเยรูซาเลม ฟูลค์ได้ไปเกี่ยวข้องกับคณะอัศวินเทมพลาร์และอาจถึงขั้นเข้าร่วมเป็นสมาชิกสามัญ (confrater) พระองค์กลายเป็นเจ้าชายยุโรปพระองค์แรกที่อุปถัมภ์คณะนี้ โดยมอบรายได้ประจำปี 30 ปอนด์อ็องฌู และให้คำมั่นว่าจะจัดกองอัศวิน 100 นายไปประจำการในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลา 1 ปี

การอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเมลีแซงด์แห่งเยรูซาเลม

[แก้]
พิธีอภิเษกสมรสของพระเจ้าฟูลค์และเมลีแซนด์เยรูซาเลม

ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1120 ความวิตกเกี่ยวกับการสืบราชบัลลังก์ของพระเจ้าโบดวงที่ 2 แห่งเยรูซาเลมและพระราชินีมอร์เฟียแห่งเมลีแตง ก็เพิ่มขึ้น ทั้งคู่มีเพียงพระราชธิดา โดยพระองค์โต คือ เมลีแซงด์แห่งเยรูซาเลม ด้วยหลายปัจจัยทำให้ฟูลค์เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากพระองค์เคยมาเยรูซาเลมและสนับสนุนราชอาณาจักรและอัศวินเทมพลาร์ พระโอรสของพระองค์ ฌอฟรัวก็บรรลุนิติภาวะใน ค.ศ. 1126 และชายาของพระองค์สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกัน เมื่อชาร์ลที่ 1 เคานต์แห่งแฟลนเดอส์ ผู้เคยเยือนเยรูซาเลมและเป็นที่นิยมถูกลอบปลงพระชมน์ใน ค.ศ. 1127 ฟูลค์จึงกลายเป็นตัวเลือกที่ชัดเจน

ในปีนั้น พระเจ้าโบดวงทรงส่งคณะทูตไปหาฟูลค์ ประกอบด้วย กีโยม เจ้าชายแห่งกาลิลี, กีที่ 1 แห่งบรีซบาร์เรและผู้ก่อตั้งและผู้นำคนแรกของอัศวินเทมพลาร์ อูกแห่งปาแย็ง โดยมีภารกิจเพื่อหาสวามีให้กับเมลีแซงด์และระดมกองทัพโจมตีดามัสกัส หลังจากหารือกับเหล่าขุนนาง พระเจ้าโบดวงทรงตัดสินพระทัยเสนอให้เมลีแซงด์สมรสกับฟูลค์ พร้อมสัญญาว่าจะจัดอภิเษกสมรสภายใน 50 วันหลังจากฟูลค์มาถึง และพระองค์จะได้ขึ้นครองราชย์หลังจากพระเจ้าโบดวงเสด็จสวรรคต ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1128 คณะทูตถึงอ็องฌู นักประวัติศาสตร์ ฮันส์ เอเบอร์ฮาร์ท ไมเออร์ วิเคราะห์ว่ามีการเจรจาอย่างละเอียดระหว่างฟูลค์กับคณะทูต ซึ่งทำให้พระเจ้าโบดวงทรงยอมรับให้ทั้งฟูลค์และเมลีแซงด์เป็น รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์ (heres regni) เพื่อป้องกันการท้าทายใดๆ ต่อการสืบราชสมบัติ วันที่ 31 พฤษภาคม ฟูลค์รับข้อเสนอโดยการ "รับกางเขน" ที่เมืองเลอม็อง[2] จากนั้นพระองค์ใช้เวลาหนึ่งปีเตรียมการ มอบอ็องฌูและแมนให้โอรส ฌอฟรัว ซึ่งสมรสกับมาทิลดา พระราชธิดาของพระเจ้าเฮนรีที่ 1 แต่พระองค์ยังไม่สละตำแหน่งเคานต์ อาจเพื่อป้องกันแผนเยรูซาเลมล้มเหลว มีนาคม ค.ศ. 1129 ฟูลค์ออกเดินทางสู่เยรูซาเลม พร้อมอัศวินจากอ็องฌูและพื้นที่โดยรอบ ถึงในเดือนพฤษภาคมและฟูลค์กับเมลีแซงด์ได้อภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 1129 ตรงกับเทศกาลเพนเทคอสต์ โดยพระเจ้าโบดวงมอบเมืองเอเคอร์และไทร์เป็นสินสอด ในฤดูหนาวปีนั้น ฟูลค์และกองทัพที่อูกแห่งปาแย็งจัดหาจากยุโรปได้โจมตีเมืองดามัสกัส

พระมหากษัตริย์เยรูซาเลม

[แก้]
พิธีบรมราชาภิเษกของพระเจ้าฟูลค์และเมลีแซนด์เยรูซาเลม

พระเจ้าโบดวงที่ 2 สวรรคตเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1131 พิธีบรมราชาภิเษกของฟูลค์และเมลีแซงด์มีขึ้นในวันที่ 14 กันยายน ณ โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ ตรงกับวันฉลองเทิดทูนไม้กางเขน เป็นครั้งแรกที่กษัตริย์เยรูซาเล็มสวมมงกุฎในพิธีการแบบนี้ ในพิธีนี้ คูตัยฟัต ผู้ปกครองอียิปต์ได้มอบงาช้างรูปตัวที (ivory tau) ให้แด่พระเจ้าให้ฟูลค์ ซึ่งต่อมาพระองค์ส่งกลับไปยังพระราชวังที่อ็องเฌพร้อมพระบรมราชโองการให้นำมาใช้ในพิธีรับเคานต์แห่งอ็องฌู

พระเจ้าฟูลค์ทรงเริ่มต้นโดยปกครองราชอาณาจักรด้วยพระองค์เองโดยไม่ให้เมลีแซงด์มีบทบาท และพระองค์ยังโปรดปรานขุนนางจากอ็องฌูมากกว่าขุนนางในท้องถิ่น[1] รัฐนักรบครูเสดทางเหนือต่างเริ่มกลัวว่าพระเจ้าฟูลค์จะกดดันพวกเขาให้ยอมรับอำนาจเยรูซาเลมเช่นเดียวกับที่พระเจ้าโบดวงที่ 2 เคยทำ แต่พระเจ้าฟูลค์ฟูลค์ไม่มีอำนาจเท่าพระสัสสุระ รัฐทางเหนือจึงปฏิเสธอำนาจของพระองค์

อาลิกซ์แห่งแอนติออก พระกนิษฐาของเมลีแซงด์ ซึ่งเคยถูกเนรเทศโดยพระเจ้าโบดวงที่ 2 กลับมายึดแอนติออกอีกครั้งหลังจากพระบิดาสวรรคต[3] ใน ค.ศ. 1132 พระนางร่วมมือกับปง เคานต์แห่งตริโปลีและฌอแซลังที่ 2 เคานต์แห่งอิเดสซาเพื่อต่อต้านพระเจ้าฟูลค์ โดยมีการสู้รบกันช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะมีการเจรจาสงบศึกและอาลิกซ์ถูกเนรเทศอีกครั้ง

ในเยรูซาเลมเอง ชาวคริสต์รุ่นที่ 2 ที่เกิดหลังหลังสงครามครูเสดครั้งที่ 1 ต่างไม่พอใจในพระเจ้าฟูลค์ โดยเฉพาะกลุ่มที่สนับสนุนพระราชภาดาของเมลีแซงด์ อูกที่ 2 แห่งเลอปูว์เซต์ เคานต์แห่งจัฟฟา ซึ่งจงรักภักดีต่อเมลีแซงด์ พระเจ้าฟูลค์ทรงมองอูกเป็นคู่แข่ง และเมื่อบุตรเลี้ยงของอูกกล่าวหาว่าพระองค์ไม่จงรักภักดีทรยศทำให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียด

ใน ค.ศ. 1134 พระเจ้าฟูลค์กล่าวหาอูกว่ามีสัมพันธ์กับเมลีแซงด์ อูกจึงก่อกบฏ ยึดจัฟฟาไว้และร่วมมือกับชาวมุสลิมในอัสคาลอน และสามารถเอาชนะกองทัพที่พระเจ้าฟูลค์ทรงส่งมา แต่สถานการณ์ไม่ได้ยืดยาวเนื่องจาก อัครบิดรวิลเลียมแห่งมาแลงได้เข้าไกล่เกลี่ย อาจด้วยแรงผลักดันจากเมลีแซงด์ พระเจ้าฟูลค์ทรงยอมเจรจาสันติภาพ และเนรเทศอูกออกจากราชอาณาจักรเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งถือว่าเบามาก

แต่หลังจากนั้น อูกถูกลอบสังหารโดยอัศวินชาวเบรอตาญ เชื่อกันว่าพระเจ้าฟูลค์หรือพวกอาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง[3] เหตุการณ์นี้เผยให้เห็นว่าศาสนจักรอยู่ข้างเมลีแซงด์ ซึ่งพระนางเริ่มมีบทบาทสูงขึ้นในราชสำนัก นักประวัติศาสตร์ เบอร์นาร์ด แฮมิลตัน เขียนไว้ว่า: “...อย่างการแทรกแซงของอัครบิดรที่แสดงให้เห็น คือการสนับสนุนจากศาสนจักรโดยสมบูรณ์”[4] วิลเลียมแห่งไทร์ นักประวัติศาสตร์ร่วมสมัย บันทึกถึงพระเจ้าฟุลค์ไว้ว่า: “พระองค์ทรงไม่กล้าตัดสินใจใด ๆ แม้เพียงเล็กน้อย โดยไม่ได้รับความยินยอมจากพระนาง (เมลีแซงด์)” ตั้งแต่ ค.ศ. 1136 เป็นต้นมา เมลีแซงด์จึงครองอำนาจบริหารอย่างเต็มที่และไม่มีใครโต้แย้ง ก่อนปีนั้นไม่นาน พระเจ้าฟูลค์และเมลีแซงด์ก็คืนดีกัน และมีพระราชโอรสองค์ที่สองชื่อ อามอรี

การสวรรคต

[แก้]
พระเจ้าฟูลค์แห่งเยรุซเลมทรงตกจากหลังม้าขณะทรงกำลังไล่ล่ากระต่ายป่า จากต้นฉบับประกอบภาพของ Estoire d'Eracles (ระหว่าง ค.ศ. 1275–1325) จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะวอลเทอร์ส เมืองบัลติมอร์.

ใน ค.ศ. 1143 ขณะพระราชาและพระราชินีประทับอยู่ที่เมืองเอเคอร์ พระเจ้าฟูลค์เสด็จสวรรคตจากอุบัติเหตุขณะทรงล่าสัตว์ ม้าของพระองค์ตื่นตกใจเพราะกระต่ายป่า จึงสะดุดล้มและอานม้าก็กระแทกพระเศียรของพระองค์[5] วิลเลียมแห่งไทร์บันทึกไว้ว่า[6] “พระมัตถลุงค์ (สมอง) ของพระองค์ทะลักออกมาทางพระกรรณและทางพระนาสิกทั้งสองข้าง” โดยพระราชาและพระราชินีเสด็จจากเมืองเอเคอร์ไกลออกไปเพื่อเยี่ยมชมแหล่งน้ำพุในชานเมือง ระหว่างการทรงม้า ข้าราชบริพารของทั้งสองพระองค์ทำกระต่ายตกใจและเริ่มไล่ล่า พระราชาก็เข้าร่วมในการไล่ล่าด้วย แต่ม้าของพระองค์สะดุดล้ม ทำให้พระเศียรพระองค์กระแทกพื้น พระเจ้าฟูลค์ทรงทนบาดแผลอยู่สี่วัน[7]ก่อนจะเสด็จสวรรคตในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1143 พระองค์ถูกฝังไว้ในโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ ณ กรุงเยรูซาเลม แผ่นหินอ่อนจากหลุมฝังพระศพของพระองค์ (หรืออาจเป็นของพระราชโอรส พระเจ้าโบดวงที่ 3) ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ใน พิพิธภัณฑ์ Terra Sancta กรุงเยรูซาเล็ม[8] แผ่นหินดังกล่าวมีลวดลายรูปดอกไม้ (rosettes) และดอกหนึ่งมีไม้กางเขนแบบปลายบาน (cross pattée) อยู่ตรงกลาง


อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 Mayer, Hans E. (2024-09-18), "Angevins versus Normans: The New Men of King Fulk of Jerusalem", Kings and Lords in the Latin Kingdom of Jerusalem, London: Routledge, pp. IV–1-IV-25, ISBN 978-1-003-55627-5, สืบค้นเมื่อ 2025-04-22
  2. 2.0 2.1 Doherty, James; Paul, Nicholas. "Fulk V of Anjou". Independent Crusaders Project. สืบค้นเมื่อ May 7, 2025.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  3. 3.0 3.1 Barber, Malcolm (2012). The Crusader States. Yale University Press. ISBN 9780300189315.
  4. Hamilton, Bernard (1980). The Latin Church in the Crusader states: the secular church. London: Variorum Publications. ISBN 978-0-86078-072-4.
  5. Life among the Europeans in Palestine and Syria in the Twelfth and Thirteenth Centuries, Urban Tignor Holmes, A History of the Crusades: The Art and Architecture of the Crusader States, Volume IV, ed. Kenneth M. Setton and Harry W. Hazard, (University of Wisconsin Press, 1977), 19.
  6. Folda, Jaroslav (1995). The Art of the Crusaders in the Holy Land 1098-1187 (ภาษาอังกฤษ). North Carolina Chapel Hill: Cambridge University Press. ISBN 0521453836.
  7. William of Tyre, et al. A History of Deeds Done Beyond the Sea. Vol. 1, Columbia University Press, 1943.
  8. Boehm, Barbara Drake; Holcomb, Melanie (2016). Jerusalem, 1000–1400. Metropolitan Museum of Art. p. 155. ISBN 978-1-58839-598-6. Portion of a Transenna Panel […] CTS-SB-09460

บรรณานุกรม

[แก้]