พระเจ้าซันโชที่ 3 แห่งกัสติยา
| พระเจ้าซันโชที่ 3 | |
|---|---|
พระเจ้าซันที่ 3 แห่งกัสติยาในเอกสารภาษากัสติยา พงศาวดารกษัตริย์โดยย่อ (ค.ศ. 1312-1325) ปัจจุบันอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติสเปน | |
| กษัตริย์แห่งกัสติยาและโตเลโด | |
| ครองราชย์ | 21 สิงหาคม ค.ศ. 1157 – 31 สิงหาคม ค.ศ. 1158 |
| รัชกาลก่อนหน้า | พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 7 แห่งเลออนและกัสติยา |
| รัชกาลถัดไป | พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 แห่งกัสติยา |
| ประสูติ | ค.ศ. 1134 โตเลโด |
| สิ้นพระชนม์ | 31 สิงหาคม ค.ศ. 1158 (23–24 พรรษา) |
| ฝังพระศพ | อาสนวิหารโตเลโด |
| พระมเหสี | บลังกาแห่งนาวาร์ พระราชินีแห่งกัสติยา |
| พระบุตร | พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 แห่งกัสติยา อินฟันเตการ์เซีย |
| ราชวงศ์ | ราชวงศ์บูร์กอญของกัสติยา |
| พระบิดา | พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 7 แห่งเลออนและกัสติยา |
| พระมารดา | บารังเกราแห่งบาร์เซโลนา |
พระเจ้าซันโชที่ 3 (สเปน: Sancho III) หรือ พระเจ้าซันโชผู้เป็นที่ปรารถนา (Sancho El Deseado)[1] เสด็จพระราชสมภพ ค.ศ. 1134 สิ้นพระชนม์ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1158 ที่โตเลโด อาณาจักรกัสติยา กษัตริย์แห่งกัสติยาผู้ครองราชย์ได้เพียงปีเดียว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1157 ถึงปี ค.ศ. 1158 พระองค์เป็นพระโอรสของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 7 แห่งเลออนและกัสติยากับพระมเหสี บารังเกราแห่งบาร์เซโลนา ฉายานามของพระองค์ได้มาจากการเป็นพระโอรสธิดาคนแรกของพระบิดามารดาที่ประสูติหลังการแต่งงานแปดปีที่ไร้ทายาท
ชีวประวัติ
[แก้]พระเจ้าซันโชเป็นพระโอรสคนโตของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 7 แห่งเลออนและกัสติยากับบารังเกราแห่งบาร์เซโลนา[2] ตามพินัยกรรม พระบิดาของพระองค์ได้แบ่งอาณาจักรให้พระโอรสสองคน ซันโชได้สืบทอดอาณาจักรกัสติยาและโตเลโด ส่วนเฟร์นันโดได้สืบทอดเลออน[3] สองพี่น้องเพิ่งลงนามในสนธิสัญญาเสร็จหมาด ๆ ในตอนที่พระเจ้าซันโชสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันในฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1158 และถูกฝังที่โตเลโด[4]
พระองค์อภิเษกสมรสในปี ค.ศ. 1151 กับบลังกาแห่งนาวาร์ พระธิดาของพระเจ้าการ์ซิอา รามิเรซแห่งนาวาร์[5] และมีพระโอรสสองคน คือ
- พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 แห่งกัสติยา ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระบิดา[6]
- อินฟันเตการ์ซิอา สิ้นพระชนม์ตอนประสูติในปี ค.ศ. 1156 ทั้งยังส่งผลให้พระราชินีบลังกาสิ้นพระชนม์[7]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ The early 13th-century historian Rodrigo Jiménez de Rada called him desiderabilis Sancius.
- ↑ Van-Houts 2013, p. 160.
- ↑ Linehan 2011, p. 8.
- ↑ O'Callaghan 1975, p. 235.
- ↑ Hourihane 2012, p. 548.
- ↑ Shadis & Berman 2002, p. 204.
- ↑ del Alamo & Pendergast 2000, p. 45.