พระเจ้าซันโชที่ 1 แห่งปัมโปลนา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ซันโชที่ 1
กษัตริย์แห่งปัมโปลนา
ครองราชย์ค.ศ. 905–925
รัชกาลก่อนหน้าพระเจ้าฟอร์ตูน การ์เซสแห่งปัมโปลนา
รัชกาลถัดไปพระเจ้าฆิเมโน การ์เซสแห่งปัมโปลนา
ประสูติค.ศ. 860
สิ้นพระชนม์10 ธันวาคม ค.ศ. 925
ฝังพระศพปราสาทซันเอสเตบันเดอิโย
บียามายอร์เดมอนฆาร์ดิน
พระบุตรพระเจ้าการ์เซีย ซันเชซที่ 1 แห่งปัมโปลนา
อูร์รากา ซันเชซแห่งปัมโปลนา
ออเนกา
ซันชา
บาลัสกีตา
ออร์บิตา
ราชวงศ์ฆิเมเนซ
พระบิดาการ์เซีย ฆิเมเนสแห่งปัมโปลนา
พระมารดาดาดิลดิส เด ปายาร์ส

ซันโชที่ 1 การ์เซส (สเปน: Sancho I Garcés) สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 925 ครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งปัมโปลนา (นาวาร์) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 905 พระองค์ขยายราชอาณาจักรไปทางตอนใต้ของแม่น้ำเอโบรและรักษาเอกราชไว้ได้ แม้จะโดนอับดุลระห์มันที่ 3 กาหลิบแห่งกอร์โดบาของราชวงศ์อุมัยยัดปล้นทำลายเมืองหลวงในปี ค.ศ. 924

ประวัติ[แก้]

พระเจ้าซันโช การ์เซสเสด็จพระราชสมภพราวปี ค.ศ. 860 ทรงเป็นบุตรชายของการ์เซีย ฆิเมเนสกับภรรยาคนที่สอง ดาดีลดีส เด ปายาร์ส[1] ในช่วงที่พระเจ้าการ์เซีย อีนญีเกซสิ้นพระชนม์ พระองค์ปกครองหุบเขาออนเซยาซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนทางตะวันตกของราชอาณาจักร พระองค์ยึดอำนาจนครปัมโปลนาได้ในตอนที่พระเจ้าฟอร์ตูน การ์เซสยังเป็นกษัตริย์อยู่ โดยมีพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 3 แห่งอัสตูเรียสและเคานต์แห่งปายาร์สให้ความช่วยเหลือ ทั้งสองวางแผนร่วมกับขุนนางปัมโปลนาในการกำจัดพระโอรสธิดาของกษัตริย์ออกจากการสืบทอดบัลลังก์ เพื่อให้บัลลังก์ตกเป็นของโตดา พระนัดดาของกษัตริย์ที่แต่งงานกับซันโช การ์เซส พระองค์ประกาศตนเป็นกษัตริย์แห่งปัมโปลนาในปี ค.ศ. 905[2]

ตลอดการครองราชย์ พระองค์พัวพันกับการวิวาทกับกลุ่มผู้นำมุสลิมทางตอนใต้ซึ่งประสบความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า ในปี ค.ศ. 907 พระองค์เผชิญหน้าและสังหารพันธมิตรเก่าลับบ์ อิบน์ มุฮัมมัด ในสนามรบ สี่ปีต่อมาทรงเผชิญหน้ากับ กาลีนโด อัซนาเรซ พันธมิตรเก่าอีกคนที่ร่วมมือกับมุฮัมมัด อัลตาวิล น้องเขยของตน และอับดุลเลาะห์ อิบน์ ลับบิน กะซิ โจมตีพระเจ้าซันโชแต่ก็ถูกปราบได้ อัลตาวิลหนีไปแต่ไม่นานก็ถูกสังหาร อำนาจของบะนุกะซิเสียหายอย่างหนัก ขณะที่กาลีนโดถูกบีบให้ยอมเป็นข้าราชบริเวารของพระเจ้าซันโช นำไปสู่การรวมอารากอนเขากับราชอาณาจักรปัมโปลนา ในปี ค.ศ. 920 พระองค์จับมือกับเบร์นาร์ดที่ 1 แห่งริบาโกร์ซาและอามรัส อิบน์ มูฮัมมัด บุตรชายของมุฮัมมัด อัลตาวิล โจมตีมอนซอนที่อยู่ในกาครอบครองของบะนุกะซิ ความสำเร็จที่ได้ทำให้พระองค์ได้นาวาร์ล่างมาอยู่ในการครอบครองและขยายอาณาเขตไปไกลถึงนาเฆรา ในปี ค.ศ. 924 พระองค์ก่อตั้งอารามซันมาร์ตีงเดอัลเบดาเพื่อขอบคุณพระเจ้าที่ประทานชัยชนะให้

พระองค์สิ้นพระชนม์แถวนครเรซาที่อยู่ใกล้แม่น้ำเอโบรเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 925 และถูกฝังในบียามายอร์เดมอนฆาร์ดีน การ์เซีย พระโอรสของพระองค์มีพระชนมายุเพียง 7 พรรษา ผู้สืบทอดตำแหน่งของพระเจ้าซันโชจึงเป็นพระอนุชา ฆิเมโน การ์เซส

การอภิเษกสมรสและทายาท[แก้]

พระเจ้าซันโช การ์เซียอภิเษกสมรสกับโตดา อัซนาเรซ บุตรสาวของเคานต์อัซนาร์ ซานเชสกับออนเนกา ฟอร์ตูเนสซึ่งเป็นพระธิดาของพระเจ้าฟอร์ตูน การ์เซส ทั้งคู่มีพระโอรสด้วยกันหนึ่งคนคือการเซีย กับพระธิดาห้าคนที่ทุกคนยกเว้นออร์บิตาแต่งงานกับกษัตริย์แห่งเลออนหรือไม่ก็ท่านเคานต์[3]

  • พระเจ้าการ์เซีย ซานเชสที่ 1 แห่งปัมโปลนา[3] ครองราชย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 925 ถึง ค.ศ. 970 อภิเษกสมรสครั้งแรกกับอันเดรโกโต กาลีนเดซ บุตรสาวของกาลีนโด อัซนาเรซที่ 2 เคานต์แห่งอารากอน แต่งงานครั้งที่สองกับเตเรซา รามีเรซ พระธิดาของพระเจ้ารามีโรที่ 2 แห่งเลออน
  • อูร์รากา ซันเชส เป็นพระราชินีแห่งเลออนจากการอภิเษกสมรสกับพระเจ้ารามีโรที่ 2 แห่งเลออน[4] เป็นพระราชินีตั้งแต่ปี ค.ศ. 931 ถึง ค.ศ. 951
  • ออเนกา ซานเชส เป็นพระราชินีแห่งเลออนจากการอภิเษกสมรสกับพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 4 แห่งเลออน[5] เป็นพระราชินีตั้งแต่ปี ค.ศ. 926 ถึง ค.ศ. 931
  • ซันชา ซันเชส (สิ้นพระชนม์ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 949 ถึง ค.ศ. 963) เป็นพระราชินีแห่งเลออนจากการอภิเษกสมรสกับพระเจ้าออร์ดอนโญที่ 2 แห่งเลออน[4] หลังกษัตริย์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 924 พระองค์แต่งงานกับอาเบโน เฮร์ราเมลีซ เคานต์แห่งอาลาบาที่ต่อมาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 931 พระองค์จึงแต่งงานใหม่กับเฟร์นัน กอนซาเลซ เคานต์แห่งกัสติยา[4] ที่สืบทอดตำแหน่งเป็นเคานต์แห่งอาลาบาต่อจากสามีคนที่สองของพระองค์
  • เบลัสกีตา ซานเชส แต่งงานครั้งแรกกับมูนีโอ เบลัซ เคานต์แห่งอาลาบา ครั้งที่สองกับกาลีโดแห่งริบาร์โกซา และครั้งที่สามกับฟอร์ตูน กาลีนเดซ[4]
  • ออร์บิตา ซานเชส

พระองค์ยังมีบุตรสาวนอกสมรสอีกหนึ่งคน คือ ลูปา ซานเชสที่ต่ามาแต่งงานกับแดโทที่ 2 เคานต์แห่งบีกอร์เร ทั้งคู่มีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน คือ แรมงที่ 1 เคานต์แห่งบิกอร์เร[4]

อ้างอิง[แก้]

  1. Lacarra 1945, pp. 205, 209.
  2. Martínez Díez 2007, p. 26.
  3. 3.0 3.1 Lacarra 1945, p. 209.
  4. 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 Lacarra 1945, p. 210.
  5. Lacarra 1945, pp. 209–210.