พระเจ้าคอนราดิน
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
| พระเจ้าคอนราดิน | |
|---|---|
พระเจ้าคอนราดผู้น้อย จากโคเด็กซ์มาเนเซ (แผ่นที่ 7 ด้านขวา) ราว ค.ศ. 1304 | |
| พระมหากษัตริย์เยรูซาเลม | |
| ครองราชย์ | 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1254 – 29 ตุลาคม ค.ศ. 1268 |
| ก่อนหน้า | พระเจ้าคอนราดที่ 2 |
| ถัดไป | พระเจ้าฮิวที่ 1 |
| พระมหากษัตริย์ซิซิลี | |
| ครองราชย์ | 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1254 – ค.ศ. 1258 |
| ก่อนหน้า | พระเจ้าคอนราดที่ 1 |
| ถัดไป | พระเจ้ามันเฟรดแห่งซิซิลี |
| ดยุกแห่งสเวเบีย | |
| ครองราชย์ | 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1254 – 29 ตุลาคม ค.ศ. 1268 |
| ก่อนหน้า | พระเจ้าคอนราดที่ 3 |
| ถัดไป | รูดอล์ฟที่ 2 แห่งออสเตรีย (โดยตำแหน่ง) |
| ประสูติ | 25 มีนาคม ค.ศ. 1252 ปราสาทวอล์ฟชไตน์ ใกล้กับลันทซ์ฮูท บาวาเรีย จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ |
| สวรรคต | 29 ตุลาคม ค.ศ. 1268 (16 ปี) นาโปลี ราชอาณาจักรซิซิลี |
| ฝังพระศพ | บาซีลีกาดีซานตามารีอาเดลการ์มีเน นาโปลี |
| ราชวงศ์ | โฮเอินชเตาเฟิน |
| พระราชบิดา | พระเจ้าคอนราดที่ 4 แห่งเยอรมนี |
| พระราชมารดา | เอลีซาเบ็ทแห่งบาวาเรีย |
พระเจ้าคอนราดที่ 3 หรือที่เรียกอย่างย่อว่า พระเจ้าคอนราดิน (เยอรมัน: Konradin; อิตาลี: Corradino) เป็นทายาทสายตรงพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์โฮเอินชเตาเฟิน พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งดยุกแห่งสเวเบีย (ค.ศ. 1254–1268) และเป็นพระมหากษัตริย์เยรูซาเลมโดยตำแหน่ง (ค.ศ. 1254–1268) รวมถึงพระมหากษัตริย์ซิซิลี (ค.ศ. 1254–1258) ภายหลังจากที่พระองค์พยายามทวงคืนราชอาณาจักรซิซิลีให้แก่ราชวงศ์โฮเอินชเตาเฟินแต่ไม่สำเร็จ พระองค์จึงถูกจับกุมและประหารชีวิตโดยการตัดพระเศียร
วัยเด็กตอนต้น
[แก้]พระเจ้าคอนราดินประสูติ ณ เมืองโวล์ฟชไตน์ แคว้นบาวาเรีย เป็นพระโอรสของพระเจ้าคอนราดที่ 4 แห่งเยอรมนี และเอลีซาเบ็ทแห่งบาวาเรีย แม้ว่าพระองค์จะมิได้ทรงสืบราชสมบัติเป็นกษัตริย์โรมัน-เยอรมันต่อจากพระราชบิดา แต่พระองค์ก็ได้รับการยอมรับจากผู้สนับสนุนราชวงศ์โฮเอินชเตาเฟินให้เป็นพระมหากษัตริย์ซิซิลีและเยรูซาเลมในปี ค.ศ. 1254
ภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระราชบิดาในปี ค.ศ. 1254 พระเจ้าคอนราดินทรงเติบโตภายใต้การดูแลของลุงและผู้สำเร็จราชการ คือ หลุยส์ที่ 2 ดยุกแห่งบาวาเรีย[1] ผู้ซึ่งสามารถรักษาอำนาจการปกครองเหนือดัชชีแห่งสเวเบียไว้ให้พระองค์ได้ สำหรับอาณาจักรเยรูซาเลม มีพระญาติจากราชวงศ์ไซปรัสทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ส่วนในซิซิลี มันเฟรด พระอนุชาต่างพระมารดาของพระราชบิดา ยังคงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเช่นกัน แต่ภายหลังได้เริ่มวางแผนเพื่อช่วงชิงราชบัลลังก์มาเป็นของตนเอง
มีข้อมูลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับพระวรกายและพระอุปนิสัยของพระเจ้าคอนราดิน นอกจากคำบรรยายที่กล่าวว่าพระองค์ "งดงามดุจอับซาโลม และสามารถตรัสภาษาละตินได้อย่างคล่องแคล่ว"[1] แม้ว่าพระราชบิดาจะทรงมอบหมายให้ศาสนจักรเป็นผู้ดูแลการศึกษาและการอภิบาลของพระองค์ แต่สมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 4 ทรงคัดค้านการสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์โรมัน-เยอรมัน และได้ทรงเสนอให้มอบที่ดินของราชวงศ์โฮเอินชเตาเฟินในเยอรมนีแก่พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 10 แห่งกัสติยา และริชาร์ดแห่งคอร์นวอลล์แทน[1][2][3]
อาชีพทางการเมืองและการทหาร
[แก้]ภายหลังจากที่ได้รับตำแหน่งพระมหากษัตริย์เยรูซาเลมและซิซิลีโดยตำแหน่งแล้ว พระเจ้าคอนราดินได้เริ่มครอบครองดัชชีแห่งสเวเบียในปี ค.ศ. 1262 และพำนักอยู่ที่นั่นชั่วระยะหนึ่ง[1] คำเชิญครั้งแรกให้พระองค์เดินทางไปอิตาลีมาจากกลุ่มเกลฟ์แห่งฟลอเรนซ์ ซึ่งขอให้พระองค์จับอาวุธต่อต้านมันเฟรดซึ่งได้สวมมงกุฎเป็นพระมหากษัตริย์ซิซิลีเมื่อปี ค.ศ. 1258 อันเนื่องมาจากข่าวลือเท็จที่แพร่สะพัดว่าคอนราดินสิ้นพระชนม์แล้ว อย่างไรก็ตาม หลุยส์ปฏิเสธคำเชิญนั้นในนามของหลานชาย ต่อมาในปี ค.ศ. 1266 เคานต์ชาลส์ที่ 1 แห่งอ็องฌู ซึ่งถูกเรียกตัวโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 4 พระสันตะปาปาองค์ใหม่ ได้ยกทัพเอาชนะและสังหารมันเฟรดที่เบเนเวนโต พร้อมเข้าครอบครองอิตาลีตอนใต้ ภายหลังจากเหตุการณ์นั้น คณะทูตจากนครต่าง ๆ ในกลุ่มกิเบลลิเนได้เดินทางไปยังแคว้นบาวาเรีย เพื่อวิงวอนให้พระเจ้าคอนราดินเสด็จมาปลดปล่อยอิตาลี เคานต์กุยโด เด มอนเตเฟลโตร ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเฮนรีแห่งกัสติยา วุฒิสมาชิกแห่งกรุงโรม ได้ถวายคำมั่นว่าจะสนับสนุนพระองค์จาก "นครนิรันดร์" หรือกรุงโรม พระองค์จึงทรงนำที่ดินของพระองค์ไปจำนำ แล้วเสด็จข้ามเทือกเขาแอลป์ ก่อนจะออกแถลงการณ์ที่เมืองเวโรนา เพื่อยืนยันการอ้างสิทธิ์ของตนเหนือราชอาณาจักรซิซิลี[1]
แม้ว่าจะมีผู้แปรพักตร์หลายคน เช่น ลุงของพระองค์คือหลุยส์ และสหายบางส่วนที่เดินทางกลับเยอรมนี อีกทั้งยังมีการข่มขู่จากสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 4 รวมถึงการขาดแคลนเงินทุน แต่ดูเหมือนว่าภารกิจของพระองค์ยังคงดำเนินไปได้ด้วยดี[1] พรรคพวกของพระองค์ ซึ่งรวมถึงเจ้าชายเฮนรีแห่งกัสติยา ทั้งในอิตาลีเหนือและใต้ ได้จับอาวุธขึ้นและประกาศยอมรับพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ซิซิลี กรุงโรมได้ต้อนรับคณะทูตของพระองค์ด้วยความกระตือรือร้น และกษัตริย์หนุ่มพระองค์นี้ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่เมืองปาวีอา ปิซา และซีเอนา ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1267 กองเรือสเปนภายใต้การนำของฟรีดริชแห่งกัสติยา พร้อมด้วยอัศวินจากปิซาและสเปนที่กลับมาจากตูนิส ได้ยกพลขึ้นบกที่เมืองชีอักคา บนเกาะซิซิลี ดินแดนส่วนใหญ่ของเกาะได้ลุกฮือต่อต้านการปกครองของพวกอ็องเฌอแว็ง เหลือเพียงเมืองปาแลร์โมและเมสซีนาเท่านั้นที่ยังคงภักดีต่อชาลส์ การกบฏได้ขยายวงไปถึงแคว้นคาลาเบรียและแคว้นปุลยา ในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกันนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาได้ประกาศขับไล่คอนราดินออกจากศาสนา อย่างไรก็ตาม กองเรือของพระองค์สามารถเอาชนะกองเรือของพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอ็องฌูได้ และในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1268 พระเจ้าคอนราดินได้เสด็จเข้าสู่กรุงโรม ท่ามกลางการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่จากประชาชน

ภายหลังจากที่เสริมกำลังพลแล้ว พระเจ้าคอนราดินได้ยกทัพมุ่งหน้าไปยังเมืองลูเชรา เพื่อรวมกับกองทหารมุสลิมชาวซิซิลี[1] ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่สมัยพระอัยกา (จักรพรรดิฟรีดริชที่ 2) เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1268 กองทัพพันธมิตรของพระองค์ ซึ่งประกอบด้วยทหารจากอิตาลี สเปน โรมัน ซิซิลี และเยอรมนี ได้เผชิญหน้ากับกองทัพของพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอ็องฌู ณ ทัลยาคอซโซ บนภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาทางตอนกลางของอิตาลี ในช่วงแรกของการรบ ดูเหมือนว่ากองทัพของคอนราดิน โดยเฉพาะอัศวินชาวสเปนที่นำโดยอินฟันเต เฮนรีแห่งกัสติยา ซึ่งสามารถเข้าตีและยึดธงของอ็องเฌอแว็งได้ จะมีชัยเหนือคู่ต่อสู้ อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์อันแยบยลของชาลส์ ที่ได้ซ่อนกองทหารม้าฝรั่งเศสชั้นยอดไว้หลังแนวเนินเขา ทำให้สถานการณ์พลิกผัน เมื่อกองทหารดังกล่าวบุกเข้าสู่สนามรบอย่างไม่คาดคิด กองทัพของคอนราดินจึงพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง หลังความพ่ายแพ้ พระเจ้าคอนราดินเสด็จหลบหนีไปยังกรุงโรม แต่ภายหลังได้รับคำแนะนำให้ออกจากเมือง พระองค์จึงเสด็จต่อไปยังอัสตูรา เพื่อพยายามแล่นเรือหลบหนีไปยังซิซิลี ทว่าเมื่อเสด็จถึงที่หมาย พระองค์ก็ถูกจับกุมและส่งมอบให้แก่ชาลส์ ซึ่งสั่งคุมขังไว้ที่ปราสาทกัสเตลเดลโอโว เมืองนาโปลี ร่วมกับพระเจ้าฟรีดริชแห่งบาเดิน ผู้ซึ่งอยู่เคียงข้างพระองค์ตลอดมา ในวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1268 พระเจ้าคอนราดินและฟรีดริชแห่งบาเดินถูกประหารชีวิตโดยการตัดศีรษะ[4][2][3]
อ้างอิง
[แก้]- 1 2 3 4 5 6 7
ประโยคหรือส่วนของบทความก่อนหน้านี้ ประกอบด้วยข้อความจากสิ่งพิมพ์ซึ่งปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติ: Chisholm, Hugh, บ.ก. (1911). . สารานุกรมบริตานิกา ค.ศ. 1911. Vol. 6 (11 ed.). สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. pp. 968–969. - 1 2 Sandra Benjamin (20 April 2010). Sicily: Three Thousand Years of Human History - 7 - Hohenstaufens. Steerforth Press. pp. 292–. ISBN 978-1-58642-181-6.
- 1 2 Christopher Kleinhenz (2 August 2004). Medieval Italy: An Encyclopedia. Routledge. p. 247. ISBN 978-1-135-94880-1.
- ↑ Lukas Strehle (19 October 2011). Die Hinrichtung Konradins von Hohenstaufen – Reaktionen der Zeitgenossen und Rezeption der Nachwelt. Grin. สืบค้นเมื่อ 28 February 2020.