พญามังราย
พญามังราย | |
---|---|
![]() | |
พระมหากษัตริย์แห่งล้านนา พระองค์ที่ 1 | |
ครองราชย์ | พ.ศ. 1805–1854 (49 ปี) |
ก่อนหน้า | ตนเองในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งหิรัญนครเงินยางเชียงลาว |
ถัดไป | พญาไชยสงคราม |
พระมหากษัตริย์แห่งหิรัญนครเงินยางเชียงลาว | |
ครองราชย์ | พ.ศ. 1802–1805 (3 ปี) |
ก่อนหน้า | ลาวเมง |
ถัดไป | ตนเองในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งล้านนา |
ราชวงศ์ | มังราย |
พระราชบิดา | ลาวเมง |
พระราชมารดา | นางเทพคำข่าย |
พระราชสมภพ | พ.ศ. 1782 หิรัญนครเงินยางเชียงลาว |
สวรรคต | พ.ศ. 1854 (72 พรรษา) เชียงใหม่, อาณาจักรล้านนา |
พญามังราย[1] (คำเมือง: ᨻᩕ᩠ᨿᩣᨾᩢ᩠ᨦᩁᩣ᩠ᨿ; พ.ศ. 1782–1854[1]) เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 25 แห่งหิรัญนครเงินยางเชียงลาว เสด็จขึ้นเสวยราชย์เมื่อ พ.ศ. 1802[1] พระองค์ทรงสร้างเมืองหลายแห่ง เป็นต้นว่า เมืองเชียงราย (ในจังหวัดเชียงรายปัจจุบัน), เวียงกุมกาม, และเมืองเชียงใหม่ (ในจังหวัดเชียงใหม่ปัจจุบัน) ซึ่งภายหลังเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา จึงถือกันว่า พระองค์เป็นปฐมกษัตริย์ของอาณาจักรล้านนาด้วย[1]
พระนาม[แก้]
"มังราย" เป็นพระนามที่ปรากฏในเอกสารชั้นต้นทุกชนิด ทั้งจารึก ใบลาน พงศาวดาร บทกฎหมาย บทกวี และอื่น ๆ[2][3][4] ซึ่งรวมถึง จารึกวัดพระยืน (พ.ศ. 1912), จารึกวัดสุวรรณมหาวิหาร (พ.ศ. 1954), ตำนานมูลศาสนา (พ.ศ. 1965), ชินกาลมาลีปกรณ์ (พ.ศ. 2059), โคลงนิราศหริภุญไชย (พ.ศ. 2060), จารึกวัดเชียงมั่น (พ.ศ. 2124), และมังรายศาสตร์ (ไม่ปรากฏศักราช)[2][5] โดยจารึกวัดพระยืน, จารึกวัดสุวรรณมหาวิหาร, ตำนานมูลศาสนา, จารึกวัดเชียงมั่น, และมังรายศาสตร์ ระบุคำนำพระนามว่า "พญา" (เขียนแบบเก่าว่า "พรญา" หรือ "พรยา")[2][5]
ราชวงศ์ปกรณ์ (พ.ศ. 2461) บันทึกตำนานเกี่ยวกับพระนาม "มังราย" ว่า ฤๅษีชื่อ ปัทมังกร เป็นผู้ตั้งถวาย โดยเอาชื่อของฤๅษีเอง พระนามของพระบิดา (ลาวเมง) และพระนามของพระมารดา (เทพคำข่าย) ผสมกันเป็น "มังราย"[6]
มีแต่พงศาวดารโยนก ที่พระยาประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค) เขียนขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงสยาม และเอกสารสมัยหลังซึ่งอ้างอิงพงศาวดารโยก ที่ออกพระนามว่า "เม็งราย"[2][3][7] โดยไม่ปรากฏเหตุผลที่พระยาประชากิจกรจักร์แก้พระนาม "มังราย" เป็น "เม็งราย" แต่อย่างใด[7] ปัจจุบัน มีสถานที่หลายแห่งใช้ชื่อว่า "เม็งราย" เช่น ตำบลเม็งราย, อำเภอพญาเม็งราย, โรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม, และค่ายเม็งรายมหาราช ในจังหวัดเชียงราย ตลอดจนวัดพระเจ้าเม็งราย ในจังหวัดเชียงใหม่
ส่วนการเปลี่ยนคำนำพระนาม "พญา" เป็น "พ่อขุน" นั้น เป็นผลงานของหลวงวิจิตรวาทการ (วิจิตร วิจิตรวาทการ) อธิบดีกรมศิลปากร[7] โดยปรากฏครั้งแรกใน เพลงดนตรีประวัติศาสตร์ (พ.ศ. 2481) ของหลวงวิจิตรฯ ที่มีเนื้อเพลงว่า "พ่อขุนเมงราย"[8] ทั้งนี้ คำว่า "พ่อขุน" เป็นคำนำพระนามพระมหากษัตริย์กรุงสุโขทัยสมัยหนึ่ง แต่ไม่ปรากฏการใช้งานในทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคล้านนา[4][5]
เพ็ญสุภา สุขคตะ นักโบราณคดี ตั้งข้อสังเกตว่า การประดิษฐ์พระนามของพญามังรายขึ้นใหม่ เกิดขึ้นในช่วง พ.ศ. 2442–2443 ซึ่งอังกฤษเข้ายึดครองดินแดนพม่าได้แล้ว และพยายามอ้างสิทธิ์รวมดินแดนล้านนา ซึ่งในเวลานั้นเป็นของสยาม เข้ากับอาณานิคมพม่า โดยอ้างว่า พญามังราย "ทรงมีเชื้อสายเป็นชาวพม่า เหตุเพราะทรงมีพระนามว่า "มังราย" ฉะนี้แล้วอาณาจักรล้านนาย่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพม่าโดยไม่มีข้อแม้" ชนชั้นนำสยามในเวลานั้นจึงน่าจะประดิษฐ์พระนามขึ้นใหม่ให้ใช้โดยแพร่หลายแทน[5]
ต้นพระชนม์[แก้]
พญามังรายเป็นพระราชโอรสของลาวเมง พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 24 แห่งหิรัญนครเงินยางเชียงลาว กับนางเทพคำข่าย พระราชธิดาของท้าวรุ่งแก่นชาย พระมหากษัตริย์แห่งเมืองเชียงรุ่งสิบสองพันนา[1]
การขึ้นเป็นกษัตริย์[แก้]
เมื่อพระราชบิดาสวรรคตใน พ.ศ. 1802 พญามังรายทรงขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งหิรัญนครเงินยางเชียงลาวต่อ และมีพระราชประสงค์จะทรงรวบรวมหัวเมืองอิสระต่าง ๆ เข้าเป็นหนึ่งเดียว โดยทรงเริ่มจากทางเหนือก่อน แล้วขยายไปฝ่ายใต้[1]
การสร้างเชียงราย[แก้]

หลังจากทรงขึ้นครองราชย์ ณ หิรัญนครเงินยางเชียงลาวได้ราว 3 ปี พญามังรายทรงสร้างเมืองเชียงรายขึ้นเป็นศูนย์อำนาจใหม่ใน พ.ศ. 1805[1] และทรงสร้างเมืองฝางเมื่อ พ.ศ. 1816, ทรงสร้างเมืองชะแวทางตะวันออกเฉียงเหนือของลำพูนเมื่อ พ.ศ. 1826, และทรงสร้างเวียงกุมกามเมื่อ พ.ศ. 1829[1] เมื่อสร้างเมืองใหม่แต่ละครั้ง พญามังรายจะประทับอยู่ที่เมืองนั้น ๆ เสมอ ซึ่งตามความเห็นของประเสริฐ ณ นคร แล้ว "คงมีพระประสงค์ที่จะสร้างชุมชนขึ้นใหม่ เพื่อรวบรวมผู้คนที่กระจัดกระจายกันอยู่ให้มาตั้งเป็นเมืองใหม่ขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็ทรงแสวงหาชัยภูมิที่เหมาะสมจะเป็นเมืองหลวงถาวรของพระองค์ต่อไป"[9]
นอกจากนี้ ยังทรงตีได้เมืองมอบ, เมืองไร, และเมืองเชียงคำ จึงมีหัวเมืองหลายแห่งมาขออ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้น เช่น เมืองร้าง ต่อมาจึงเสด็จไปเอาเมืองเชียงของได้ใน พ.ศ. 1812 และเมืองเซริงใน พ.ศ. 1818[9]
ระหว่างประทับที่เวียงกุมกาม พญามังรายทรงให้ช่างก่อเจดีย์กู่คำ ณ วัดเจดีย์เหลี่ยม[10] พญามังรายยังโปรดให้นายช่างชื่อ กานโถม สร้างวัดแห่งหนึ่งที่มีพระพุทธปฏิมากร 5 พระองค์สูงใหญ่เท่าพระวรกายของพระองค์ ตลอดจนมหาวิหารและเจดีย์อื่นอีกเป็นอันมาก[11] นายช่างกานโถมปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นที่พอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้เขาไปครองเมืองรอย (ต่อมาสถาปนาเป็นเมืองเชียงแสน)[11] และพระราชทานนามวัดนั้นว่า วัดกานโถม[11]
การตีหริภุญไชย[แก้]
พญามังรายมีพระราชประสงค์จะได้เมืองหริภุญไชย (ในจังหวัดลำพูนปัจจุบัน) เพราะเป็นเมืองมั่งคั่ง เป็นศูนย์การค้าระหว่างประเทศ ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทั้งยังมีทางน้ำติดต่อถึงเมืองละโว้และเมืองอโยธยาด้วย[9] ทรงวางแผนให้ข้าหลวงคนหนึ่งชื่อ อ้ายฟ้า เข้าไปเป็นไส้ศึกในเมืองหริภุญไชย[9] ขณะนั้น พญาญี่บาครองเมืองหริภุญไชย[9] อ้ายฟ้าทำให้ชาวหริภุญไชยไม่พอใจพญาญี่บา โดยเกณฑ์ไปขุดเหมืองในฤดูร้อนเพื่อถ่ายแม่น้ำปิงมาสู่แม่น้ำกวงเป็นระยะทาง 36 กิโลเมตร[9] ปัจจุบัน เหมืองดังกล่าวยังมีอยู่และยังใช้การได้[9] นอกจากนี้ อ้ายฟ้ายังให้ตัดไม้ซุงลากผ่านที่นาของชาวบ้านในฤดูทำนา ทำให้ข้าวเสียหาย โดยอ้ายฟ้าแจ้งว่า พญาญี่บาจะทรงสร้างพระราชวังใหม่[9] อ้ายฟ้าบ่อนทำลายเมืองหริภุญไชยอยู่นานเกือบ 7 ปี[9] เป็นเหตุให้ชาวหริภุญไชยเอาใจออกหากพญาญี่บา เมื่อพญามังรายทรงนำกองทัพมาล้อม จึงทรงได้เมืองไปโดยง่ายใน พ.ศ. 1824[9] แต่ชินกาลมาลีปกรณ์ว่าเป็น พ.ศ. 1835[9]
การสร้างเชียงใหม่[แก้]
เมื่อพญามังรายทรงได้เมืองหริภุญไชยแล้ว ขุนคราม พระราชบุตรพระองค์ที่ 2 ของพญามังราย ก็ตีนครเขลางค์ (ในจังหวัดลำปางปัจจุบัน) ได้ใน พ.ศ. 1839[12] ในปีนั้นเอง พญามังรายทรงสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้น พระราชทานนามว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่"[1]
อาณาเขตของพญามังรายนั้น ปรากฏว่า ทางเหนือถึงเชียงรุ่งและเชียงตุง ทางตะวันออกถึงแม่น้ำโขง แต่ไม่รวมเมืองพะเยา, เมืองน่าน, และเมืองแพร่ ทางใต้ถึงนครเขลางค์ และทางตะวันตกถึงอาณาจักรพุกาม (พม่าและมอญ)[13]
การตีพุกาม[แก้]
พงศาวดารโยนก ของพระยาประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค) ว่า ใน พ.ศ. 1833 อาณาจักรพุกามขอเป็นเมืองขึ้นของพระองค์ พญามังรายจึงเสด็จไปเยือนพุกาม และเมื่อนิวัติ ก็ทรงนำช่างฆ้อง ช่างหล่อ ช่างเหล็ก และช่างฝีมืออื่น ๆ กลับมาด้วย แล้วก็โปรดให้ช่างทองไปประจำที่เมืองเชียงตุง[12] แต่เรื่องดังกล่าวไม่ปรากฏในชินกาลมาลีปกรณ์[12] และประเสริฐ ณ นคร เห็นว่า ถ้าเกิดขึ้นจริง ควรเป็น พ.ศ. 1843 มากกว่า พ.ศ. 1833 เพราะมอญอยู่ในอาณัติของพ่อขุนรามคำแหงกรุงสุโขทัยซึ่งสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 1841 มอญจะแยกตัวไปขึ้นเมืองใหม่ได้ก็ควรหลัง พ.ศ. 1841[12]
นอกจากนี้ บันทึกของจีนและไทลื้อระบุว่า พญามังรายทรงเคยยกรี้พลไปตีเมืองเชียงรุ่งและอาณาจักรพุกามบางส่วนใน พ.ศ. 1840 และสิบสองพันนาใน พ.ศ. 1844 ทั้งกล่าวว่า จีนเคยยกลงมาตีอาณาจักรล้านนาแต่พ่ายแพ้กลับไปด้วย[14]
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ[แก้]
พญามังรายทรงมีสัมพันธไมตรีกับพญางำเมือง พระมหากษัตริย์แห่งเมืองพะเยา (ในจังหวัดพะเยาปัจจุบัน) และพ่อขุนรามคำแหง พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ทั้ง 3 พระองค์เป็นศิษย์สำนักเดียวกันที่เมืองละโว้[15] และเป็นพระสหายร่วมสาบานกันด้วย[15]
อนึ่ง เมื่อพญามังรายจะทรงสถาปนาเมืองเชียงใหม่นั้น ทรงปรึกษากับพระสหายทั้ง 2 พ่อขุนรามคำแหงทรงแนะนำว่า ควรลดขนาดเมืองลงครึ่งหนึ่งจากเดิมที่วางผังให้ยาวด้านละ 2,000 วา เพราะเมื่อเกิดศึกสงครามในอนาคต ผู้คนที่ไม่มากพอจะไม่อาจรักษาบ้านเมืองที่กว้างใหญ่เกินไปได้ ซึ่งพญามังรายทรงเห็นชอบด้วย[15]
พระราชไมตรีระหว่างพระมหากษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์ ทำให้แต่ละพระองค์ทรงสามารถขยายดินแดนไปได้อย่างไม่ต้องทรงพะวงหน้าพะวงหลัง[15]
กฎหมาย[แก้]
มังรายศาสตร์ (บ้างเรียก วินิจฉัยมังราย) เป็นเอกสารที่ประมวลคำวินิจฉัยทางกฎหมายของพระมหากษัตริย์ ซึ่งรวมถึงพญามังราย[15] ในรัชกาลพญามังราย มังรายศาสตร์มีเพียง 22 มาตรา ว่าด้วยการหนีศึก, ความชอบในสงคราม, หน้าที่ของไพร่ในการเข้าเวรทำงานหลวง 10 วัน กลับบ้านไปกสิกรรม 10 วัน สลับกันไป, และเรื่องที่ดิน[15] ภายหลังมีการแก้ไขเพิ่มเติมจนยาวขึ้นอีก 10 เท่า[15]
มังรายศาสตร์ฉบับเก่าแก่ที่สุดที่หลงเหลือในปัจจุบันมีเพียงฉบับเดียว คือ ฉบับที่พบ ณ วัดเสาไห้ คัดลอกเอาไว้เมื่อ พ.ศ. 2342 และต่อมา ราชบัณฑิตยสถานแปลเป็นภาษาไทยเมื่อ พ.ศ. 2514[15]
พระราชวงศ์[แก้]
พญามังรายมีพระราชบุตรเท่าใดไม่ปรากฏชัด แต่ปรากฏว่า พระราชบุตรพระองค์แรกมีพระนามว่า ขุนเครื่อง ทรงให้ไปครองเมืองเชียงราย แต่ภายหลังคิดขบถ จึงทรงให้คนไปลอบสังหาร[11]
พระราชบุตรพระองค์ที่ 2 คือ ขุนคราม มีผลงานเป็นการตีนครเขลางค์ได้สำเร็จ[11] จึงได้เฉลิมพระนามเป็น พญาไชยสงคราม ภายหลังได้สืบราชสมบัติต่อจากพญามังรายเป็นรัชกาลที่ 2 แห่งอาณาจักรล้านนา
พระราชบุตรพระองค์ที่ 3 คือ ขุนเครือ โปรดให้กินเมืองพร้าว แต่ต่อมาถูกพระองค์เนรเทศไปเมืองกองใต้ ชาวไทยใหญ่จึงสร้างเมืองใหม่ให้ขุนเครือปกครองแทน[11]
สวรรคต[แก้]

พญามังรายสวรรคตเพราะทรงถูกฟ้าผ่ากลางเมืองเชียงใหม่ใน พ.ศ. 1854 รวมพระชนม์ 72 พรรษา[11] พญาไชยสงคราม พระราชบุตรพระองค์ที่ 2 เสวยราชย์สืบต่อมา
พ้นรัชกาลพญามังรายแล้ว ราชวงศ์มังรายครอบครองอาณาจักรล้านนาเป็นเอกราชอยู่ระยะหนึ่ง โดยเคยขยายอาณาบริเวณมาครอบคลุมเมืองพะเยา, น่าน, ตาก, แพร่, สวรรคโลก, และสุโขทัยด้วย กระทั่ง พ.ศ. 2101 ถูกพม่าตีแตก แล้วก็กลายเป็นเมืองขึ้นพม่าบ้าง เป็นอิสระบ้าง และเป็นเมืองขึ้นกรุงศรีอยุธยาบ้าง สลับกันไปดังนี้เป็นเวลากว่า 200 ปี จนยอมเป็นเมืองขึ้นกรุงรัตนโกสินทร์ และถูกกลืนเข้าเป็นประเทศไทยในปัจจุบัน[11]
ในวัฒนธรรมประชานิยม[แก้]
ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2555 มีผู้ตัดต่อภาพอนุสาวรีย์พญามังราย โดยนำสัญลักษณ์ "ชอบ" หรือ "ไลก์" (like) ของเฟซบุ๊กไปติดกับพระหัตถ์ แล้วลงเผยแพร่ทางเพจ "ไลค์ดะ" ในเฟซบุ๊ก โดยเรียกภาพนั้นว่า "พ่อขุนเม็งไลค์"[16] มีบุคคลจำนวนหนึ่งไม่พอใจและพากันเข้าไปต่อว่า[16] ในวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555 มงคล สิทธิหล่อ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย แถลงว่า จะดำเนินคดีแก่เจ้าของเพจไลค์ดะ และในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ชาวเชียงรายบางกลุ่มเดินขบวนแสดงความไม่พอใจต่อเพจไลก์ดะที่บริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์พญามังรายในอำเภอเมืองเชียงราย ส่วนเพจไลค์ดะได้ปิดตัวลงก่อนหน้านั้นแล้ว[17]
อนึ่ง ในช่วงการประชุมผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 2 (2nd Asia–Pacific Water Summit) หรือการประชุมน้ำโลก ครั้งที่ 2 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถูกวิพากษ์วิจารณ์ที่แต่งกายเป็นพญามังรายด้วย "ชุดกษัตริย์ล้านนาโบราณ เปลือยท่อนบน โชว์พุงหลาม นุ่งผ้านุ่ง มีทับทรวงและมงกุฎ กำลังชี้นิ้วขึ้นฟ้าไปท้ารบเทวดาบนฟ้า"[18]
สถานที่อันเนื่องมาจากพระนาม[แก้]
- ในจังหวัดเชียงราย
- ในจังหวัดเชียงใหม่
ราชตระกูล[แก้]
พงศาวลีของพญามังราย | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง[แก้]
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 1.6 1.7 1.8 ประเสริฐ ณ นคร (2549, p. 267)
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 ชมรมฮักตั๋วเมืองฯ (2564)
- ↑ 3.0 3.1 ประเสริฐ ณ นคร (2549, p. 276) "พญาเม็งราย...พระนามที่ถูกต้องว่า พญามังราย ทั้งนี้ ปรากฏตามหลักฐานในศิลาจารึก ตำนาน และเอกสารดั้งเดิมทุกชนิด ยกเว้นพงศาวดารโยนกที่พระยาประชากิจกรจักร์เรียบเรียงขึ้น และเอกสารที่อ้างอิงพงศาวดารโยนกในชั้นหลัง ซึ่งใช้พระนาม เม็งราย"
- ↑ 4.0 4.1 สุจิตต์ วงษ์เทศ (2564)
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ (2564)
- ↑ ทิว วิชัยขัทคะ (ม.ป.ป., p. ไม่มีเลขหน้า (แผ่นที่ 13))
- ↑ 7.0 7.1 7.2 ประสาร ธาราพรรค์ (ม.ป.ป., pp. 2–3)
- ↑ ทิว วิชัยขัทคะ (ม.ป.ป., pp. 2–3)
- ↑ 9.00 9.01 9.02 9.03 9.04 9.05 9.06 9.07 9.08 9.09 9.10 ประเสริฐ ณ นคร (2549, p. 268)
- ↑ ประเสริฐ ณ นคร (2549, pp. 269–270)
- ↑ 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 11.5 11.6 11.7 ประเสริฐ ณ นคร (2549, p. 270)
- ↑ 12.0 12.1 12.2 12.3 ประเสริฐ ณ นคร (2549, p. 277)
- ↑ ประเสริฐ ณ นคร (2549, p. 278)
- ↑ ประเสริฐ ณ นคร (2549, pp. 277–278)
- ↑ 15.0 15.1 15.2 15.3 15.4 15.5 15.6 15.7 ประเสริฐ ณ นคร (2549, p. 269)
- ↑ 16.0 16.1 ประชาไท (2555)
- ↑ ผู้จัดการออนไลน์ (2555)
- ↑ บัณรส บัวคลี่ (2556)
บรรณานุกรม[แก้]
- ชมรมฮักตั๋วเมือง สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (2563-12-28). "ที่มาของ "อนุสาวรีย์สามกษัตริย์" และ "ตำนานพญามังราย"". มติชนสุดสัปดาห์. กรุงเทพฯ: มติชน. สืบค้นเมื่อ 2564-02-05.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
(help) - ทิว วิชัยขัทคะ (ม.ป.ป.). พญาเมงราย หรือ พ่อขุนเมงราย อย่างไรจึงจะถูกต้อง (PDF). เชียงใหม่: ทิพย์เนตรการพิมพ์.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - บัณรส บัวคลี่ (2556-04-29). "ว่าด้วยปลอดประสพ รับบทพญามังราย". ผู้จัดการ. สืบค้นเมื่อ 2556-05-14.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
(help) - ประชาไท (2555-08-19). "วธ.เชียงราย เผยเตรียมเอาผิดเพจ "ไลค์ดะ" ตัดต่อรูปพ่อขุน". ประชาไท. สืบค้นเมื่อ 2555-08-22.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
(help) - ประสาร ธาราพรรค์ (ม.ป.ป.). "9 มหาราช แห่งสยามประเทศ" (PDF). ศูนย์เอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพฯ: ศูนย์เอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - ประเสริฐ ณ นคร (2549). ประวัติศาสตร์เบ็ดเตล็ด. กรุงเทพฯ: มติชน. ISBN 9743236007.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|year=
(help) - ผู้จัดการออนไลน์ (2555-08-22). "คนรักรถเชียงราย รวมตัวเรียกร้องจัดการ "ไลค์ดะ" มือตัดต่อภาพ "พ่อขุนฯ"". ผู้จัดการ. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-11-01. สืบค้นเมื่อ 2555-08-22.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
(help) - เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ (2555-08-24). "750 ปี "พระญามังราย" หรือ "พ่อขุนเม็งราย"?". ประชาไท. กรุงเทพฯ: ประชาไท. สืบค้นเมื่อ 2564-02-05.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
(help) - สุจิตต์ วงษ์เทศ (2559-01-28). "พญามังราย ไม่ใช่พ่อขุนเม็งราย". มติชนออนไลน์. กรุงเทพฯ: มติชน. สืบค้นเมื่อ 2564-02-05.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
(help)
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ พญามังราย