ผู้ใช้:Tlealone/sandbox

พิกัด: 40°36′14″N 80°18′37″W / 40.60393°N 80.31026°W / 40.60393; -80.31026
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แอโรฟลอต เที่ยวบินที่ 593
ภาพถ่ายของเครื่องบินทะเบียน F-OGQS ลำที่ประสบอุบัติเหตุ ที่ลานจอดของท่าอากาศยานนานาชาติปารีส-ชาร์ล เดอ โกล ในปี พ.ศ.2536
สรุปอุบัติการณ์
วันที่23 มีนาคม พ.ศ.2537
สรุปความผิดพลาดของนักบิน
จุดเกิดเหตุ20 km (12 mi) ทางตะวันออกของ Mezhdurechensk, Kemerovo Oblast, ประเทศรัสเซีย
40°36′14″N 80°18′37″W / 40.60393°N 80.31026°W / 40.60393; -80.31026
ประเภทอากาศยานแอร์บัส A310-304
ดําเนินการโดยแอโรฟลอต สายการบินแห่งชาติของประเทศรัสเซีย
ทะเบียนF-OGQS
ต้นทางท่าอากาศยานนานาชาติเชเรเมเตียโว กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย
ปลายทางท่าอากาศยานไคตั๊ก, ฮ่องกง
ผู้โดยสาร63 คน
ลูกเรือ12 คน
เสียชีวิต75 คน (ทั้งหมด)
รอดชีวิต0 คน

แอโรฟลอต เที่ยวบินที่ 593 เ้ป็นเที่ยวบินที่มีกำหนดการเดินทางจากกรุงมอสโกไปยังฮ่องกง โดยใช้เครื่องบินแบบ แอร์บัส A310-304 ได้ประสบอุบัติเหตุตกบริเวณไหล่เขาตอนหนึ่งของเทือกเขาKuznetsk Alatau แคว้นเคเมรอฟ ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2537 ผู้โดยสารพร้อมลูกเรือ 75 คน เสียชีวิตทั้งหมด

การสิบสวนไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการขัดข้องทางเทคนิคของเครื่องบิน แต่การตรวจสอบกล่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน (Cockpit voice recorder : CVR) และกล่องบันทึกข้อมูลการบิน (flight data recorder : FDR) พบว่านักบินได้นำลูกชายและลูกสาวของตัวเองเข้าไปในห้องนักบินด้วย ซึ่งเด็กได้ทำการปิดระบบการบินอัตโนมัติ (Autopilot) ซึ่งใช้ควบคุมปีกเล็กเอียง (Aileron) ในขณะนั่งอยู่บนที่นั่งของนักบินด้วยความไม่รู้ ทำให้เครื่องบินเอียงจนทำให้นักบินไม่สามารถแก้ไขอาการได้ ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือเหตุที่นักบินจึงไม่ทราบว่าระบบการบินอัตโนมัติถูกปิดลง เป็นเพราะว่าเครื่องบินแอร์บัสไม่เหมือนกับเครื่องบินของโซเวียตซึ่งมีเสียงเตือนในขณะที่ปิดระบบการบินอัตโนมัติ ทำให้นักบินไม่สนใจการเตือนที่เกิดขึ้นจากไฟสัญญาณเพียงอย่างเดียวในขณะที่ระบบถูกปิดตัวลง

เครื่องบิน[แก้]

เครื่องบินที่ประสบอุบัติเหตุคือแอร์บัส A310-304 ทะเบียน F-OGQS หมายเลขประจำเครื่อง 596 เป็นเครื่องบินเช่า เข้าประจำการในฝูงบินวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2535 ใช้เครื่องยนต์เจเนอรัลอิเล็กทริก รุ่นCF6-80C2 ขึ้นบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2534 เป็น 1 ใน 5 ลำ ที่เข้าประจำการในสายการบินของรัสเซีย สำหรับแอโรฟลอตใช้เป็นเครื่องบินของหน่วยงานอิสระในเครือที่ชื่อว่าRussian International Airlines ในเส้นทางรัสเซียฝั่งตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลูกเรือจำนวน 3 คนในเที่ยวบินนี้([นักบินที่ 1 ผู้ช่วยนักบิน และช่างประจำเครื่องบิน) มีชั่วโมงบินของเครื่องแบบดังกล่าวโดยเฉลี่ย 900 ชั่วโมง

รายละเอียดของการเกิดอุบัติเหตุ[แก้]

เครื่องบินไ้ด้บินออกจากท่าอากาศยานนานาชาติเชเรเมเตียโว ไปยัง ท่าอากาศยานไคตั๊ก พร้อมกับผู้โดยสาร 65 คนและลูกเรือ 12 คน ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจจากฮ่องกงและไต้หวันที่กำลังมองหาช่องทางการทำธุรกิจในรัสเซีย

ในเที่ยวบินนี้นักบินที่ 1 ยูโรสลาฟ คูดรินสกี ได้พาลูกชายและลูกสาวของเขาเดินทางไปด้วย ในโอกาสที่เป็นเที่ยวบินต่างประเทศเที่ยวบินแรกของเด็กๆ ซึ่งทางแอโรฟลอตอนุญาตให้นักบินพาครอบครัวเดินทางไปด้วยในราคาพิเศษ 1 ครั้งต่อปี ระหว่างที่คูดรินสกีกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ เขาได้นำลูกของเขาเข้าไปในห้องนักบิน ซึ่งทหมายความว่าขณะนั้นในห้องนักบินมีบุคคลอยู่ 5 คน นั่นคือ คูดรินสกีพร้อมบุตร รวม 3 คน, นักบินผู้ช่วย อิกอร์ เพสคายอฟ และช่างประเครื่องบิน วี.อี. มาคารอฟ

คูดรินสกีได้ปฏิบัติฝืนกฏ โดยการใ้ห้ผู้อื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าประจำตำแหน่งยังที่นั่งนักบิน คนแรกคือลูกสาวของเขา มีชื่อว่า ยานา ได้นั่งที่นั่งฝั่งซ้าย (ตำแหน่งของนักบินที่ 1) จากนั้นคูดรินสกีได้หมุนปุ่มควบคุมทิศทาง (Heading select knob) เพื่อให้ลูกสาวรู้สึกว่าเธอกำลังบังคับเครื่องอยู่ โดยที่จริงแล้วเธอไม่ได้บังคับเครื่องแต่อย่างใด จากนั้นคนต่อมาคือลูกชาย เอลด้า ซึ่งในครั้งนี้เอลด้าได้หมุนคันบังคับ (Control column) เป็นเวลานาน 30 วินาที จนทำให้ระบบอัตโมัติที่ควบคุมปีกเล็กเอียงปิดตัวลง (ระบบที่ควบคุมแพนบังคับอื่น (Elevator, Rudder) ยังทำงานเป็นปกติอยู่) ถึงกระนั้นก็ตาม นักบินทั้งสามคนก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ เนื่องจากทุกคนคุ้นเคยกับการบินเครื่องที่ออกแบบโดยรัสเซีย ซึ่งจะมีระบบเสียงเตือน ต่างจากเครื่องบินรุ่นนี้ที่มีเพียงแค่ไฟสัญญาณเตือนเ่ท่านั้น

คนแรกที่เห็นความผิดปกติคือ เอลด้า ลูกชายของคูดรินสกี ที่สังเกตว่าตัวเครื่องเอียงไปทางซ้าย หลังจากนั้นจอแสดงเส้นทางการบินได้แสดงเส้นทางใหม่เป็นการเลี้ยว 180 องศา คล้ายกับการบินรอ (Holding pattern) ซึ่งการแสดงผลนี้ทำให้นักบินเกิดความสับสน ระหว่างนั้นตัวเครื่องได้เอียงไปด้านข้างมากกว่า 45 องศา ซึ่งเกินกว่าขีดจำกีดของเครื่อง ส่งผลให้เกิดแรงจี (G-force) เพิ่มขึ้น นักบินถูกดันติดกับเก้าอี้ ไม่สามารถจะแก้อาการเครื่องได้ ตัวเครื่องได้เอียงจนถึง 90 องศาและเสียความสูง ระบบการบินอัตโนมัติที่ยังเหลืออยู่ได้ทำการรักษาระดับ โดยเชิดหัวเครื่องขึ้นจนเกือบตั้งฉาก ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้เครื่องบินเกิดอาการร่วงหล่น (Stall) ผู้ช่วยนักบินและเอลด้าลูกชายของคูดิรสกี ได้พยายามกดหัวเครื่องลงเพื่อลดแรงจี จนกระทั่งคูดรินสกีสามารถเข้ามานั่งและควบคุมเครื่องให้บินระดับได้อีกครั้ง แต่กระนั้นต่อตามตัวเครื่องได้เสียความสูงจนบินต่ำเกินไป เครื่องบินได้พุ่งชนพื้นด้วยความเร็วแนวดิ่ง (Vertical speed) ประมาณ 70 m/s (230 ft/s) หรือ 250 km/h (160 mph)