ผู้ใช้:Boom1221/กระบะทราย2
สารบัญกระบะทราย: หลัก, ว่าง, ดาวเคราะห์, ว่าง, นิยามดาวเคราะห์, ค้างคาว
| ||||
ดาวเคราะห์ที่รู้จักทั้งแปดดวงของระบบสุริยะ
แสดงตามลำดับจากดวงอาทิตย์และใช้สีจริง ขนาดไม่เป็นไปตามมาตราส่วน |
ดาวเคราะห์ คือ เทห์ฟ้าที่โคจรรอบดาวฤกษ์หรือซากดาวฤกษ์ที่ใหญ่มากพอที่จะรักษาความเป็นทรงกลมได้ด้วยแรงโน้มถ่วง แต่ไม่ใหญ่มากพอที่จะเกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ฟิวชัน และมีบริเวณโดยรอบที่โล่งจากเทห์ฟ้าอื่นหรือเศษดาวเคราะห์ต่าง ๆ[a][1][2]
คำว่า "ดาวเคราะห์" มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ โหราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทพปกรณัม และศาสนามาตั้งแต่ยุคโบราณ มี 5 ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หลายอารยธรรมยุคแรก ๆ ถือว่าดาวเคราะห์ทั้งห้าดวงนี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นทูตจากพระเจ้า เมื่อความรู้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า มุมมองของมนุษย์ที่มีต่อดาวเคราะห์เปลี่ยนแปลงไปโดยรวมวัตถุที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเข้าเป็นกลุ่มเดียวกัน ในปี พ.ศ. 2549 สหพันธ์ดาราศาสตร์สากล (ไอเอยู) นิยามดาวเคราะห์ภายในระบบสุริยะอย่างเป็นทางการ นิยามนี้เป็นประเด็นถกเถียงกันเนื่องจากตัวนิยามนั้นไม่รวมวัตถุหลายชิ้นที่มีมวลเท่าดาวเคราะห์โดยพิจารณาเพียงแค่วงโคจรหรือตำแหน่งที่วัตถุนั้นอยู่ แม้ว่าดาวเคราะห์ทั้งแปดดวงที่ค้นพบก่อนปี พ.ศ. 2493 ยังคงเป็นดาวเคราะห์ภายใต้นิยามใหม่นี้ แต่มีบางวัตถุ เช่น ซีรีส พัลลัส จูโน และเวสตา (ซึ่งเป็นวัตถุในแถบดาวเคราะห์น้อยเหมือนกันทั้งหมด) และดาวพลูโต (วัตถุพ้นดาวเนปจูนชิ้นแรกที่ถูกค้นพบ) ซึ่งประชาคมวิทยาศาสตร์เคยพิจารณาวัตถุเหล่านี้ให้เป็นดาวเคราะห์ แต่ภายใต้คำนิยามปัจจุบันไม่พิจารณาเช่นนั้นแล้ว
โตเลมีคิดว่าดาวเคราะห์นั้นโคจรรอบโลกด้วยการเคลื่อนที่แบบวงกลมขนาดเล็กที่อยู่บนวงโคจรหลักที่เป็นวงกลมใหญ่ (Deferent and epicycle) ถึงแม้ว่าแนวคิดที่ว่าดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์ได้รับการเสนอขึ้นหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 17 ที่มีการค้นพบหลักฐานสนับสนุนจากการสังเกตครั้งแรกด้วยกล้องส่องทางไกลโดยกาลิเลโอ กาลิเลอี ในช่วงเวลาเดียวกัน โยฮันเนส เคปเลอร์พบว่าวงโคจรของดาวเคราะห์เป็นวงรีมิใช่วงกลม ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลการสังเกตของทีโค บราอย่างระมัดระวัง เมื่ออุปกรณ์การสังเกตพัฒนาขึ้น นักดาราศาสตร์พบว่าดาวเคราะห์แต่ละดวงหมุนรอบตัวเองรอบแกนที่เอียงเมื่อเทียบกับขั้ววงโคจรเช่นเดียวกับโลก และดาวเคราะห์บางดวงมีลักษณะ เช่น มีครอบน้ำแข็งและฤดูกาลที่คล้ายคลึงกับที่โลกมี ตั้งแต่เริ่มยุคอวกาศ การสังเกตระยะใกล้โดยยานอวกาศต่าง ๆ พบว่าโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ มีลักษณะบางอย่างร่วมกัน เช่น ภูเขาไฟ เฮอร์ริเคน ธรณีแปรสัณฐาน แม้กระทั่งอุทกวิทยา
ดาวเคราะห์โดยปกติแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ ดาวเคราะห์ยักษ์ที่มีความหนาแน่นต่ำ และดาวเคราะห์หินคล้ายโลกที่มีขนาดเล็กกว่า ในระบบสุริยะมีดาวเคราะห์ทั้งหมด 8 ดวง โดยเรียงลำดับตามระยะห่างจากดวงอาทิตย์ มีดาวเคราะห์คล้ายโลก 4 ดวง ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร ตามด้วยดาวเคราะห์แก๊สอีก 4 ดวง ได้แก่ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ดาวเคราะห์หกจากแปดดวงนี้มีดาวบริวารอย่างน้อยหนึ่งดวงโคจรรอบ
มีการค้นพบดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงอื่น ๆ (ดาวเคราะห์นอกระบบ) หลายพันดวงในทางช้างเผือก ถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2562 มีดาวเคราะห์นอกระบบที่ทราบกันแล้ว 4,118 ดวงในระบบดาวเคราะห์ 3,063 ระบบ (รวมถึงระบบดาวเคราะห์ที่มีดาวเคราะห์หลายดวงอีก 669 ระบบ) โดยมีขนาดตั้งแต่ใหญ่กว่าดวงจันทร์เล็กน้อยไปจนถึงดาวเคราะห์แก๊สยักษ์ที่ใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดีสองเท่า มีดาวเคราะห์มากกว่า 100 ดวงที่มีขนาดเท่าโลก 9 ดวงที่มีระยะทางสัมพัทธ์จากดาวแม่ใกล้เคียงกับโลก กล่าวคืออยู่ในเขตอาศัยได้[3][4] ในวันที่ 20 ธันวาคม 2554 ทีมงานของกล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ค้นพบเคปเลอร์-20อี[5] และเคปเลอร์-20เอฟ[6] ดาวเคราะห์นอกระบบดวงแรกที่มีขนาดเท่าโลก ซึ่งโคจรรอบเคปเลอร์-20 ดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์[7][8][9] การศึกษาในปี 2555 ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลไมโครเลนส์ของแรงโน้มถ่วง ประมาณว่าทุก ๆ ดาวฤกษ์หนึ่งดวง จะมีดาวเคราะห์อยู่โดยเฉลี่ย 1.6 ดวง[10] ประมาณหนึ่งในห้าของดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์[b] เป็นดาวเคราะห์ขนาดเท่าโลก[c] ที่อยู่ในเขตอาศัยได้[d]
ประวัติ[แก้]
แนวคิดเกี่ยวกับดาวเคราะห์พัฒนามาตลอดยุคประวัติศาสตร์ จากแสงอันศักดิ์สิทธิ์แห่งยุคโบราณสู่วัตถุเช่นโลกแห่งยุควิทยาศาสตร์ แนวคิดนี้ขยายออกไปไม่เพียงแต่ในระบบสุริยะ แต่รวมถึงระบบดาวเคราะห์อื่นหลายร้อยระบบด้วย ความกำกวมอันเป็นปกติในนิยามดาวเคราะห์นำมาสู่ข้อถกเถียงทางวิทยาศาสตร์หลายประการ
ดาวเคราะห์ดั้งเดิมห้าดวงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่านั้นรู้จักกันมาตั้งแต่ยุคโบราณ และมีผลกระทบอย่างเป็นนัยสำคัญต่อเรื่องปรัมปรา จักรวาลวิทยาศาสนา และดาราศาสตร์โบราณ ในยุคโบราณ นักดาราศาสตร์สังเกตถึงวิธีการที่แสงจำนวนหนึ่งเคลื่อนไปบนท้องฟ้า ตรงข้ามกับดาวฤกษ์คงที่ ที่อยู่ในตำแหน่งเดิมตลอดบนท้องฟ้า[11] ชาวกรีกโบราณเรียกแสงเหล่านี้ว่า πλάνητες ἀστέρες (planētes asteres, "ดาวฤกษ์พเนจร") หรือแค่ πλανῆται (planētai, "ผู้พเนจร")[12] ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำว่า "planet"[13][14][15] ในกรีซโบราณ จีน บาบิโลน และทุกอารยธรรมก่อนสมัยปัจจุบัน[16][17] เชื่อกันเป็นสากลว่าโลกเป็นศูนย์กลางของเอกภพ มีดาวเคราะห์ดวงอื่นโคจรรอบโลก เหตุผลสำหรับมุมมองนี้มาจากการที่ดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ปรากฎให้เห็นว่าโคจรรอบโลกในแต่ละวัน[18] ประกอบกับสามัญสำนึกที่ว่าโลกนั้นมั่นคงและเสถียร ไม่เคลื่อนที่แต่อย่างใด
บาบิโลน[แก้]
อารยธรรมแรกที่ทราบกันว่ามีทฤษฎีเกี่ยวกับดาวเคราะห์ คือ ชาวบาบิโลเนียที่อาศัยอยู่ในบริเวณเมโสโปเตเมีย ในช่วงสหัสวรรษที่หนึ่งและสองก่อนคริสต์ศักราช ข้อความที่เกี่ยวกับดาวเคราะห์ที่ยังคงเหลืออยู่ ได้แก่ จารึกพระศุกร์แห่งอัมมิซาดูกา ซึ่งเป็นจารึกสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสต์ศักราช มีเนื้อหาเกี่ยวกับรายชื่อการสังเกตการโคจรของดาวศุกร์ และอาจมีอายุย้อนไปถึงช่วงสหัสวรรษที่สองก่อนคริสต์ศักราช[19] MUL.APIN คือ คู่ของจารึกอักษรรูปลิ่มจากสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสต์ศักราชที่อธิบายถึงการโคจรของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ต่าง ๆ ในรอบปี[20] นักโหราศาสตร์ชาวบาบิโลเนียยังวางรากฐานให้กับสิ่งที่ปัจจุบันพัฒนามาเป็นโหราศาสตร์ตะวันตก[21] เอนูมาอานูเอนลิลซึ่งเขียนขึ้นในยุคจักรวรรดิอัสซีเรียใหม่ ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสต์ศักราช[22] ประกอบด้วยรายชื่อลางและความสัมพันธ์ของมันกับปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์หลาย ๆ อย่าง รวมถึงการโคจรของดาวเคราะห์[23][24] นอกจากนี้ นักดาราศาสตร์ชาวบาบิโลเนียยังทราบถึงการมีตัวตนของดาวศุกร์ ดาวพุธ และดาวเคราะห์ชั้นนอกอย่าง ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ และกลายเป็นดาวเคราะห์ทั้งหมดที่ทราบจนกระทั่งมีการประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์[25]
ดาราศาสตร์กรีก-โรมัน[แก้]
อินเดีย[แก้]
ในปี 44 อารยภัฏ นักดาราศาสตร์ชาวอินเดีย เสนอแบบจำลองดาวเคราะห์ที่นำการหมุนรอบตัวเองของโลกรอบแกนเข้ามารวมไว้ด้วยอย่างชัดเจน ซึ่งเขาอธิบายว่าเป็นสาเหตุที่ดาวฤกษ์ดูเหมือนจะปรากฏว่าเคลื่อนไปทางทิศตะวันตก เขายังเชื่อว่าวงโคจรของดาวเคราะห์เป็นวงรี[26] ฐานผู้ติดตามของอารยภัฏแข็งแรงในบริเวณอินเดียใต้ ที่ซึ่งหลักการการหมุนรอบตัวเองชั่ววันหนึ่งของโลก และหลักการอื่นของเขาได้รับการติดตามและผลงานที่สร้างขึ้นหลังจากนั้นก็มีรากฐานมาจากผลงานของเขา[27]
ในปี 2043 นิลากานธา โซมายาจีจากโรงเรียนดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์แห่งเกรละ ปรับปรุงแบบจำลองของอารยภัฏใหม่ในงานเขียนที่ชื่อว่า Tantrasamgraha ของเขา
ดาราศาสตร์ของมุสลิมยุคกลาง[แก้]
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการยุโรป[แก้]
1 ดาวพุธ |
2 ดาวศุกร์ |
3 โลก |
4 ดาวอังคาร |
5 ดาวพฤหัสบดี |
6 ดาวเสาร์ |
การมาถึงของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ทำให้ความหมายคำว่า "ดาวเคราะห์" เปลี่ยนจากบางสิ่งที่เคลื่อนผ่านท้องฟ้า (เทียบกับดาวฤกษ์ฉากหลัง) เป็นเทหวัตถุที่โคจรรอบโลก (ซึ่งเป็นแนวคิดที่เชื่อกันในขณะนั้น) และในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ความหมายของดาวเคราะห์ก็เปลี่ยนเป็นบางสิ่งที่โคจรรอบดวงอาทิตย์เมื่อระบบดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของโคเปอร์นิคัส กาลิเลโอ และเคปเลอร์ได้รับความสำคัญ
ดังนั้นโลกจึงรวมเข้าไปอยู่ในรายชื่อดาวเคราะห์ของระบบสุริยะ[28] ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็ถูกคัดออกไปจากความเป็นดาวเคราะห์ ในตอนแรก เมื่อมีการค้นพบดาวบริวารดวงแรกของดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 คำว่า "ดาวเคราะห์" และ "ดาวบริวาร" ใช้สลับเปลี่ยนไปมาได้ แม้ว่าคำหลังจะค่อย ๆ ใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้นในคริสต์ศตวรรษถัดมา[29] จนกระทั่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 จำนวนดาวเคราะห์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเทหวัตถุที่ค้นพบใหม่ใดก็ตามที่พบว่าโคจรดวงอาทิตย์ ประชาคมวิทยาศาสตร์ก็จะจัดให้เป็นดาวเคราะห์ทั้งสิ้น
คริสต์ศตวรรษที่ 19[แก้]
ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 นักดาราศาสตร์เริ่มตระหนักว่าเทหวัตถุค้นพบใหม่ที่ได้รับการจัดให้เป็นดาวเคราะห์มานานกว่าครึ่งศตวรรษ (เช่น ซีรีส พัลลัส จูโน เวสตา) นั้นแตกต่างมากกับดาวเคราะห์ดั้งเดิมห้าดวง เทหวัตถุทั้งหลายดังกล่าวมีวงโคจรอยู่ใกล้เคียงกันในบริเวณระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี (แถบดาวเคราะห์น้อย) และมีมวลน้อยกว่าดาวเคราะห์ดั้งเดิมห้าดวงนั้นมาก เป็นผลให้เทหวัตถุทั้งหลายนี้ถูกจัดใหม่ให้เป็น "ดาวเคราะห์น้อย" ขณะที่ไม่มีนิยามอย่างเป็นทางการสำหรับดาวเคราะห์ "ดาวเคราะห์" กลายเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นเทหวัตถุ "ขนาดใหญ่" ใด ๆ ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ และนิยามทางการนั้นก็ยังไม่เป็นที่ต้องการ เพราะขนาดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนของดาวเคราะห์น้อยกับดาวเคราะห์ และการค้นพบเทหวัตถุใหม่ ๆ ก็ดูเหมือนว่ายุติลงแล้วหลังการค้นพบดาวเนปจูนในปี 2389[30]
คริสต์ศตวรรษที่ 20[แก้]
1 ดาวพุธ |
2 ดาวศุกร์ |
3 โลก |
4 ดาวอังคาร |
5 ดาวพฤหัสบดี |
6 ดาวเสาร์ |
7 ดาวยูเรนัส |
8 ดาวเนปจูน |
ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีการค้นพบดาวพลูโต การสังเกตเบื้องต้นทำให้เชื่อกันว่าดาวพลูโตมีขนาดใหญ่กว่าโลก[31] ทำให้วัตถุดังกล่าวได้รับการยอมรับเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เก้าในทันที การเฝ้าสังเกตต่อ ๆ มาพบว่าดาวพลูโตนั้นแท้ที่จริงมีขนาดเล็กมาก เรย์ ริตเทิลทันเสนอในปี 2479 ว่าดาวพลูโตอาจเป็นดาวบริวารของดาวเนปจูนที่หลุดออกมา[32] และเฟรด วิปเพิลเสนอในปี 2480 ว่าดาวพลูโตอาจเป็นดาวหาง[33] เนื่องจากดาวพลูโตยังมีขนาดใหญ่กว่าดาวเคราะห์น้อยทั้งหมดที่รู้จักและดูเหมือนว่าไม่อยู่ในกลุ่มประชากรที่ใหญ่กว่าใด ๆ[34] ดาวพลูโตจึงรักษาสถานะความเป็นดาวเคราะห์ไว้ได้จนกระทั่งปี 2549
1 ดาวพุธ |
2 ดาวศุกร์ |
3 โลก |
4 ดาวอังคาร |
5 ดาวพฤหัสบดี |
6 ดาวเสาร์ |
7 ดาวยูเรนัส |
8 ดาวเนปจูน |
9 ดาวพลูโต |
ในปี 2535 นักดาราศาสตร์นามว่าอเล็กซานเดร์ วอลต์ชานและเดล เฟรลประกาศการค้นพบดาวเคราะห์รอบพัลซาร์แห่งหนึ่งชื่อว่า พีเอสอาร์ บี1257+12[35] การค้นพบครั้งนี้ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นการตรวจจับระบบดาวเคราะห์รอบดาวฤกษ์ดวงอื่นครั้งแรกที่ยืนยันได้ ต่อมาในวันที่ 6 ตุลาคม 2538 มีแชล มายอร์และดีดีเย เกโลจากหอดูดาวเจนีวาประกาศการตรวจจับดาวเคราะห์นอกระบบที่ยืนยันได้ครั้งแรกที่โคจรรอบดาวฤกษ์แถบลำดับหลัก (51 ม้าบิน)[36]
การค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบนำไปสู่ความกำกวมอีกประการในการนิยามดาวเคราะห์: จุดที่ซึ่งดาวเคราะห์กลายเป็นดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์นอกระบบที่รู้จักจำนวนมากมีมวลมากกว่าดาวพฤหัสบดีหลายเท่า ซึ่งใกล้เคียงกับวัตถุที่รู้จักอย่างดาวแคระน้ำตาล ดาวแคระน้ำตาลได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นดาวฤกษ์เนื่องจากหลอมรวมดิวเทอเรียม ไอโซโทปที่หนักกว่าของไฮโดรเจนได้ แม้ว่าวัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดี 75 เท่าหลอมรวมไฮโดรเจนได้ แต่วัตถุขนาด 13 เท่าของมวลดาวพฤหัสบดีก็หลอมรวมดิวเทอเรียมได้ ดิวเทอเรียมค่อนข้างหายากและดาวแคระน้ำตาลส่วนมากมักหยุดหลอมรวมดิวเทอเรียมไปนานก่อนการค้นพบแล้ว ทำให้แทบไม่สามารถแยกดาวแคระน้ำตาลออกจากดาวเคราะห์ขนาดใหญ่มากได้อย่างชัดเจน[37]
คริสต์ศตวรรษที่ 21[แก้]
ด้วยการค้นพบวัตถุภายในระบบสุริยะและวัตถุขนาดใหญ่รอบดาวฤกษ์อื่นเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ทำให้เกิดข้อถกเถียงว่าอะไรควรจะจัดตั้งให้เป็นดาวเคราะห์ มีการไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะกับคำถามที่ว่าวัตถุหนึ่งควรเป็นดาวเคราะห์หรือไม่ถ้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มประชากรอื่น เช่น แถบดาวเคราะห์น้อย หรือถ้าวัตถุนั้นมีขนาดใหญ่พอที่จะผลิตพลังงานด้วยการหลอมเทอร์โมนิวเคลียร์ของดิวเทอเรียม
จำนวนนักดาราศาสตร์ที่โต้แย้งให้ดาวพลูโตถูกลดอันดับจากดาวเคราะห์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะในคริสต์ทศวรรษ 1990 และต้นคริสต์ทศวรรษ 2000 มีการค้นพบวัตถุขนาดใกล้เคียงกันจำนวนมากในบริเวณเดียวกันของระบบสุริยะ (แถบไคเปอร์) ดาวพลูโตถูกพบว่าเป็นเพียงแค่วัตถุขนาดเล็กชิ้นหนึ่งท่ามกลางกลุ่มประชากรหลายพันเท่านั้น
หนังสือพิมพ์ชื่อดังประโคมให้วัตถุบางชิ้น เช่น ควาอัวร์ เซดนา และเอริส เป็นดาวเคราะห์ดวงที่สิบ แต่วงการวิทยาศาสตร์ไม่ให้การยอมรับมากนัก การประกาศการค้นพบดาวเอริสในปี 2548 ซึ่งสมัยนั้นคิดว่าเป็นวัตถุมีขนาดใหญ่กว่าดาวพลูโต 27% สร้างความจำเป็นและความต้องการของสาธารณชนถึงนิยามดาวเคราะห์อย่างเป็นทางการ
เมื่อไอเอยูรับทราบปัญหา จึงได้มีความพยายามในการให้นิยามแก่ดาวเคราะห์ และมีนิยามหนึ่งออกมาในเดือนสิงหาคม 2549 จำนวนดาวเคราะห์ลดลงเหลือแปดดวงที่เป็นวัตถุขนาดใหญ่กว่าและมีวงโคจรที่โล่ง (ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน) และมีกลุ่มใหม่ที่เรียกว่าดาวเคราะห์แคระ แต่เดิมมีวัตถุแค่สามชิ้นเท่านั้น (ได้แก่ ซีรีส ดาวพลูโต และดาวเอริส)[38]
ดาวเคราะห์นอกระบบ[แก้]
นิยามดาวเคราะห์ปี 2549 ของไอเอยู[แก้]
วัตถุที่เคยพิจารณาให้เป็นดาวเคราะห์[แก้]
ตารางด้านล่างเป็นรายชื่อของวัตถุในระบบสุริยะที่เคยผ่านการพิจารณาเป็นดาวเคราะห์
วัตถุ | การจัดประเภทในปัจจุบัน | หมายเหตุ | |
---|---|---|---|
ดวงอาทิตย์ | ดาวฤกษ์ | ได้รับการจัดให้เป็นดาวเคราะห์ดั้งเดิม (กรีกโบราณ πλανῆται ผู้พเนจร) ในสมัยคลาสสิกและยุโรปยุคกลาง ให้สอดคล้องกับแบบจำลองโลกเป็นศูนย์กลางที่ถูกหักล้างไปแล้ว[39] | |
ดวงจันทร์ | ดาวบริวารธรรมชาติ | ||
ไอโอ ยูโรปา แกนีมีด และคัลลิสโต | ดาวบริวารธรรมชาติ | เป็นดาวบริวารขนาดใหญ่ที่สุดสี่ดวงแรกของดาวพฤหัสบดี รู้จักกันในชื่อว่าดวงจันทร์ของกาลิเลโอตามชื่อผู้ค้นพบคือ กาลิเลโอ กาลิเลอี เขาอ้างอิงถึงดาวบริวารเหล่านี้ว่าเป็น "ดาวเคราะห์เมดิซี" เพื่อเป็นเกียรติแก่ตระกูลเมดิซี ผู้ที่อุปถัมภ์เขา ดาวบริวารเหล่านี้ยังเคยรู้จักกันว่าเป็นดาวเคราะห์ทุติยภูมิ[40] | |
ไททัน[e] ไอแอพิตัส[f] รีอา[f] ทีทิส[g] และไดโอนี[g] | ดาวบริวารธรรมชาติ | เป็นดาวบริวารดาวเสาร์ขนาดใหญ่ห้าดวง ค้นพบโดยคริสตียาน เฮยเคินส์และโจวันนี โดเมนีโก กัสซีนี รู้จักกันว่าเป็นดาวเคราะห์ทุติยภูมิร่วมกับดาวบริวารดาวพฤหัสบดีสี่ดวงใหญ่[40] | |
พัลลัส จูโน และเวสตา | ดาวเคราะห์น้อย | จัดให้เป็นดาวเคราะห์ตั้งแต่ตอนค้นพบในระหว่างปี 2344–2350 จนกระทั่งได้รับการจัดประเภทใหม่เป็นดาวเคราะห์น้อยในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1850[42]
ซีรีสได้รับการจัดประเภทให้เป็นดาวเคราะห์แคระในปี 2549 | |
ซีรีส | ดาวเคราะห์แคระและดาวเคราะห์น้อย | ||
แอสเทรีย ฮีบี ไอริส ฟลอรา มิทิส ไฮเจีย พาร์เธเนอปี วิกทอเรีย อีจีเรีย ไอรีน ยูโนเมีย | ดาวเคราะห์น้อย | เป็นดาวเคราะห์น้อยที่ค้นพบในระหว่างปี 2388–2394 การเพิ่มจำนวนของวัตถุระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดีอย่างรวดเร็วกระตุ้นให้มีการจัดประเภทวัตถุเหล่านี้ใหม่เป็นดาวเคราะห์น้อย ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในปี 2397[43] | |
ดาวพลูโต | ดาวเคราะห์แคระและวัตถุแถบไคเปอร์ | วัตถุพ้นดาวเนปจูนชิ้นแรก (เป็นดาวเคราะห์น้อยที่มีกึ่งแกนเอกพ้นดาวเนปจูน) ได้รับการจัดให้เป็นดาวเคราะห์ตั้งแต่ตอนค้นพบในปี 2473 จนกระทั่งได้รับการจัดประเภทใหม่เป็นดาวเคราะห์แคระในปี 2549 |
นอกเหนือจากประชาคมวิทยาศาสตร์ ดาวพลูโตยังคงมีความสำคัญทางวัฒนธรรมต่อสาธารณชนโดยรวมเนื่องด้วยการจัดประเภทที่แต่เดิมให้เป็นดาวเคราะห์จากปี 2473 ถึง 2549[44]
ประมวลเรื่องปรัมปราและการตั้งชื่อ[แก้]
การก่อตัว[แก้]
การก่อตัวของดาวเคราะห์ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับมากที่สุดระบุว่า ดาวเคราะห์ก่อตัวขึ้นจากการยุบตัวของเนบิวลาเป็นจานบาง ๆ ของแก๊สและฝุ่น ดาวฤกษ์ก่อนเกิดก่อตัวขึ้นที่ใจกลาง และมีจานดาวเคราะห์ก่อนเกิดหมุนอยู่รอบ ๆ อนุภาคฝุ่นในจานค่อย ๆ รวมกันเป็นวัตถุขนาดใหญ่ขึ้นด้วยการพอกพูนมวล แล้วกระบวนการพอกพูนมวลก็เร่งเร็วขึ้นโดยเศษดาวเคราะห์ขนาดเล็กดึงวัตถุอื่นเพิ่มเติมเข้ามาด้วยแรงโน้มถ่วง การรวมตัวนี้หนาแน่นมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งแรงโน้มถ่วงทำให้เกิดการยุบตัวสู่ด้านใน ก่อตัวเป็นดาวเคราะห์ก่อนเกิด[45] เมื่อดาวเคราะห์มีมวลมากกว่าดาวอังคาร กระบวนการสะสมชั้นบรรยากาศจะเริ่มขึ้น[46] และเพิ่มอัตราการจับเศษดาวเคราะห์ขนาดเล็กด้วยการลากของบรรยากาศ[47][48] ดาวเคราะห์คล้ายโลก ดาวเคราะห์ยักษ์ ดาวเคราะห์น้ำแข็งยักษ์อาจก่อตัวขึ้นมาได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พอกพูนขึ้นมา[49][50][51]
ระบบสุริยะ[แก้]
มีดาวเคราะห์แปดดวงในระบบสุริยะ เรียงตามระยะห่างจากดวงอาทิตย์:
ดาวพฤหัสบดีมีขนาดใหญ่ที่สุดที่ 318 เท่าของมวลโลก ขณะที่ดาวพุธมีขนาดเล็กที่สุดที่ 0.055 เท่าของมวลโลก
ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะสามารถแบ่งออกได้เป็นหมวดหมู่ตามองค์ประกอบของดาว ดังนี้
- ดาวเคราะห์คล้ายโลก: ดาวเคราะห์ที่มีลักษณะคล้ายโลก โดยมีองค์ประกอบส่วนมากเป็นหิน ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร ดาวพุธเป็นดาวเคราะห์คล้ายโลกขนาดเล็กที่สุด (และเป็นดาวเคราะห์ขนาดเล็กที่สุด) ในระบบสุริยะ ส่วนโลกมีขนาดใหญ่ที่สุด
- ดาวเคราะห์ยักษ์: ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่มีมวลมากกว่าดาวเคราะห์คล้ายโลกมาก ได้แก่ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน
- ดาวเคราะห์แก๊สยักษ์ ได้แก่ ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ อันเป็นดาวเคราะห์ยักษ์ที่มีองค์ประกอบส่วนมากเป็นไฮโดรเจนและฮีเลียม และยังเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่สุด ส่วนดาวเสาร์มีมวลน้อยกว่ากาวพฤหัสบดี 1/3 ที่ 95 เท่าของมวลโลก
- ดาวเคราะห์น้ำแข็งยักษ์ ได้แก่ ดาวยูเรนัสและดาวเนปจูน อันเป็นดาวเคราะห์ยักษ์ที่มีองค์ประกอบส่วนมากเป็นวัสดุจุดเดือดต่ำ เช่น น้ำ มีเทน และแอมโมเนีย และมีชั้นบรรยากาศที่หนาประกอบด้วยไฮโดรเจนและฮีเลียม ดาวเคราะห์กลุ่มนี้มีมวลน้อยกว่าดาวเคราะห์แก๊สยักษ์มาก (แค่ 14 และ 17 เท่าของมวลโลก)
คุณสมบัติดาวเคราะห์[แก้]
ชื่อ | เส้นผ่านศูนย์กลาง ที่เส้นศูนย์สูตร [h] |
มวล [h] | กึ่งแกนเอก (AU) | คาบการโคจร (ปี) [h] |
ความเอียง เทียบกับเส้นศูนย์สูตรดวงอาทิตย์ (°) |
ความเยื้อง วงโคจร |
คาบการหมุนรอบตัวเอง (วัน) |
ดาวบริวาร ที่ยืนยันแล้ว [i] |
ความเอียงของแกน (°) | วงแหวน | บรรยากาศ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1. | ดาวพุธ | 0.382 | 0.06 | 0.39 | 0.24 | 3.38 | 0.206 | 58.64 | 0 | 0.04 | ไม่มี | เบาบาง |
2. | ดาวศุกร์ | 0.949 | 0.82 | 0.72 | 0.62 | 3.86 | 0.007 | −243.02 | 0 | 177.36 | ไม่มี | CO2, N2 |
3. | โลก (a) | 1.00 | 1.00 | 1.00 | 1.00 | 7.25 | 0.017 | 1.00 | 1 | 23.44 | ไม่มี | N2, O2, Ar |
4. | ดาวอังคาร | 0.532 | 0.11 | 1.52 | 1.88 | 5.65 | 0.093 | 1.03 | 2 | 25.19 | ไม่มี | CO2, N2, Ar |
5. | ดาวพฤหัสบดี | 11.209 | 317.8 | 5.20 | 11.86 | 6.09 | 0.048 | 0.41 | 79 | 3.13 | มี | H2, He |
6. | ดาวเสาร์ | 9.449 | 95.2 | 9.54 | 29.46 | 5.51 | 0.054 | 0.43 | 62 | 26.73 | มี | H2, He |
7. | ดาวยูเรนัส | 4.007 | 14.6 | 19.22 | 84.01 | 6.48 | 0.047 | −0.72 | 27 | 97.77 | มี | H2, He, CH4 |
8. | ดาวเนปจูน | 3.883 | 17.2 | 30.06 | 164.8 | 6.43 | 0.009 | 0.67 | 14 | 28.32 | มี | H2, He, CH4 |
สี: ดาวเคราะห์คล้ายโลก ดาวเคราะห์แก๊สยักษ์ ดาวเคราะห์น้ำแข็งยักษ์ (ทั้งสองกลุ่มเป็นดาวเคราะห์ยักษ์) (a) ดูค่าสัมบูรณ์ได้ในบทความ โลก |
ดาวเคราะห์นอกระบบ[แก้]
วัตถุมวลเท่าดาวเคราะห์[แก้]
คุณลักษณะ[แก้]
ลักษณะที่ไม่คงที่[แก้]
ลักษณะทางกายภาพ[แก้]
ลักษณะรอง[แก้]
เชิงอรรถ[แก้]
- ↑ นิยามนี้เขียนขึ้นโดยแถลงการณ์ของไอเอยูสองฉบับ แถลงการณ์อย่างเป็นทางการที่ได้รับการยอมรับจากไอเอยูในปี พ.ศ. 2549 และนิยามอย่างไม่เป็นทางการที่เขียนโดยไอเอยู ในปี พ.ศ. 2544/2546 สำหรับวัตถุนอกระบบสุริยะ นิยามปี พ.ศ. 2549 อย่างเป็นทางการนำมาใช้กับเฉพาะวัตถุในระบบสุริยะเท่านั้น แต่ทว่านิยามของปี พ.ศ. 2546 นำมาใช้กับดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์อื่นด้วย ปัญหาดาวเคราะห์นอกระบบนี้ถือว่าเป็นปัญหาซับซ้อนเกินกว่าที่จะแก้ไขในการประชุมไอเอยู
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ1in5sunlike
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ1in5earthsized
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ1in5habitable
- ↑ อ้างอิงถึงโดยเฮยเคินส์ว่าเป็น Planetes novus ("ดาวเคราะห์ดวงใหม่") ใน Systema Saturnium
- ↑ 6.0 6.1 ทั้งคู่ได้รับการระบุว่าเป็น nouvelles planètes (ดาวเคราะห์ดวงใหม่) โดยกัสซินีใน Découverte de deux nouvelles planetes autour de Saturne[41]
- ↑ 7.0 7.1 ทั้งคู่ครั้งหนึ่งเคยได้รับการระบุว่าเป็นดาวเคราะห์โดยกัสซีนีใน An Extract of the Journal Des Scavans... คำว่า "ดาวบริวาร" เริ่มมีการใช้เพื่อแยกวัตถุเหล่านี้ออกจากวัตถุที่มันโคจรอยู่ ("ดาวเคราะห์ปฐมภูมิ")
- ↑ 8.0 8.1 8.2 เมื่อเทียบกับโลก
- ↑ ดาวพฤหัสบดีมีดาวบริวารที่ยืนยันแล้วมากที่สุด (79 ดวง) ในระบบสุริยะ[52]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ "IAU 2006 General Assembly: Result of the IAU Resolution votes". International Astronomical Union. 2006. สืบค้นเมื่อ 2009-12-30.
- ↑ "Working Group on Extrasolar Planets (WGESP) of the International Astronomical Union". IAU. 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-09-16. สืบค้นเมื่อ 2008-08-23.
- ↑ "NASA discovery doubles the number of known planets". USA TODAY. 10 May 2016. สืบค้นเมื่อ 10 May 2016.
- ↑ Schneider, Jean (16 January 2013). "Interactive Extra-solar Planets Catalog". The Extrasolar Planets Encyclopaedia. สืบค้นเมื่อ 2013-01-15.
- ↑ NASA Staff (20 December 2011). "Kepler: A Search For Habitable Planets – Kepler-20e". NASA. สืบค้นเมื่อ 2011-12-23.
- ↑ NASA Staff (20 December 2011). "Kepler: A Search For Habitable Planets – Kepler-20f". NASA. สืบค้นเมื่อ 2011-12-23.
- ↑ Johnson, Michele (20 December 2011). "NASA Discovers First Earth-size Planets Beyond Our Solar System". NASA. สืบค้นเมื่อ 2011-12-20.
- ↑ Hand, Eric (20 December 2011). "Kepler discovers first Earth-sized exoplanets". Nature. doi:10.1038/nature.2011.9688.
- ↑ Overbye, Dennis (20 December 2011). "Two Earth-Size Planets Are Discovered". New York Times. สืบค้นเมื่อ 2011-12-21.
- ↑ Cassan, Arnaud; D. Kubas; J.-P. Beaulieu; M. Dominik; และคณะ (12 January 2012). "One or more bound planets per Milky Way star from microlensing observations". Nature. 481 (7380): 167–169. arXiv:1202.0903. Bibcode:2012Natur.481..167C. doi:10.1038/nature10684. PMID 22237108.
- ↑ "Ancient Greek Astronomy and Cosmology". The Library of Congress. สืบค้นเมื่อ 2016-05-19.
- ↑ πλανήτης, H. G. Liddell and R. Scott, A Greek–English Lexicon, ninth edition, (Oxford: Clarendon Press, 1940).
- ↑ "Definition of planet". Merriam-Webster OnLine. สืบค้นเมื่อ 2007-07-23.
- ↑ "Planet Etymology". dictionary.com. สืบค้นเมื่อ 29 June 2015.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อoed
- ↑ Neugebauer, Otto E. (1945). "The History of Ancient Astronomy Problems and Methods". Journal of Near Eastern Studies. 4 (1): 1–38. doi:10.1086/370729.
- ↑ Ronan, Colin. "Astronomy Before the Telescope". Astronomy in China, Korea and Japan (Walker ed.). pp. 264–265.
- ↑ Kuhn, Thomas S. (1957). The Copernican Revolution. Harvard University Press. pp. 5–20. ISBN 978-0-674-17103-9.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อpractice
- ↑ Francesca Rochberg (2000). "Astronomy and Calendars in Ancient Mesopotamia". ใน Jack Sasson (บ.ก.). Civilizations of the Ancient Near East. Vol. III. p. 1930.
- ↑ Holden, James Herschel (1996). A History of Horoscopic Astrology. AFA. p. 1. ISBN 978-0-86690-463-6.
- ↑ Hermann Hunger, บ.ก. (1992). Astrological reports to Assyrian kings. State Archives of Assyria. Vol. 8. Helsinki University Press. ISBN 978-951-570-130-5.
- ↑ Lambert, W. G.; Reiner, Erica (1987). "Babylonian Planetary Omens. Part One. Enuma Anu Enlil, Tablet 63: The Venus Tablet of Ammisaduqa". Journal of the American Oriental Society. 107 (1): 93–96. doi:10.2307/602955. JSTOR 602955.
- ↑ Kasak, Enn; Veede, Raul (2001). Mare Kõiva; Andres Kuperjanov (บ.ก.). "Understanding Planets in Ancient Mesopotamia" (PDF). Electronic Journal of Folklore. 16: 7–35. CiteSeerX 10.1.1.570.6778. doi:10.7592/fejf2001.16.planets. สืบค้นเมื่อ 2008-02-06.
- ↑ A. Sachs (May 2, 1974). "Babylonian Observational Astronomy". Philosophical Transactions of the Royal Society. 276 (1257): 43–50 [45 & 48–9]. Bibcode:1974RSPTA.276...43S. doi:10.1098/rsta.1974.0008. JSTOR 74273.
- ↑ J. J. O'Connor and E. F. Robertson, Aryabhata the Elder, MacTutor History of Mathematics archive
- ↑ Sarma, K. V. (1997) "Astronomy in India" in Selin, Helaine (editor) Encyclopaedia of the History of Science, Technology, and Medicine in Non-Western Cultures, Kluwer Academic Publishers, ISBN 0-7923-4066-3, p. 116
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อgalileo_project
- ↑ ดูอ้างอิงหลักได้ที่ เส้นเวลาการค้นพบดาวเคราะห์และดาวบริวารในระบบสุริยะ
- ↑ Hilton, James L. (2001-09-17). "When Did the Asteroids Become Minor Planets?". U.S. Naval Observatory. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-21. สืบค้นเมื่อ 2007-04-08.
- ↑ Croswell, K. (1997). Planet Quest: The Epic Discovery of Alien Solar Systems. The Free Press. p. 57. ISBN 978-0-684-83252-4.
- ↑ Lyttleton, Raymond A. (1936). "On the possible results of an encounter of Pluto with the Neptunian system". Monthly Notices of the Royal Astronomical Society. 97 (2): 108–115. Bibcode:1936MNRAS..97..108L. doi:10.1093/mnras/97.2.108.
- ↑ Whipple, Fred (1964). "The History of the Solar System". Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America. 52 (2): 565–594. Bibcode:1964PNAS...52..565W. doi:10.1073/pnas.52.2.565. PMC 300311. PMID 16591209.
- ↑ Luu, Jane X.; Jewitt, David C. (1996). "The Kuiper Belt". Scientific American. 274 (5): 46–52. Bibcode:1996SciAm.274e..46L. doi:10.1038/scientificamerican0596-46.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อWolszczan
- ↑ Mayor, Michel; Queloz, Didier (1995). "A Jupiter-mass companion to a solar-type star". Nature. 378 (6356): 355–359. Bibcode:1995Natur.378..355M. doi:10.1038/378355a0.
- ↑ Basri, Gibor (2000). "Observations of Brown Dwarfs". Annual Review of Astronomy and Astrophysics. 38 (1): 485–519. Bibcode:2000ARA&A..38..485B. doi:10.1146/annurev.astro.38.1.485.
- ↑ Green, D. W. E. (2006-09-13). "(134340) Pluto, (136199) Eris, and (136199) Eris I (Dysnomia)" (PDF). IAU Circular. Central Bureau for Astronomical Telegrams, International Astronomical Union. 8747: 1. Bibcode:2006IAUC.8747....1G. Circular No. 8747. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 24, 2008. สืบค้นเมื่อ 2011-07-05.
- ↑ Lindberg, David C. (2007). The Beginnings of Western Science (2nd ed.). Chicago: The University of Chicago Press. p. 257. ISBN 978-0-226-48205-7.
- ↑ 40.0 40.1 Salmon, Thomas; Tytler, James (1782). "The New Universal Geographical Grammar".
- ↑ Giovanni Cassini (1673). Decouverte de deux Nouvelles Planetes autour de Saturne. Sabastien Mabre-Craniusy. pp. 6–14.
- ↑ Hilton, James L. "When did the asteroids become minor planets?". U.S. Naval Observatory. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-03-24. สืบค้นเมื่อ 2008-05-08.
- ↑ "The Planet Hygea". spaceweather.com. 1849. สืบค้นเมื่อ 2008-04-18.
- ↑ Moskowitz, Clara (2006-10-18). "Scientist who found '10th planet' discusses downgrading of Pluto". Stanford news. สืบค้นเมื่อ 2008-08-23.
- ↑ Wetherill, G. W. (1980). "Formation of the Terrestrial Planets". Annual Review of Astronomy and Astrophysics. 18 (1): 77–113. Bibcode:1980ARA&A..18...77W. doi:10.1146/annurev.aa.18.090180.000453.
- ↑ D'Angelo, G.; Bodenheimer, P. (2013). "Three-dimensional Radiation-hydrodynamics Calculations of the Envelopes of Young Planets Embedded in Protoplanetary Disks". The Astrophysical Journal. 778 (1): 77 (29 pp.). arXiv:1310.2211. Bibcode:2013ApJ...778...77D. doi:10.1088/0004-637X/778/1/77.
- ↑ Inaba, S.; Ikoma, M. (2003). "Enhanced Collisional Growth of a Protoplanet that has an Atmosphere". Astronomy and Astrophysics. 410 (2): 711–723. Bibcode:2003A&A...410..711I. doi:10.1051/0004-6361:20031248.
- ↑ D'Angelo, G.; Weidenschilling, S. J.; Lissauer, J. J.; Bodenheimer, P. (2014). "Growth of Jupiter: Enhancement of core accretion by a voluminous low-mass envelope". Icarus. 241: 298–312. arXiv:1405.7305. Bibcode:2014Icar..241..298D. doi:10.1016/j.icarus.2014.06.029.
- ↑ Lissauer, J. J.; Hubickyj, O.; D'Angelo, G.; Bodenheimer, P. (2009). "Models of Jupiter's growth incorporating thermal and hydrodynamic constraints". Icarus. 199 (2): 338–350. arXiv:0810.5186. Bibcode:2009Icar..199..338L. doi:10.1016/j.icarus.2008.10.004.
- ↑ D'Angelo, G.; Durisen, R. H.; Lissauer, J. J. (2011). "Giant Planet Formation". ใน S. Seager. (บ.ก.). Exoplanets. University of Arizona Press, Tucson, AZ. pp. 319–346. arXiv:1006.5486. Bibcode:2010exop.book..319D.
- ↑ Chambers, J. (2011). "Terrestrial Planet Formation". ใน S. Seager. (บ.ก.). Exoplanets. University of Arizona Press, Tucson, AZ. pp. 297–317. Bibcode:2010exop.book..297C.
- ↑ Scott S. Sheppard (2013-01-04). "The Jupiter Satellite Page (Now Also The Giant Planet Satellite and Moon Page)". Carnegie Institution for Science. สืบค้นเมื่อ 2013-04-12.