ผักกาดขาวหยก
ผักกาดขาวหยก | |
---|---|
![]() | |
ศิลปิน | ไม่ทราบ |
ปี | ศตวรรษที่ 19 |
ประเภท | ประติมากรรมหยกเจไดต์ |
มิติ | 18.7 cm × 9.1 cm (7.4 นิ้ว × 3.6 นิ้ว) |
สถานที่ | พิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งชาติ ไทเป |
ผักกาดขาวหยก (จีน: 翠玉白菜; พินอิน: Cuìyù Báicài; เป่อ่วยยี: Chhùi-ge̍k Pe̍h-chhài) เป็นประติมากรรมแกะสลักจากหยกเจไดต์เป็นรูปรูปหัวผักกาดขาวที่ในใบมีตั๊กแตนหนวดสั้นและตั๊กแตนหนวดยาวพรางตัวอยู่ในใบ ของสะสมของพิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งชาติ ในไทเป ประเทศไต้หวัน[1]
ประติมากรรมนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในบรรดานักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ จนมักถูกเข้าใจผิดว่าได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติแห่งชาติ แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นโบราณวัตถุสำคัญ ซึ่งมีระดับความสำคัญรองลงมา เท่านั้น[2] ผักกาดขาวหยกได้รับการยอมรับให้เป็นผลงานชิ้นเอก "ที่มีชื่อเสียงที่สุด" ของพิพิธภัณฑ์[3][4] และหนึ่งในสามสมบัติเอกแห่งพิพิธภัณฑ์ ร่วมกับ หินรูปเนื้อ และ เหมากงติ่ง[5] รวมถึงได้รับการคัดเลือกจากสาธารณชนให้เป็นชิ้นงานที่สำคัญที่สุดของทั้งพิพิธภัณฑ์[6]
ลักษณะ
[แก้]ผักกาดขาวหยกมีขนาดยาว 18.7 เซนติเมตร กว้าง 9.1 เซนติเมตร หนา 5.07 เซนติเมตร[1] ถือว่าเป็นขนาดที่ "พอกับมือคน"[3]
ลักษณะใบหยักเป็นคลื่น ความโปร่งแสงซึ่งเกิดจากการผสมสีธรรมชาติของหยกหลายสีเข้าด้วยกันจนเกิดสีสันต่าง ๆ เหมือนกับผักกาดขาว[1] แกะสลักมาจากหยกเจไดต์ครึ่งขาวครึ่งเขียวซึ่งมีตำหนิเช่นรอยแตกและคราบจุดสีอยู่ รอยตำหนิเ่านี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของประติมากรรมในฐานะเส้นใบของผักกาด[6]
มีการตีความว่าผักกาดขาวนี้แทนคุณธรรมของสตรีโดยก้านสีขาวแทนความบริสุทธิ์ ใบสีเขียวแทนความร่ำรวยและความเจริญพันธุ์ ส่วนตั๊กแตนแทนเด็ก ๆ หรือลูกหลาน[1][3] กระนั้น จากการศึกษาชิ้นงานทางวิชาการพบว่าการตีความที่ว่านี้มีข้อผิดพลาดอยู่ บทกวีจากหนังสือกวี มีการกล่าวถึงแมลง "zhongsi" ซึ่งตีความเป็นอุปมาถึงการมีบุตรหลานมากในวัฒนธรรมจีน และเป็นสัญลักษณ์มงคลถึงการมีบุตรหลานมาก จากการวิเคราะห์และการตีคสามบทกวีนี้ แมลง "zhongsi" น่าจะหมายถึงตั๊กแตนโลคัสตา (migratory locust) กระนั้น ขนาดตัวของตั๊กแตนหนวดสั้นบนประติมากรรมนี้มีขนาดเล็กเกินไปกว่าจะเป็นตั๊กแตนโลคัสตา ในชณะที่ตั๊กแตนหนวดยาวนั้นเป็นที่แน่ใจว่าคือจิ้งหรีดพุ่มไม้จีน (Chinese bush cricket; Gampsocleis gratiosa) ซึ่งไม่ใช่แมลง "zhongsi" แน่ ๆ ในทางกลับกัน จิ้งหรีดพุ่มไม้จีนเป็นแมลงส่งเสียงที่เลี้ยงเพาะพันธุ์โดยมนุษย์และใช้งานในสมัยราชวงศ์ชิงเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับแขกในงานเลี้ยงรับรองของวังหลวง ทั้งหมดนี้หมายความว่า ตั๊กแตนที่ปรากฏบนประติมากรรมผักกาดขาวหยกนี้ ไม่ได้เป็นอุปมาถึงความเจริญพันธุ์ตามที่นิยมตีความกัน[7]
ประวัติศาสตร์
[แก้]ไม่เป็นที่ทราบถึงประติมากรผู้สร้างสรรค์ประติมากรรมนี้ ปรากฏการนำมาจัดแสดงครั้งแรกที่วังย่งเหอในพระราชวังต้องห้าม ซึ่งในเวลานั้นใช้งานเป็นที่พำนักของมเหสีจิ่นของจักรพรรดิกวังซฺวี่แห่งราชวงศ์ชิง นางน่าจะได้รับประติมากรรมนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของสินสอดจากการแต่งงานกับจักรพรรดิในปี 1889[1][3] หลังราชวงศ์ชิงล่มสลาย จีนเกิดการปฏิวัติ ประติมากรรมนี้ตกทอดมายังพิพิธภัณฑ์พระราชวังของพระราชวังต้องห้าม ต่อมา ของสะสมหลักของพิพิธภัณฑ์ซึ่งรวมถึงประติมากรรมชิ้นนี้ รอดพ้นจากภัยสงครามกับญี่ปุ่นครั้งที่สองในสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามกลางเมืองจีน ก่อนที่ในท้ายที่สุดจะถูกขนย้ายมายังพิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งชาติที่ไต้หวันในสมัยรัฐบาลสาธารณรัฐจีนลี้ภัยมายังเกาะไต้หวัน
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 Jadeite Cabbage with Insects at the National Palace Museum website. Retrieved 20 November 2010.
- ↑ 江昭倫,故宮副院長馮明珠:不反對翠玉白菜、肉形石升級為國寶,中央廣播電台,2009-03-26[ลิงก์เสีย]
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 Leslie Hook. "The Jade Cabbage" Wall Street Journal. 27 July 2007. Retrieved 20 November 2010.
- ↑ Ewbank, Anne (2017-12-06). "Why a Jade Cabbage is One of Taiwan's Most Treasured Artifacts". Atlas Obscura. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-12-13. สืบค้นเมื่อ 2025-04-17.
- ↑ 倪再沁 (2007). "神畫的形塑—論故宮三寶". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-11-03. สืบค้นเมื่อ 2025-04-15.
- ↑ 6.0 6.1 Sam Ju. "The Crystallization of the Jadeite Cabbage." เก็บถาวร 2016-08-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Translated by David Smith. Taiwan Panorama. October 2009. p. 83. Retrieved 20 November 2010.
- ↑ Akey C. F. Hung (15 July 2014). "The two insects on the Jadeite Cabbage" (ภาษาจีน).
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Jadeite Cabbage with Insects at the National Palace Museum website
- Leslie Hook. "The Jade Cabbage" Wall Street Journal. 27 July 2007.