ข้ามไปเนื้อหา

ปุษปคิริวิหาร

พิกัด: 20°43′22″N 86°11′25″E / 20.722739°N 86.190338°E / 20.722739; 86.190338
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ปุษปคิริ
ปริตมกรรรมสลักบนผาหินที่ปุษปคิริ
ศาสนา
ศาสนาศาสนาพุทธ
เขตยาชปุระ
ที่ตั้ง
ที่ตั้งIndia
รัฐรัฐโอฑิศา
ปุษปคิริวิหารตั้งอยู่ในรัฐโอริศา
ปุษปคิริวิหาร
ที่ตั้งในรัฐโอริศา
ปุษปคิริวิหารตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย
ปุษปคิริวิหาร
ปุษปคิริวิหาร (ประเทศอินเดีย)
พิกัดภูมิศาสตร์20°43′22″N 86°11′25″E / 20.722739°N 86.190338°E / 20.722739; 86.190338

ปุษปคิริ (โอริยา: ପୁଷ୍ପଗିରି) เป็นมหาวิหารพุทธโบราณตั้งอยู่บนเนินเขาลางคุริ ในอำเภอยาชปุระ รัฐโอฑิศา ประเทศอินเดีย ปรากฏหลักฐานการกล่าวถึงในบันทึกของภิกษุเสวียนจ้าง (ป. 602 –  664) และในเอกสารทางประวัติศาสตร์อื่น ๆ แหล่งโบราณคดีที่ปุษปคิริประกอบด้วยสิ่งปลูกสร้างมากมาย ตลอดจนสถูป โบราณวัตถุ และประติมากรรม การขุดค้นบนเขาลางคุริระหว่างปี 1996-2006 นำไปสู่การค้นพบหลักฐานจารึกที่บรรยายแหล่งนี้ว่ามีชื่อ ปุษฺป สภรฺ คิริย จึงเชื่อว่าเป็นสถานที่เดียวกับปุษปคิริวิหารในบันทึกโบราณ ปัจจุบันแหล่งโบราณคดีที่ลางคุริเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และถือเป็นสถานที่ในการศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดี

การที่ภิกษุเสียนจ้างเดินทางจาริกมาที่นี่ในอดีตบ่งบอกว่าปุษปคิริเป็นพุทธศาสนสถานสำคัญในอินเดียโบราณ และเชื่อว่าเป็นแหล่งศึกษาศาสนาพุทธที่สำคัญ เช่นเดียวกับทั้งนาลันทา, วิกรมศิลา, โอทันตปุรี, ตักษศิลา และ วัลลภี มียุคสมัยรุ่งเรืองระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3-11[1] ในบันทึกของภิกษุเสวียนจ้าง บรรยายไว้ว่าได้เดินทางมายังสังฆารามนามว่า Pu-se-p'o-k'i-li ตั้งอยู่ทางใต้ของอินเดีย นักวิชาการเช่น สตานีสลัส ยูเลียน และ ซามูเอล บีล ฟื้นสภาพการจัดเรียงชื่อจาก Pu-se-po-k'i-li ว่าตรงกับ "ปุษปคิริ" ซึ่งตั้งอยู่ในดินแดน โอตะ หรือ "อุทระ"[2][3] ซึ่งตรงกับอาณาจักรโอทระ ปัจจุบันคือรัฐโอริสาในประเทศอินเดีย

อ้างอิง

[แก้]
  1. Scott L. Montgomery; Alok Kumar (2015). A History of Science in World Cultures: Voices of Knowledge. Routledge. p. 121. ISBN 9781317439066.
  2. Hiuen Tsang (1885). Buddhist records of the Western World. แปลโดย Samuel Beal. J. R. Osgood. p. 204.
  3. Thomas Watters (1905). Thomas William Rhys Davids; Stephen Wootton Bushell (บ.ก.). On Yuan Chwang's travels in India, 629-645 A.D. London: Royal Asiatic Society. pp. 193–194.