ประวัติศาสตร์อักษร
ประวัติศาสตร์ของอักษร ชนิดแทนหน่วยเสียงมีจุดเริ่มต้นอยู่ในอียิปต์โบราณ อักษรแทนหน่วยเสียงชนิดแรกเป็นอักษรไร้สระ ปรากฏเมื่อ 1,457 ปีก่อนพุทธศักราช ซึ่งเป็นผลงานของแรงงานชาวเซมิติกในอียิปต์ เพื่อใช้เขียนภาษาของตนเอง โดยได้รับอิทธิพลจากอักษรที่ใช้แทนเสียงพยัญชนะซึ่งใช้คู่กับอักษรคำในอักษรไฮโรกลิฟฟิก อักษรอื่น ๆ ที่ใช้ในปัจจุบันส่วนใหญ่พัฒนามาจากอักษรนี้รวมทั้งอักษรฟินิเชีย อักษรกรีก และอักษรละติน[1]
จุดกำเนิดในอียิปต์
[แก้]เมื่อประมาณ 2,157 ปีก่อนพุทธศักราช ชาวอียิปต์โบราณพัฒนาอักษร 22 ตัว ใช้แสดงเสียงพยัญชนะ และสัญลักษณ์ตัวที่ 23 ใช้แสดงคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียงสระ ซึ่งใช้แสดงการออกเสียงของอักษรไฮโรกลิฟฟิกที่ใช้แทนคำ แสดงการผันทางไวยากรณ์ และใช้ถ่ายเสียงคำยืมจากภาษาอื่น แต่ตัวอักษรเหล่านี้ไม่ได้ใช้ในระบบอักษรแทนหน่วยเสียง ระบบอักษรแทนหน่วยเสียงปรากฏครั้งแรกเมื่อ 1,457 ปีก่อนพุทธศักราช โดยคนงานชาวเซมิติกในอียิปต์ตอนกลาง[2] อีก 500 ปีต่อมา อักษรนี้ได้แพร่กระจายขึ้นไปทางเหนือ และเป็นต้นกำเนิดของอักษรต่าง ๆ ทั่วโลก ยกเว้นอักษรเมรอยติกที่พัฒนาจากไฮโรกลิฟฟิกเมื่อ พ.ศ. 243 ในนิวเบีย อียิปต์ใต้
อักษรตระกูลเซมิติก
[แก้]อักษรเหล่านี้ไม่ได้มาจากสัญลักษณ์แทนพยัญชนะของชาวอียิปต์ แต่เป็นการรวมอักษรไฮโรกลิฟฟิกอื่น ๆ เข้ามาด้วย ทั้งหมดมี 30 ตัว กำหนดชื่อเป็นภาษาเซมิติกเช่น ไฮโรกลิฟ per (บ้าน ในภาษาอียิปต์) กลายเป็น bayt (บ้าน ในภาษาเซมิติก)[3] เมื่อนำมาเขียนภาษาเซมิติกจะเป็นระบบพยัญชนะล้วน โดยอักษรแต่ละตัวแทนเสียงพยัญชนะตัวแรกของชื่อ เช่น รูปบ้าน beyt ใช้แทนเสียง b หรือใช้แทนทั้งเสียง b และลำดับพยัญชนะ byt ดังที่ใช้แทนเสียง p และลำดับพยัญชนะ pr ในภาษาอียิปต์ ในยุคที่ชาวคานาอันนำอักษรนี้ไปใช้ จะใช้แทนเสียง b เท่านั้น [4] ไม่มีหลักฐานว่าอักษรเซมิติกเริ่มต้นมีจำนวนเท่าใดและเรียงลำดับอย่างใด อักษรที่พัฒนาต่อมานั้น อักษรยูการิติคมี 27 ตัว และอักษรฟินิเชียมี 22 ตัว การเรียงลำดับของอักษรเหล่านี้มี 2 แบบ คือ ลำดับ ABGDE ของอักษรฟินิเชีย และลำดับ HMĦLQ ของอักษรทางใต้ อักษรยูการิติกใช้ทั้ง 2 แบบ ชื่อของอักษรมักใช้ตามอักษรฟินิเชีย ทั้งอักษรซามาริทัน อักษรอราเมอิก อักษรซีเรียค อักษรฮีบรูและอักษรกรีก แต่ต่างไปในอักษรอาหรับและอักษรละติน แต่ไม่มีการใช้ชื่ออักษรในอักษรพราหมีและอักษรรูนิก
ชื่ออักษรและการเรียงลำดับ
[แก้]ตารางนี้แสดงอักษรฟินิเชียและอักษรที่เป็นลูกหลาน
ลำดับที่ | อักษรคานาอันไนต์ | ระบบสัทศาสตร์สากล(IPA) | value | อักษรยูการิติก | อักษรฟินิเชีย | อักษรฮีบรู | อักษรอาหรับ | อักษรที่เป็นลูกหลาน |
1 | ʼalp "วัว" | /ʔ/ | 1 | 𐎀 ʼalpa | ![]() |
א | ا | Α A А ᚨ |
2 | bet "บ้าน" | /b/ | 2 | 𐎁 beta | ![]() |
ב | ﺏ | Β B В-Б ᛒ |
3 | gaml “เครื่องขว้าง” | /g/ | 3 | 𐎂 gamla | ![]() |
ג | ﺝ | Γ C-G Г ᚲ |
4 | dalet “ประตู” / digg “ปลา” | /d/ | 4 | 𐎄 delta | ![]() |
ד | ﺩ | Δ D Д |
5 | Haw “หน้าต่าง” / hll “การเฉลิมฉลอง” | /h/ | 5 | 𐎅 ho | ![]() |
ה | هـ | Ε E Е-Є |
6 | wāw “ห่วง” | /β/ | 6 | 𐎆 wo | ![]() |
ו | و | polytonicϜ-Υ F-V-Y У ᚢ |
7 | zen “อาวุธ” / ziqq “โซ่ตรวน” | /z/ | 7 | 𐎇 zeta | ![]() |
ז | ز | Ζ Z З |
8 | ḥet “เส้นด้าย” / “รั้ว” | /ħ/ / /x/ | 8 | 𐎈 ḥota | ![]() |
ח | ح | Η H И ᚺ |
9 | ṭēt “ล้อ” | /tˁ/}} | 9 | 𐎉 ṭet | ![]() |
ט | ط | Θ Ѳ |
10 | yad “แขน” | /j/ | 10 | 𐎊 yod | ![]() |
י | ي | Ι I ᛁ |
11 | kap “มือ” | /k/ | 20 | 𐎋 kap | ![]() |
כ | ك | Κ K К |
12 | lamd “ปฏัก” | /l/ | 30 | 𐎍 lamda | ![]() |
ל | ل | Λ L Л ᛚ |
13 | mem “น้ำ” | /m/ | 40 | 𐎎 mem | ![]() |
م | Μ M М | |
14 | naḥš “งู” / nun“ปลา” | /n/ | 50 | 𐎐 nun | ![]() |
נ | ن | Ν N Н |
15 | samek “การสนับสนุน” / “ปลา” ?" | /s/ | 60 | 𐎒 samka | ![]() |
ס | - | Ξ |
16 | ʻen “ตา” | /ʕ/ | 70 | 𐎓 ʻain | ![]() |
ע | ع | Ο O О |
17 | pu “ปาก” / piʼt“มุม” | /p/ | 80 | 𐎔 pu | ![]() |
פ | ف | Π P П |
18 | ṣad “พืช” | /sˁ/ | 90 | 𐎕 ṣade | ![]() |
צ | ص | Ϡ |
19 | qup “เชือก” | /kˁ/ | 100 | 𐎖 qopa | ![]() |
ק | ق | Ϙ Q Ҁ |
20 | raʼs “หัว” | /r/ / /ɾ/ | 200 | 𐎗 raša | ![]() |
ר | ر | Ρ R Р ᚱ |
21 | šin “ฟัน” / šimš “พระอาทิตย์” | /ʃ/ | 300 | 𐎌 šin | ![]() |
ש | س | Σ S Ш ᛊ |
22 | Taw “แต้ม” | /t/ | 400 | 𐎚 to | ![]() |
ת | ت | Τ T Т ᛏ |
ลูกหลานของอักษรเซมิติก
[แก้]อักษรคานาอันไนต์ระยะแรกใช้แทนเสียงพยัญชนะเท่านั้น ซึ่งเป็นระบบที่เรียกว่าอักษรไร้สระ และพัฒนาต่อไปเป็นอักษรฟินิเชีย อักษรอราเมอิกที่พัฒนาไปจากอักษรฟินิเชียซึ่งใช้เขียนภาษาราชการของจักรวรรดิเปอร์เซียเป็นบรรพบุรุษของอักษรอื่น ๆ ในเอเชีย ได้แก่
- อักษรฮีบรูสมัยใหม่ พัฒนามาจากอักษรอราเมอิกผ่านทางอักษรซามาริทัน [5] [6]
- อักษรอาหรับ พัฒนามาจากอักษรอราเมอิกผ่านทางอักษรนาบาทาเอียน ทีใช้ในจอร์แดนตอนใต้
- อักษรซีเรียค พัฒนามาจากอักษรปะห์ลาวีและอักษรซอกเดียเป็นต้นแบบของอักษรออร์กอน อักษรอุยกูร์ อักษรมองโกเลียและอักษรแมนจู
- อักษรจอร์เจีย อาจมาจากอักษรอราเมอิกผ่านทางอักษรในเปอร์เซียหรืออักษรกรีก
- อักษรอราเมอิกอาจเป็นบรรพบุรุษของอักษรพราหมีที่พัฒนาไปเป็นอักษรทิเบต อักษรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ใช้ในศาสนาพุทธและศาสนาฮินดู
- อักษรฮันกึล ที่ใช้เขียนภาษาเกาหลี มีหลักฐานบางส่วนแสดงว่า อาจมาจากอักษรทิเบตผ่านทางอักษรพัก-ปา แต่ที่แปลกกว่าอักษรอื่นคือ รูปแบบของอักษรมาจากอวัยวะที่ใช้ออกเสียง
อีกทางหนึ่ง อักษรฟินิเชียพัฒนาไปเป็นอักษรกรีกและอักษรเบอร์เบอร์โบราณ[7] และเริ่มมีการกำหนดอักษรที่ใช้แทนเสียงสระ ตัวอย่างเช่น ภาษากรีก ไม่มีเสียง อ หรือ ฮ (h) ดังนั้น อักษรฟินิเชีย ’alep และ he กลายเป็นอักษรกรีก อัลฟา และ e (ต่อมาคือเอฟซิลอน) และใช้แทนเสียงสระอะ (/a/) และเอ (/e/) แทนเสียง /อ/ และ /ฮ/ เนื่องจากภาษากรีกมีเสียงสระ 6 -12 เสียง ชาวกรีกจึงพัฒนาอักษรเพิ่ม เช่น ei, ou, and o (ต่อมาคือ โอเมกา)[8]
อักษรกรีกเป็นต้นแบบของอักษรสมัยใหม่ในยุโรป เช่นอักษรละตินและอักษรอิตาลีโบราณ โดยอักษรเหล่านั้นมีสัญลักษณ์แทนเสียงสระด้วย เช่น อักษรกลาโกลิติก อักษรซีริลลิก อักษรอาร์มีเนีย อักษรโกธิก และอาจรวมอักษรจอร์เจียด้วย[9][10]
นอกจากความสัมพันธ์ในแนวเส้นตรงดังกล่าวแล้ว ยังมีความสัมพันธ์ระหว่างอักษรในด้านอื่นๆอีก เช่น อักษรแมนจู มาจากอักษรไร้สระในเอเชียตะวันตก แต่ได้รับอิทธิพลจากอักษรฮันกึลด้วย อักษรจอร์เจียมาจากอักษรอราเมอิกแต่ได้รับอิทธิพลจากอักษรกรีก อักษรกรีกที่ปรับปรุงแล้วนำไปใช้คู่กับไฮโรกลิฟ 6 ตัว ใช้เขียนภาษาคอปติก อักษรครีมีลักษณะผสมระหว่างอักษรเทวนาครีและชวเลขของพิตแมน และมีลักษณะคล้ายตัวเขียนของอักษรละติน
อักษรอิสระ
[แก้]อักษรที่ใช้ในปัจจุบันและไม่อาจย้อนกลับไปหาอักษรคานาอันไนต์ได้ คือ อักษรทานะ แม้ว่าจะดูเหมือนอักษรอาหรับ แต่ที่จริงแล้วมาจากตัวเลข อักษรโซมาลีที่ใช้ในโซมาลีเมื่อ พ.ศ. 2463 และเป็นอักษรราชการคู่กับอักษรละตินจนถึง พ.ศ. 2515 มีรูปร่างพยัญชนะที่ถูกปรับปรุงขึ้นใหม่ อักษรสันตาลีที่ใช้ในเอเชียใต้ มีพื้นฐานจากสัญลักษณ์ทั่วไป อักษรโอคัมในสมัยโบราณ ประกอบด้วยเครื่องหมายที่เป็นขีด และจารึกในสมัยจักรวรรดิเปอร์เซีย เคยเขียนในรูปแบบอักษรรูปลิ่ม และมีการใช้ในระบบอักษรเป็นครั้งคราว
อักษรในสื่ออื่น ๆ
[แก้]เมื่อสื่อที่ใช้เขียนอักษรเปลี่ยนไปทำให้รูปร่างของอักษรเปลี่ยนไปได้ เช่นอักษรยูการิติกที่เป็นอักษรรูปลิ่ม อาจจะมาจากตระกูลเซมิติก การประดิษฐ์หรือปรับปรุงอักษรใหม่ ๆ ยังเกิดขึ้นอยู่เสมอ รวมทั้งอักษรที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ เช่น อักษรเบรล รหัสมอร์ส ชวเลข
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Himelfarb, Elizabeth J. "First Alphabet Found in Egypt", Archaeology 53, Issue 1 (Jan./Feb. 2000): 21
- ↑ Hooker, J. T., C. B. F. Walker, W. V. Davies, John Chadwick, John F. Healey, B. F. Cook, and Larissa Bonfante, (1990). Reading the Past: Ancient Writing from Cuneiform to the Alphabet. Berkeley: University of California Press. pages 211-213.
- ↑ McCarter, P. Kyle. “The Early Diffusion of the Alphabet.” The Biblical Archaeologist 37, No. 3 (Sep., 1974): 54-68. page 57.
- ↑ Hooker, J. T., C. B. F. Walker, W. V. Davies, John Chadwick, John F. Healey, B. F. Cook, and Larissa Bonfante, (1990). Reading the Past: Ancient Writing from Cuneiform to the Alphabet, Berkeley: University of California Press. page 212.
- ↑ Hooker, J. T., C. B. F. Walker, W. V. Davies, John Chadwick, John F. Healey, B. F. Cook, and Larissa Bonfante, (1990). Reading the Past: Ancient Writing from Cuneiform to the Alphabet, Berkeley: University of California Press. page 222
- ↑ Robinson, Andrew, (1995). The Story of Writing: Alphabets, Hieroglyphs & Pictograms, New York: Thames & Hudson Ltd. page 172.
- ↑ McCarter, P. Kyle. "The Early Diffusion of the Alphabet", The Biblical Archaeologist 37, No. 3 (Sep., 1974): 54-68. page 62.
- ↑ Robinson, Andrew, (1995). The Story of Writing: Alphabets, Hieroglyphs & Pictograms, New York: Thames & Hudson Ltd. page 170.
- ↑ Robinson, Andrew. The Story of Writing: Alphabets, Hieroglyphs & Pictograms. New York: Thames & Hudson Ltd., 1995
- ↑ BBC. "The Development of the Western Alphabet." [updated 8 April 2004; cited 1 May 2007]. Available from http://www.bbc.co.uk/dna/h2g2/A2451890.
- David Diringer, History of the Alphabet, 1977, ISBN 0-905418-12-3.
- Peter T. Daniels, William Bright (eds.), 1996. The World's Writing Systems, ISBN 0-19-507993-0.
- Joel M. Hoffman, In the Beginning: A Short History of the Hebrew Language, 2004, ISBN 0-8147-3654-8.
- Robert K. Logan, The Alphabet Effect: The Impact of the Phonetic Alphabet on the Development of Western Civilization, New York: William Morrow and Company, Inc., 1986.
- B.L. Ullman, "The Origin and Development of the Alphabet," American Journal of Archaeology 31, No. 3 (Jul., 1927): 311-328.
- Stephen R. Fischer, A History of Writing 2005 Reaktion Books CN 136481 Retrieved from "http://en.wikipedia.org/wiki/History_of_the_alphabet"