ข้ามไปเนื้อหา

นาคารชุนโกณฑะ

พิกัด: 16°31′18.82″N 79°14′34.26″E / 16.5218944°N 79.2428500°E / 16.5218944; 79.2428500
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
นาคารชุนโกณฑะ
ซากของนาคารชุนโกณฑะ
ที่ตั้งมเจรละ อำเภอปัลนาฑู รัฐอานธรประเทศ ประเทศอินเดีย
พิกัด16°31′18.82″N 79°14′34.26″E / 16.5218944°N 79.2428500°E / 16.5218944; 79.2428500
ผู้ดูแลกรมสำรวจโบราณคดีอินเดีย
นาคารชุนโกณฑะตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย
นาคารชุนโกณฑะ
ตำแหน่งที่ตั้งนาคารชุนโกณฑะในประเทศอินเดีย

นาคารชุนโกณฑะ (อักษรโรมัน: Nagarjunakonda; เขาพระนาคารชุน) เป็นเมืองโบราณและแหล่งโบราณคดีที่ปัจจุบันอยู่บนเกาะ ใกล้กับแหล่งน้ำนาคารชุนสาคร อำเภอปัลนาฑู รัฐอานธรประเทศ ประเทศอินเดีย[1][2] ถือเป็นหนึ่งในแหล่งโบราณคดีพุทธที่รุ่มรวยที่สุดในโลก ปัจจุบันพื้นที่ตั้งเดิมเกือบทั้งหมดอยู่ใต้น้ำที่เกิดจากการสร้างเขื่อนนาคารชุนสาคร นักโบราณคดีจึงขุดค้นและเคลื่อนย้ายซากปรักหักพังขึ้นไปอยู่บนเกาะที่เหนือระดับน้ำเขื่อน ซึ่งตั้งอยู่จนถึงปัจจุบัน

ในอดีต นาคารชุนโกณฑะเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยและอารามพุทธที่สำคัญของภูมิภาค ซากของแหล่งนาคารชุนโกณฑะปรากฏทั้งซากของศาสนสถานในศาสนาพุทธมหายานและศาสนาฮินดู[3] นาคารชุนโกณฑะตั้งอยู่ห่างไป 160 กิโลเมตรจากอมราวตีสถูป ประติมากรรมที่พบที่นี่ปัจจุบันนำไปจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศอินเดีย และมีลักษณะทางศิลปกรรมที่สำคัญในกลุ่มศิลปกรรมอมราวตี ที่บางครั้งอาจเรียกว่าแบบอานธระยุคหลัง[4] นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ของอดีตพระราชวังซึ่งมีประติมากรรมรูปทางฆราวาสที่ถือว่าพบได้ยากในสมัยนั้น และมีอิทธิพลจากโรมัน[5]

ชื่อในปัจจุบันนั้นตั้งตามพระนาคารชุน คุรุมหายานรูปสำคัฐที่เข้าใจกันว่าเป็นผู้พัฒนาบริเวณนี้ชึ้น กระนั้นไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าท่านมีความเกี่ยวเนื่องกับการสร้างนาคารชุนโกณฑะขึ้นมาจริงหรือไม่ ชื่อดั้งเดิมที่ใช้ในสมัยที่เจริญรุ่งเรืองคือ "วิชยปุรี" (Vijayapuri)

แหล่งนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1926 โดยครูโรงเรียนชาวท้องถิ่นคนหนึ่ง สุรปรชู เวงกฏรามิยะฮ์ (Suraparaju Venkataramaih) ซึ่งพบเสาหินโบราณที่นี้และรายงานไปยังรัฐบาลของรัฐมัทราส ซึ่งต่อมาได้ส่งผู้ช่วยแผนกเตลูกูของหน่วยโราณคดีและจารึกมัทราส ศรี สรัสวตี (Shri Sarasvati) มายังแหล่งนี้[6] การขุดค้นทางโบราณคดีอย่างเป็นระบบเริ่มต้นโดย เอ เอช เลิงเฮิสต์ ในปี 1927–1931 โดยขุดพบสถูปเจดีย์และประติมากรรมมากมาย[7][6]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Longhurst, A. H. (October 1932). "The Great Stupa at Nagarjunakonda in Southern India". The Indian Antiquary. ntu.edu.tw. pp. 186–192. สืบค้นเมื่อ 13 January 2019.
  2. Syamsundar, V. L. (2017-02-13). "Palnadu aspires for separate district status". www.thehansindia.com. สืบค้นเมื่อ 2019-05-28.
  3. T. Richard Blurton (1993). Hindu Art. Harvard University Press. pp. 53–54. ISBN 978-0-674-39189-5.
  4. Rowland, pp. 209-214
  5. Rowland, 212
  6. 6.0 6.1 K. Krishna Murthy 1977, p. 2.
  7. The Buddhist Antiquities of Nagarjunakonda, Madras Presidency by A. H. Longhurst. Journal of the Royal Asiatic Society, Volume 72, Issue 2–3 June 1940 , pp. 226–227 [1]