นอร์ธรอป F-5
| F-5A/B ฟรีดอมไฟเตอร์ F-5E/F ไทเกอร์ทู | |
|---|---|
| เครื่องบินรบ F-5 ของกองทัพอากาศสวิสต์เซอร์แลนด์ | |
| หน้าที่ | เครื่องบินขับไล่เบา |
| ชาติกำเนิด | |
| ผู้ผลิต | นอร์ธรอปคอร์ปอเรชัน |
| เที่ยวบินแรก | F-5A: 30 กรกฎาคม 1959 F-5E: 11 สิงหาคม 1972 |
| เริ่มใช้ | 1962 |
| สถานะ | ประจำการ |
| ผู้ใช้หลัก | กองทัพเรือสหรัฐ กองทัพอากาศสาธารณรัฐจีน กองทัพอากาศสาธารณรัฐเกาหลี กองทัพอากาศสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน |
| การผลิต | 1959–1987 |
| จำนวนผลิต | A/B/C: 847 ลำ[1] E/F: 1,399 ลำ[2] |
| ค่าใช้จ่ายต่อลำ |
F-5E: US$2.1 million[3] |
| พัฒนาจาก | นอร์ธรอป ที-38 ทาลอน |
| รุ่น | Canadair CF-5 Shaped Sonic Boom Demonstration |
| พัฒนาเป็น | Northrop F-20 Tigershark HESA Azarakhsh HESA Saeqeh HESA Kowsar |
นอร์ธรอป F-5 (Northrop F-5) เป็นตระกูลของเครื่องบินขับไล่เบาความเร็วเหนือเสียง ซึ่งเริ่มต้นจากโครงการที่บริษัท Northrop Corporation ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งพัฒนาและลงทุนเองในช่วงปลายทศวรรษ 1950 รุ่นหลักมีอยู่สองสาย ได้แก่ F-5A และ F-5B ซึ่งมีชื่อว่า ฟรีดอมไฟเตอร์ (Freedom Fighter) และรุ่นปรับปรุงขนานใหญ่ ได้แก่ F-5E และ F-5F ซึ่งมีชื่อว่า ไทเกอร์ทู (Tiger II)
ทีมออกแบบสร้างเครื่องบินขับไล่ขนาดเล็กที่มีสมรรถนะพลศาสตร์อากาศสูง โดยใช้เครื่องยนต์ GE J85 ขนาดกะทัดรัดแต่ให้แรงขับสูงสองเครื่อง เน้นที่สมรรถนะและต้นทุนการบำรุงรักษาต่ำ เมื่อเทียบกับเครื่องบินร่วมยุคอย่าง F-4 แฟนทอมทู แล้วถือว่า F-5 มีขนาดเล็กกว่าและโครงสร้างง่ายกว่า จึงมีต้นทุนการจัดหาและการปฏิบัติการต่ำกว่า ทำให้ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดส่งออก แม้จะออกแบบเพื่อการครองอากาศกลางวันเป็นหลัก แต่ F-5 ก็มีขีดความสามารถโจมตีภาคพื้นดินที่ดีเช่นกัน F-5A เริ่มเข้าประจำการช่วงต้นทศวรรษ 1960 และในช่วงสงครามเย็นมีการผลิตกว่า 800 ลำจนถึงปี 1972 เพื่อตอบสนองพันธมิตรสหรัฐ แม้ในเวลานั้นกองทัพอากาศสหรัฐไม่ได้ต้องการเครื่องบินขับไล่เบา แต่ก็ได้จัดหาเครื่องบินฝึกขั้นสูง T-38 ทาลอน ประมาณ 1,200 ลำ ซึ่งพัฒนามาจากต้นแบบ N-156 เช่นเดียวกัน
หลังจากนอร์ธรอปชนะโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ราคาประหยัดให้ชาติพันธมิตรของอเมริกา นอร์ธรอปก็ได้เปิดตัว F-5E ไทเกอร์ทู เป็นรุ่นที่สองในปี 1972 โดยเพิ่มสมรรถนะด้วยเครื่องยนต์ที่ทรงพลังขึ้น ความจุเชื้อเพลิงที่มากกว่า พื้นที่ปีกกว้างขึ้นและขอบนำปีกที่ขยายออกเพื่อเพิ่มอัตราการเลี้ยว รวมถึงความสามารถเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ (เป็นอุปกรณ์เสริม) และระบบอวิโอนิกส์ที่ทันสมัยยิ่งขึ้น เช่น เรดาร์สำหรับรบอากาศสู่อากาศ F-5E ถูกใช้โดยชาติพันธมิตรของอเมริกาเป็นหลัก แต่ยังคงมีบทบาทในกองทัพสหรัฐเพื่อสนับสนุนการฝึก และถูกใช้งานหลากหลายภารกิจ ทั้งรบอากาศและโจมตีภาคพื้น โดยเฉพาะการใช้งานอย่างกว้างขวางในสงครามเวียดนาม มีการสร้างไทเกอร์ทูรวมทั้งสิ้นกว่า 1,400 ลำ ก่อนปิดสายการผลิตในปี 1987 โดยรวมแล้วมีการผลิต F-5 และเครื่องฝึก T-38 กว่า 3,800 ลำที่รัฐแคลิฟอร์เนีย
นอกจากนี้ F-5 ยังถูกพัฒนาเป็นเครื่องบินลาดตระเวนในชื่อ RF-5 ไทเกอร์อาย อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานในการพัฒนานำไปสู่นอร์ธรอป YF-17 และ F/A-18 ซึ่งใช้ในกองทัพเรือสหรัฐ ขณะเดียวกัน นอร์ธรอปยังพัฒนา F-20 ไทเกอร์ชาร์ค เป็นรุ่นก้าวหน้าที่ตั้งใจจะสืบต่อจาก F-5E แต่โครงการถูกยกเลิกเนื่องจากขาดคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ
F-5 เป็นหนึ่งในเครื่องบินขับไล่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของประเทศค่ายประชาธิปไตย มีผู้ใช้งานเกือบ 20 ประเทศและมียอดการผลิตสูงกว่าสองพันลำ ในปัจจุบันยังมีกองทัพอากาศหลายชาติที่ยังประจำการด้วย F-5 อยู่ หลายชาติเลือกปรับปรุงเครื่องบินของตนที่ยังบินได้เพื่อที่จะยืดอายุการใช้งาน โดย F-5 Super Tigris ของไทยและ F-5EM/FM ของบราซิลถือเป็น F-5 ที่ทันสมัยที่สุดของโลกในปัจจุบัน
ขีดความสามารถ
[แก้]F-5A/B ฟรีดอมไฟเตอร์
[แก้]F-5A/B เป็นเครื่องบินขับไล่เบาความเร็วเหนือเสียง วางเครื่องยนต์เจ็ตขนาดกะทัดรัดจำนวนสองเครื่องยนต์ เพื่อให้ได้อัตราส่วนแรงต่อหนักที่ดีและความคล่องตัวสูง โดยรุ่น A เป็นที่นั่งเดี่ยว ส่วนรุ่น B เป็นรุ่นสองที่นั่ง ทั้งสองรุ่นแรกไม่มีเรดาร์ (F-5B โดยปกติไม่มีปืนในลำตัว) จึงพึ่งพากล้องเล็งและทักษะการเข้าปะทะในระยะใกล้ มากกว่าการรบพิสัยยิงนอกระยะสายตา (BVR) จุดเด่นคือขึ้นลงและปฏิบัติการจากทางวิ่งสภาพหยาบได้ง่าย ทำให้เหมาะกับประเทศพันธมิตรที่ต้องการขีดความสามารถคุ้มค่า มีการใช้งานจริงในสงครามเวียดนามเพื่อทดสอบสมรรถนะการรบ ก่อนถูกส่งออกใช้งานกว้างขวางในกองทัพอากาศมิตรประเทศช่วงสงครามเย็น

F-5A ใช้เครื่องยนต์ J85-GE-13 จำนวน 2 เครื่อง ให้กำลังขับรวม 2,720 ปอนด์เมื่อไม่ทำอาฟเตอร์เบิร์น และประมาณ 4,080 ปอนด์เมื่อทำอาฟเตอร์เบิร์น ให้ความเร็วสูงสุดราวมัค 1.4 และเพดานบินราว 50,000 ฟุต อาวุธหลักของรุ่น A คือปืนอัตโนมัติ M39 ขนาด 20 มม. สองกระบอกที่จมูกเครื่อง ภายนอกมีตำบลติดตั้งอาวุธจำนวนหนึ่งจุดใต้ลำตัวและสี่จุดใต้ปีก รองรับอาวุธเกือบ 6,000 ปอนด์ พร้อมรางปลายปีกสำหรับมิสไซล์ AIM-9 สองลูก ทำภารกิจโจมตีภาคพื้นดินด้วยระเบิดทั่วไปและกระเปาะยิงจรวด
จุดแข็งของ F-5A/B คือความคล่องตัว เลี้ยวและเร่งได้ดี และต้นทุนการใช้งานต่ำ ข้อด้อยคือไม่มีเรดาร์มาตั้งแต่ต้นและไม่เอื้อให้ติดตั้งเพิ่มภายหลัง ช่วงปฏิบัติการสั้นกว่าและบรรทุกได้น้อยกว่าเครื่องขนาดใหญ่ แต่เมื่อใช้ในบทบาทสกัดกลางวัน/โจมตีเบาในระยะประชิด ถือว่าคุ้มค่าและไว้ใจได้
F-5E/F ไทเกอร์ทู
[แก้]F-5E/F เป็นรุ่นพัฒนาขนาดใหญ่ขึ้นจาก F-5A/B ในรุ่นนี้มีการยกขีดความสามารถทั้งแรงขับ ระบบเอวิโอนิกส์ และพิสัยการบิน แต่ยังคงความเป็นเครื่องบินขับไล่เบาที่เล็ก เรียบง่าย และค่าดูแลต่ำ โครงสร้างปีกได้รับการเสริมเพิ่มพื้นที่ยกและความคล่องตัว เครื่องยนต์คู่ J85-GE-21 ให้แรงขับสูงสุดราว 5,000 ปอนด์ต่อเครื่อง (เมื่อกระทำอาฟเตอร์เบิร์น) ช่วยให้อัตราเร่งและอัตราส่วนแรง/น้ำหนักดีขึ้นเมื่อเทียบกับ F-5A/B ส่วนในด้านระบบเอวิโอนิกส์ มีการติดตั้งเรดาร์อย่าง AN/APQ-153 และเปลี่ยนเป็น AN/APQ-159 ในล็อตหลัง ซึ่งมีระยะทำการและความน่าเชื่อถือสูงขึ้น พร้อมระบบ RWR (ALR-87), INS และความสามารถยิงใช้ชาฟ/แฟลร์ (ALE-40)

อาวุธประจำ F-5E คือปืนอัตโนมัติ M39A2 ขนาด 20 มม. สองกระบอกที่จมูกเครื่อง และตำบลติดอาวุธภายนอกรวม 7 จุด (ปลายปีก 2, ใต้ปีก 4, ใต้ลำตัว 1) รับน้ำหนักรวมราว 7,000 ปอนด์ รองรับ AIM-9 ที่ปลายปีก กระเปาะยิงจรวด ระเบิดทั่วไป/คลัสเตอร์ และในหลายประเทศมีชุดปรับปรุงให้ใช้ AGM-65 และระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ ทั้งนี้ F-5F แบบสองที่นั่งมีขีดความสามารถรบใกล้เคียงรุ่น E แต่กำหนดมาตรฐานให้ติดปืนเพียง 1 กระบอกและใช้เรดาร์ AN/APQ-157 ที่ดัดแปลงให้เหมาะกับลูกเรือสองนาย
การยกขีดความสามารถ
[แก้]ตลอดอายุการใช้งาน F-5E มีการอัปเกรดหลายระลอก โดยหัวใจสำคัญคือการเปลี่ยนเรดาร์จาก AN/APQ-153 รุ่นดั้งเดิมไปเป็น Emerson AN/APQ-159 แบบแผงเรียบ เพิ่มระยะตรวจจับเป็นราว 20 ไมล์ทะเล ความน่าเชื่อถือสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบรุ่นก่อน (พร้อมมุมติดตามเป้าหมายกว้างขึ้น) สำหรับรุ่นสองที่นั่ง F-5F เคยมีแผนจะเปลี่ยนจาก AN/APQ-157 ไปใช้รุ่นต่อยอดคือ AN/APQ-167 แต่ถูกยกเลิกในภายหลัง ต่อมาเกิดแนวคิดอัปเกรดเป็น Emerson AN/APG-69 (รุ่นสืบทอดต่อจาก APQ-159) ซึ่งเพิ่มโหมดทำแผนที่ แต่ด้วยข้อจำกัดงบประมาณ ทำให้มีการใช้งานจำกัด ส่วนใหญ่พบในฝูงบินจำลองภัยคุกคามของกองทัพอากาศสหรัฐ และกองทัพอากาศสวิส

หลายชาติเลือกรื้อทั้งระบบและอัปเกรดใหม่หมด แทนที่จะยังใช้อุปกรณ์ของ Emerson รุ่นปรับปรุง ตัวอย่างเช่น ประเทศบราซิลอัปเกรดเป็นมาตรฐาน F-5M/EM โดยร่วมมือกับบริษัท Embraer-Elbit ติดตั้งเรดาร์ Leonardo (FIAR) Grifo-F โครงสร้างห้องนักบินแบบใหม่ (MFD/HUD, HOTAS), ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์, เดต้าลิงก์ภายในฝูง และความสามารถใช้อาวุธสมัยใหม่อย่างมิสไซล์ Python-4/5 และ Derby (BVR) ประเทศชิลีดำเนินโครงการ Tiger III / Tiger III Plus โดยติดตั้งเรดาร์ ELTA EL/M-2032 เพิ่มขีดความสามารถยิง Derby/Python-4 พร้อมอัปเกรดเอวิโอนิกส์, จอ HMD/HUD, อุปกรณ์สงครามอิเล็กทรอนิกส์, และต่อเชื้อเพลิงกลางอากาศ ทำให้กลายเป็นเครื่องบินขับไล่เบาพหุภารกิจ
ประเทศสิงคโปร์อัปเกรดเป็น F-5S/T ติดตั้งเรดาร์ FIAR Grifo-F, ห้องนักบินระบบดิจิทัล และอัปเกรดระบบนำร่อง–ภารกิจ โดยมีข่าวว่ารองรับมิสไซล์ AIM-120 AMRAAM และอาวุธตระกูล Python แม้ไม่มีหลักฐานเผยแพร่ต่อสาธารณะ ด้านประเทศไทยเริ่มจากโครงการ F-5T Tigris (ยุคแรก) ร่วมกับบริษัท Elbit เพื่อรองรับ Python-4 และหมวกเล็งเป้า DASH ก่อนขยับเป็นมาตรฐาน F-5TH Super Tigris ที่ยืนยันว่าได้ติดตั้งเรดาร์ EL/M-2032 (โหมดอากาศสู่อากาศ/สู่พื้นผิว, รวมถึง SAR), เดต้าลิงห์ Link-T/TH, และความสามารถ BVR (เช่นมิสไซล์ Derby) เพื่อยกขีดความสามารถของฝูงบิน 211 อุบลราชธานี
แบบของ F-5
[แก้]- F-5A Freedom Fighter
เครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดี่ยว
- F-5B Freedom Fighter
เครื่องบินขับไล่สองที่นั่ง
- F-5C Skoshi Tiger
เป็นรุ่นที่ได้รับการปรับปรุงในบางจุด เช่น การติดตั้งท่อรับการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ
- F-5D
เครื่องบินขับไล่รุ่นสองที่นั่งซึ่งไม่ได้รับการผลิตจริง
- F-5E Tiger II
เครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดี่ยวรุ่นปรับปรุง
- F-5F Tiger II
เครื่องบินขับไล่ที่สองที่นั่งรุ่นปรับปรุง
- F-5G
เปลี่ยนเครื่องยนต์จากสองเครื่องยนต์เป็นเครื่องยนต์เดียว ต่อมาคือเอฟ-20
- F-5N
รุ่นฝึกของกองทัพเรือสหรัฐ
- F-5S
เครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดียวที่ได้รับการปรับปรุงโดยกองทัพอากาศสิงคโปร์
- F-5T
เครื่องบินขับไล่สองที่นั่งได้รับการปรับปรุงโดยกองทัพอากาศสิงคโปร์
- F-5T Tigris
เครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดียวและสองที่นั่งที่ได้รับการปรับปรุงโดยกองทัพอากาศไทย
- F-5EM
เครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดียวที่ได้รับการปรับปรุงโดยกองทัพอากาศบราซิล
- F-5FM
เครื่องบินขับไล่สองที่นั่งที่ได้รับการปรับปรุงโดยกองทัพอากาศบราซิล
- F-5E Tiger III
เครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดียวที่ได้รับการปรับปรุงโดยกองทัพอากาศชิลี
- F-5F Tiger III
เครื่องบินขับไล่สองที่นั่งที่ได้รับการปรับปรุงโดยกองทัพอากาศชิลี
- RF-5A
เครื่องบินขับไล่ลาดตระเวนถ่ายภาพ
- RF-5E Tigereye
เครื่องบินขับไล่ลาดตระเวนถ่ายภาพ
- CF-5
- F-5TH Super Tigris
เครื่องบินขับไล่ที่ดัดแปลงโดยไทยให้อยู่ในยุค 4.5
ประเทศที่มี F-5 ประจำการ
[แก้]
ออสเตรีย- เช่าจากสวิสเซอร์แลนด์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรอรับเครื่องบินขับไล่ไต้ฝุ่น
บาห์เรน
บอตสวานา
บราซิล
- กองทัพอากาศอิโดนิเซีย: F-5E ทั้ง 16 ลำปลดประจำการในปี 2548 ปัจจุบันเป็นเครื่องบินสำรอง
- กองทัพอากาศอิหร่าน: ได้รับมอบ F-5E/F จำนวน 140 ลำในสมัยพระเจ้าซาร์ ปัจจุบันปฏิบัติการได้ 60 – 70 ลำ
- กองทัพอากาศเนเธอแลนด์: ปลดประจำการ
ปากีสถาน- ยืมมาจากประเทศอื่นชั่วคราวในระหว่างสงครามกับอินเดีย
ฟิลิปปินส์
- กองทัพอากาศฟิลิปปินส์: ปลดประจำการ F-5A/B
- กองทัพอากาศสิงคโปร์: ปรับปรุงเป็นรุ่น F-5S/T มีประจำการราว 35 ลำ
- กองทัพอากาศสวิส: กำลังจัดหาเครื่องบินรุ่นใหม่มาทดแทน
- กองทัพอากาศไทย: F-5A/B/E จะถูกปลดประจำการในปี 2553 และทดแทนด้วย ยาส 39 โดย F-5T Tigris ยังประจำการต่อไป
- กองทัพอากาศสหรัฐ: เป็นเครื่องบินข้าศึกสมมุติ
- นาวิกโยธินสหรัฐ: เป็นเครื่องบินข้าศึกสมมุติ
- กองทัพเรือสหรัฐ: เป็นเครื่องบินข้าศึกสมมุติ
- กองทัพอากาศเวียดนาม: เป็นเครื่องเก่าของกองทัพอากาศเวียดนามใต้
เหตุการณ์ในประเทศไทย
[แก้]พ.ศ. 2512 กองทัพอากาศไทยได้รับเอฟ-5 เอจากกองทัพสหรัฐอเมริกาจำนวน 5 เครื่องและเมื่อสหรัฐอเมริกาถอนตัวจากสงครามเวียดนามจนกระทั่งกรุงไซง่อนถูกยึดครองโดยกองทัพเวียดนามเหนือ(NVA) นักบินเวียดนามใต้ได้นำเอฟ-5 อีจำนวน 3 เครื่องบินหนีจากสนามบิน ตัน ซอน นุทเวียดนามมาลงที่สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเอฟ-5 อีทั้ง 3 เครื่องนี้สหรัฐอเมริกาได้นำกลับไปด้วย
พ.ศ. 2519 กองทัพอากาศไทยขออนุมัติรัฐบาล จัดซื้อเครื่องบินขับไล่เอฟ-5 อีและเอฟ-5 เอฟจากสหรัฐอเมริกาจำนวน 12 เครื่องและได้รับเครื่องบินเข้าประจำการครบฝูงในปี พ.ศ. 2521 โดยใช้ชื่อเครื่องบินขับไล่แบบที่ ๑๘ ข (บ.ข.๑๘ ข) หลังจากนั้นก็ได้มีการจัดซื้อเพิ่มเติมเรื่อย ๆ จนถึงในปัจจุบันกองทัพอากาศไทยมีเอฟ-5 มากกว่า 60 เครื่อง
เอฟ-5 ที่ประจำการในประเทศไทย
[แก้]- F-5A ใช้ชื่อเครื่องบินขับไล่แบบที่ ๑๘ (บ.ข.๑๘)
- F-5B ใช้ชื่อเครื่องบินขับไล่แบบที่ ๑๘ ก (บ.ข.๑๘ ก)
- F-5E ใช้ชื่อเครื่องบินขับไล่แบบที่ ๑๘ ข (บ.ข.๑๘ ข)
- F-5F ใช้ชื่อเครื่องบินขับไล่แบบที่ ๑๘ ค (บ.ข.๑๘ ค)
- RF-5A ใช้ชื่อเครื่องบินตรวจการณ์ขับไล่แบบที่ ๑๘ (บ.ตข.๑๘)
- F-5TH (เครื่องบินขับไล่ที่ปรับปรุงโดยทัพอากาศไทย)
รายละเอียด เอฟ-5
[แก้]
- ผู้สร้าง บริษัท นอร์ธรอป แอร์คราฟท์ (สหรัฐอเมริกา)
- ประเภท เจ๊ตขับไล่ยุทธวิธีที่นั่งเดียว
- เครื่องยนต์ เทอร์โบเจ๊ต เจเนอรัล อีเล็กตริค เจ 85-ยีอี-21 ให้แรงขับเครื่องละ 1,588 กิโลกรัม และ 2,268 กิโลกรัม เมื่อสันดาปท้าย 2 เครื่อง
- กางปีก 8.13 เมตร
- ยาว 14.68 เมตร
- สูง 4.06 เมตร
- พื้นที่ปีก 17.29 เมตร
- น้ำหนักเปล่า 4,346 กิโลกรัม
- น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด 11,192 กิโลกรัม
- อัตราเร็วสูงสุด ไม่เกิน 1,314 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อมีน้ำหนักปฏิบัติการรบ 6,010 กิโลกรัม
- อัตราเร็วขั้นสูง 1.63 มัค ที่ระยะสูง 10,975 เมตร เมื่อเครื่องบินหนัก 10,975 กิโลกรัม
- เพดานบินใช้งาน 15,800 เมตร
- รัศมีทำการรบ 917 กิโลเมตร
- พิสัยบิน 2,943 กิโลเมตร เมื่อติดตั้งถังเชื้อเพลิงชนิดปลดทิ้งได้
- อาวุธ ปืนใหญ่อากาศขนาด 20 มม. M-39 A2/A3 ติดตั้งที่ลำตัวส่วนหัว 2 กระบอกพร้อมกระสุนกระบอกละ 280 นัด
- อาวุธปล่อยอากาศสู่อากาศ เอไอเอ็ม-9 เจ ไซด์ไวน์เดอร์ ติดตั้งที่ปลายปีก ข้างละ 1 แห่ง
- ลูกระเบิดสังหาร ลูกระเบิดทำลาย ลูกระเบิดเนปาล์ม ลูกระเบิดพวง
- จรวดขนาด 2.95 นิ้ว
- สามารถติดตั้งอาวุธที่ใต้ปีกได้ข้างละ 2 แห่ง และ ใต้ลำตัว 1 แห่ง รวมเป็นน้ำหนักสูงสุด 3,175 กิโลกรัม[4]