นอร์ทอเมริกัน พี-51 มัสแตง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
นอร์ทอเมริกัน พี-51 มัสแตง
บทบาทเครื่องบินขับไล่, เครื่องบินขับไล่-ทิ้งระเบิด
ชาติกำเนิด สหรัฐ
บริษัทผู้ผลิตนอร์ทอเมริกันเอวิเอชัน
บินครั้งแรก26 ตุลาคม 2483
เริ่มใช้2485
สถานะปลดประจำการทางทหารในปี 2527, ยังใช้ในงานพลเรือน
ผู้ใช้งานหลัก กองทัพอากาศทหารบกสหรัฐ
กองทัพอากาศสหราชอาณาจักร
กองทัพอากาศนิวซีแลนด์
กองทัพอากาศแคนาดา
จำนวนที่ผลิตกว่า 15,000 ลำ[1]
มูลค่า50,985 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2488[2]
แบบอื่นนอร์ทอเมริกัน เอฟ-82 ทวินมัสแตง

นอร์ทอเมริกันเอวิเอชัน พี-51 มัสแตง (อังกฤษ: North American Aviation P-51 Mustang) เป็นเครื่องบินขับไล่และทิ้งระเบิดพิสัยไกลหนึ่งที่นั่งสัญชาติอเมริกาซึ่งถูกใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามเกาหลี และสงครามอื่นๆ มันถูกออกแบบและสร้างโดยนอร์ทอเมริกันเอวิเอชันหรือเอ็นเอเอเพื่อตอบโจทย์ของกระทรวงการบินจากการสั่งซื้อของอังกฤษ ลำตันแบบคือเอ็นเอ-73เอ็กซ์ที่สร้างเสร็จในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2483 เป็นเวลา 102 วันหลังจากมีการเซ็นสัญญาและทำการบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม[3]

ประวัติ[แก้]

เดิมทีมัสแตงถูกออกแบบมาเพื่อใช้เครื่องยนต์อัลลิสัน วี-1710 ซึ่งมีความสูงที่จำกัดในการบิน การบินครั้งแรกเกิดขึ้นโดยกองทัพอากาศอังกฤษเพื่อทำหน้าที่ลาดตระเวนทางอากาศและเป็นเครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิด (มัสแตง มาร์ค 1) ต่อมามีการใช้เครื่องยนต์โรลส์-รอยซ์ เมอร์ลินในรุ่นพี-51บีและซีเพื่อให้มัสแตงสามารถบินได้ที่ความสูงเหนือ 15,000 ฟุต ซึ่งทำให้มันบินได้ดีกว่าหรือเท่ากับเครื่องบินส่วนมากของกองทัพอากาศเยอรมนี[4] รุ่นสุดท้ายคือพี-51ดีซึ่งมีเครื่องยนต์เป็นเครื่องแพคคาร์ด วี-1650-7 เป็นเครื่องยนต์ดัดแปลงจากเครื่องยนต์โรลส์-รอยซ์ 60 ที่เป็นเครื่องยนต์ซูเปอร์ชาร์จเจอร์สองความเร็ว และมีอาวุธเป็นปืนกลเอ็ม2 บราวนิงขนาด 12.7 มม.หกกระบอก[5]

ประวัติการรบ[แก้]

ตั้งแต่ปลายปีพ.ศ. 2486 พี-51บีถูกใช้โดยกองทัพอากาศที่ 8 ของสหรัฐอเมริกาเพื่อคุ้มกันเครื่องบินทิ้งระเบิดที่ต้องบินในน่านฟ้าของนาซีเยอรมนี ในขณะที่กองทัพอากาศทางยุทธวิธีที่ 2 ของอังกฤษและกองทัพอากาศที่ 9 ของสหรัฐฯ ใช้เครื่องบินมัสแตงเครื่องยนต์เมอร์ลินทำหน้าที่ทิ้งระเบิดและขับไล่ เป็นบทบาทที่เพิ่มความแน่นอนให้กับความเป็นเจ้าอากาศของฝ่ายสัมพันธมิตรในปีพ.ศ. 2487[6] พี-51 ยังทำหน้าที่ให้กับฝ่ายสัมพันธมิตรในการรบบริเวณแอฟริกาเหนือเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและอิตาลี นอกจากนี้ยังทำการรบกับจักรวรรดิญี่ปุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิกอีกด้วย ในสงครามโลกครั้งที่ 2 นักบินมัสแตงอ้างว่าได้ยิงเครื่องบินศัตรูตกไป 4,950 ลำ

เมื่อสงครามเกาหลีเริ่มต้นขึ้น มัสแตงได้กลายเป็นเครื่องบินขับไล่ประเภทหลักของสหประชาชาติจนกระทั่งเครื่องบินขับไล่เครื่องยนต์ไอพ่น เช่น นอร์ทอเมริกัน เอฟ-86 เซเบอร์เข้ามาทำหน้าที่แทน จากนั้นมัสแตงก็กลายเป็นเครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดแบบพิเศษ แม้ว่าเครื่องบินไอพ่นจะเข้ามาแทนที่แต่มัสแตงก็ยังคงประจำการในกองทัพอากาศในบางประเทศจนถึงต้นทษวรรษที่ 2523 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเกาหลี มัสแตงจำนวนมากถูกดัดแปลงให้ใช้โดยพลเรือน โดยเฉพาะการแข่งขันทางอากาศและการบินแสดงในการแสดงเครื่องบินต่างๆ

คุณลักษณะ (พี-51ดี มัสแตง)[แก้]

พี-51ดี มัสแตง
  • ผู้สร้าง: นอร์ทอเมริกันเอวิเอชัน (สหรัฐ)
  • ประเภท: เครื่องบินขับไล่
  • เครื่องยนต์: เครื่องยนต์ลูกสูบรูปตัววี แพ็คการ์ด วี-1650-7 เมอร์ลิน จำนวน 12 สูบ พร้อมซูเปอร์ชาร์จเจอร์ ให้กำลัง 1,720 แรงม้า 1 เครื่อง
  • กางปีก: 11.28 เมตร
  • ยาว: 9.83 เมตร
  • สูง: 4.08 เมตร
  • พื้นที่ปีก: 21.83 ตารางเมตร
  • น้ำหนักเปล่า: 3,465 กิโลกรัม
  • น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด: 5,488 กิโลกรัม
  • อัตราเร็วสูงสุด: 708 กิโลเมตร/ชั่วโมง
  • อัตราไต่: 16.3 เมตร/ วินาที
  • พิสัยบินไกลสุด: 2,656 กิโลเมตร
  • อาวุธ: ปืนกล AN/M2 Browning ขนาด 12.7 มม. 6 กระบอก

อ้างอิง[แก้]

  1. "North American P-51D Mustang." พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศแห่งชาติสหรัฐฯ 2 เมษายน 2011. สืบค้นเมื่อ: 17 มกราคม 2012.
  2. Knaack 1978.
  3. Kinzey 1996, p. 5.
  4. Kinzey 1996, p. 56.
  5. Kinzey 1997, pp. 10–13.
  6. Gunston 1984, p. 58.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]