นครีสโตยมำบังสาครา
นครีสโตยมำบังสาครา نڬري ستول ممبڠ سڬارا (มลายู) เมืองสตูล (ไทย) | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ค.ศ. 1808–ค.ศ. 1916 | |||||||||
ธงชาติ | |||||||||
![]() อาณาจักรในเครือไทรบุรีเดิมใน ค.ศ. 1860 หลังการเสีย เตอรัง (จังหวัดตรัง) ให้แก่ประเทศสยามใน ค.ศ. 1810, การแยกเกาะปีนังและสมารังไพรไปขึ้นกับอังกฤษในระหว่าง ค.ศ. 1786–1860 และการก่อกำเนิดอาณาจักรเอกเทศทั้งสี่ใน ค.ศ. 1843 อาณาจักรทั้งสี่มีสีแตกต่างกัน ส่วนบริเวณอื่นมีสีน้ำตาลอ่อน | |||||||||
เมืองหลวง | สตูล | ||||||||
ภาษาทั่วไป | ภาษามลายู ภาษามลายูไทรบุรี | ||||||||
ศาสนา | อิสลามนิกายซุนนี | ||||||||
การปกครอง | ราชาธิปไตย | ||||||||
รายา/เจ้าเมือง | |||||||||
• ค.ศ. 1809–1843 | พระยาอภัยนุราชฯ (ตนกูบิศนู) | ||||||||
• ค.ศ. 1843–1876 | พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ (ตนกูมูฮำหมัดอาเก็บ) | ||||||||
• ค.ศ. 1876–1888 | พระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล) | ||||||||
• ค.ศ. 1888–1897 | พระยาอภัยนุราช (ตนกูอับดุลเราะห์มาน) | ||||||||
• ค.ศ. 1897–1916 | พระยาภูมินารถภักดี (กูเด็น บิน กูแมะ) | ||||||||
ประวัติศาสตร์ | |||||||||
• การแยกเมืองสตูลออกจากเมืองไทรบุรีใน ค.ศ. 1808 | ค.ศ. 1808 | ||||||||
• รัฐบาลสยามให้สละตำแหน่งรายา และยกเป็นเจ้าเมืองจางวาง | ค.ศ. 1916 | ||||||||
| |||||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | ประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย |
เมืองสตูล หรือ นครีสโตยมำบังสาครา (มลายู: نڬري ستول ممبڠ سڬارا, Negeri Setul Mambang Segara "รัฐ/นครเซอตุลมัมบังเซอการา") เป็นอาณาจักรมลายูในบริเวณชายฝั่งตอนเหนือของคาบสมุทรมลายูในอดีต อาณาจักรนี้ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1808 ในช่วงที่มีการแบ่งแยกระหว่างผู้ปกครองในราชวงศ์ไทรบุรี[1] โดยอำนาจการปกครองเมืองสตูลอยู่ภายใต้การกำกับของเมืองนครศรีธรรมราช แต่ตำแหน่งเจ้าเมืองหรือรายามีการสืบสกุลได้โดยฝ่ายสยามให้การรับรองสถานะ อำนาจอธิปไตยของอาณาจักรนี้สิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1916 หลังจากถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเขตอำนาจอธิปไตยสยามโดยสมบูรณ์ อาณาเขตส่วนใหญ่ของเมืองสตูลปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดสตูล ประเทศไทย
ศัพทมูลวิทยา
[แก้]
ชื่อเมืองสตูลมีที่มาจากคำว่า "บูวะฮ์เซอตุล" (มลายู: بواه ستول, Buah Setul) ในภาษามลายูกลาง ซึ่งหมายถึง "ต้นกระท้อน" อันเป็นไม้ผลชนิดหนึ่งที่ขึ้นชุกชุมในท้องที่นี้ ส่วนคำว่า "มำบังสาครา" (มลายู: ممبڠ سڬارا, Mambang Segara "มัมบังเซอการา") อันเป็นนามเฉลิมนครตามวัฒนธรรมมลายู เป็นชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกขานพระสมุทรเทวาหรือเทพเจ้าแห่งท้องทะเล นามนี้สัมพันธ์กับความเชื่อเรื่องลี้ลับในวัฒนธรรมมลายูโบราณ เนื่องจากที่ตั้งของเมืองสตูลอยู่ริมฝั่งคาบสมุทรมลายู[1] นามเมือง "นครีสโตยมำบังสาครา" จึงมีความหมายว่า "สตูล เมืองแห่งพระสมุทรเทวา" การตีความคำว่า "มำบังสาครา" ยังคงปรากฏให้เห็นจากภาพดวงตราประจำจังหวัดสตูลในปัจจุบัน
ในสำเนียงภาษามลายูเกอดะฮ์ เรียกชื่อเมืองนี้ว่า "สโตย" (Setoi) หรือ "สะตุล" (Setul) ส่วนในภาษาไทยเรียกว่า สตูล ตามสำเนียงภาษามลายูเกอดะฮ์ แต่เขียนทับศัพท์ด้วยอักษรโรมันเป็น "Satun"
ประวัติศาสตร์
[แก้]การก่อกำเนิด
[แก้]
ในประวัติศาสตร์สยามยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น สตูลเป็นเพียงตำบลหนึ่งในเขตเมืองไทรบุรี เรียกว่า มูเก็มสะตุล (مقيم ستول) ประวัติความเป็นมาของเมืองสตูลจึงเกี่ยวข้องกับไทรบุรี ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่า "ตามเนื้อความที่ปรากฏดังกล่าวมาแล้ว ทำให้เห็นว่าในเวลานั้น พวกเมืองไทรเห็นจะแยกกันเป็นสองพวกคือ พวกเจ้าพระยาไทรปะแงรันพวกหนึ่ง และพระยาอภัยนุราชคงจะนบน้อมฝากตัวกับเมืองนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะเมื่อพระยาอภัยนุราชได้มาเป็นผู้ว่าราชการเมืองสตูล ซึ่งเขตแดนติดต่อกับนครศรีธรรมราชมากกว่าเมืองไทร แต่พระยาอภัยนุราชว่าราชการเมืองสตูลได้สองปีก็ถึงแก่อนิจกรรม ผู้ใดจะได้ว่าราชการเมืองสตูลต่อมาในชั้นนั้นหาพบจดหมายเหตุไม่ แต่พิเคราะห์ความตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง เข้าใจว่าเชื้อพระวงศ์ของพระยาอภัยนุราช (ปัศนู) คงจะได้ว่าราชการเมืองสตูล และฟังบังคับบัญชาสนิทสนมกับเมืองนครศรีธรรมราชอย่างครั้งพระยาอภัยนุราชหรือยิ่งกว่านั้น"
ด้วยความที่เป็นหนึ่งในดินแดนสำคัญ ณ ใจกลางรัฐสุลต่านเกดะห์หรือเมืองไทรบุรี ทำให้เมืองสตูลเริ่มปรากฏความสำคัญขึ้นหลังการสิ้นพระชนม์ของสุลต่านอับดุลละฮ์ มูการ์รัม ชะฮ์ หรือพระยาไทรบุรีโมกุรัมซะ สุลต่านแห่งเกอดะห์องค์ที่ 20 เมื่อปี ค.ศ. 1797 ทั้งนี้ สุลต่านอะฮ์มัด ตาจุดดิน ฮาลิม ชะฮ์ที่ 2 หรือเจ้าพระยาไทรบุรีปะแงรัน ได้ขึ้นเสวยราชย์สมบัติแทน โดยการคัดเลือกผู้สืบราชสมบัติดังกล่าวได้รับการสนับสนุนและรับรองจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ณ กรุงเทพมหานคร ด้วยถือว่าไทรบุรีหรือเกอดะห์นั้นเป็นรัฐประเทศราชของราชอาณาจักรสยาม แม้กระนั้นการสถาปนาตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครไทรบุรีก็ได้นำความแตกแยกมาสู่ภายในราชวงศ์ไทรบุรีอย่างรวดเร็วจากการอ้างสิทธิ์ของตนกูบิศนู (หรือปัศนู) ผู้เป็นรายามุดาแห่งเกอดะห์ สยามจึงเข้ามาไกล่เกลี่ยโดยยกฐานะของมุเก็มสตูลขึ้นเป็นเมืองสตูล และแต่งตั้งให้ตนกูบิศนูเป็นพระยาอภัยนุราช ตำแหน่งเจ้าเมืองสตูล เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นหมุดหมายแห่งความแตกแยกเป็นสองฝ่ายของดินแดนรัฐสุลต่านเกอดะห์[2]
พระยาอภัยนุราช (ตนกูบิศนู) ใช้เวลาส่วนใหญ่ในสมัยการปกครองของตนอยู่ในเมืองสตูล โดยมอบหมายให้ดะโต๊ะ วัน อับดุลละห์ เป็นผู้ช่วยในกิจการดูแลท้องถิ่นเป็นส่วนมาก ถึงอย่างไรก็ตาม ตามความในเอกสารชื่อ "ซีแยสุลต่านเมาลานา" (Syair Sultan Maulana) ได้กล่าวว่า พระยาอภัยนุราช (ตุนกูบิศนู) เป็นเจ้าผู้ปกครองซึ่งองอาจสามารถ ได้คุมกองทหารชาวเกอดะห์ไปช่วยกองทัพสยามรบกับกองทัพพม่าแห่งราชวงศ์คองบองที่เมืองถลาง (ปัจจุบันคือจังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย)
การให้สัตยาบัน
[แก้]
ในปี ค.ศ. 1833 ราชสำนักเกอดะห์ได้เผชิญกับความขัดแย้งอีกครั้งระหว่างเจ้าพระยาไทรบุรีปะแงรันกับตนกูเอ็มบุน (Tunku Embun หรือตนกูยากุบ Tunku Yaakub) ผู้เป็นรายามุดา (Raja muda เทียบเท่ามกุฎราชกุมาร) วิกฤตการณ์ครั้งนี้มีสาเหตุชัดเจนจากการที่เจ้าพระยาไทรบุรีปะแงรันปฏิเสธที่จะแต่งตั้งให้รายามุดาดำรงตำแหน่งเป็นรายา (Raja คือกษัตริย์/เจ้าเมือง) แห่งเมืองกายัง (ปะลิส) และสตูล ส่งผลให้ตนกูเอ็มบุนทำการขอกองทัพจากเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร) เพื่อโค่นอำนาจของเจ้าพระยาไทรบุรีปะแงรัน โดยกล่าวหาว่าเจ้าพระยาไทรบุรีปะแงรันแอบฝักใฝ่อังกฤษ[3] ความขัดแย้งด้วยกำลังอาวุธครั้งนี้เป็นที่รู้จักกันในท้องถิ่นในชื่อ "เปอรัง มูซูฮ์ เบอร์บิซิก" (Perang Musuh Berbisik) อันมีความหมายว่า "สงครามศัตรูเสียงกระซิบ"[4]
ระหว่างสงครามในปี ค.ศ. 1833 นั้นเอง กองกำลังติดอาวุธของเกอดะห์ภายใต้การนำของดะโต๊ะหวันหมาดหลี (ดะโต๊ะวันมัดอาลี Dato Wan Mad Ali หรือดะโต๊เซอเตียเซ็งการา Dato Setia Sengkara) ได้เปิดฉากโจมตีกองทัพสยามที่เตอรัง (Terang หรือเมืองตรัง) อัยเยอร์เกลูบี (Ayer Kelubi หรือเมืองกระบี่) และที่เกาะปูเลาปันจัง (Pulau Panjang หรือเกาะยาวใหญ่) หลังจากเมืองเกอดะห์หรือไทรบุรีถูกตีแตก ดะโต๊ะหวันหมาดหลีจำต้องถอนกำลังมาอยู่ที่เกาะลังกาวี พร้อมด้วยชาวมลายูที่ลี้ภัยมาจากเมืองสตูลอีกราว 100 ครัวเรือน[1]
รัฐประหารภายใต้การนำของตนกูเอ็มบุนจัดได้ว่าประสบความสำเร็จ เนื่องจากเจ้าพระยาไทรบุรีปะแงรันผู้เป็นสุลต่านจำต้องถอนกำลังไปอยู่ที่เกาะปีนังซึ่งอยู่ในความดูแลของอังกฤษ และได้ลี้ภัยต่อไปยังเมืองมะละกา[5] แม้กระนั้น คำขอของตนกูเอ็มบุนในการสถาปนาให้ตนเองขึ้นเป็นสุลต่านผู้ครองนครไทรบุรีกลับถูกฝ่ายสยามปฏิเสธ ต่อมาทั้งตนกูเอ็มบุนและตนกูสุไลวัน (Tunku Sulaiwan) ได้ต้องอาญาประหารชีวิตอย่างทารุณโดยพระบรมราชโองการของพระเจ้ากรุงสยาม เนื่องจากพบว่าทั้งสองคนมีความผิดจริงในการเผยแพร่ข่าวเลวร้ายอันเป็นความเท็จเกี่ยวกับสุลต่านองค์ก่อน[3]
หลังจากได้รับชัยชนะ ฝ่ายสยามได้ทำการจัดระเบียบเขตแดนใหม่ ซึ่งทำให้เขตแดนของรัฐสุลต่านเกอดะห์ถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน และแต่งตั้งให้ตนกูมูฮำหมัดอาเก็บ (Tunku Muhammad Akib) บุตรของพระยาอภัยนุราชฯ (ตนกูบิศนู) เป็นพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ รายาเมืองสตูลองค์ใหม่[4] การแบ่งเขตแดนใหม่ของเกอดะห์ได้เกิดขึ้นคู่ขนานกับการแบ่งดินแดนของปัตตานีภายใต้การปกครองของสยามเมื่อปี ค.ศ. 1809 ซึ่งครั้งนั้นยังผลให้เกิดรัฐมลายูเกิดใหม่ที่แตกออกมาจากอาณาจักรปัตตานีเดิมรวมทั้งสิ้น 7 หัวเมือง
การแบ่งเขตแดนของเกอดะห์ได้มีการให้สัตยาบันอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1843 เมื่อเจ้าพระยาไทรบุรีปะแงรัน สุลต่านแห่งเกอดะห์ ได้นำคณะเดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสยาม ณ กรุงเทพมหานคร ผู้ติดตามในคณะเดินทางนั้นประกอบด้วย ตนกูอาหนุ่ม (Tunku Anum) เจ้าเมืองกะปังปาสู ไซยิด ฮุสเซ็น จามาลุลไลล์ (Syed Hussein Jamalullail) รายาเมืองปะลิส และพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ (ตนกูมูฮำหมัดอาเก็บ) รายาเมืองสตูล ทั้งหมดปฏิญาณแสดงความภักดีต่อกรุงสยาม พร้อมทั้งถวายบุหงามาศ (ต้นไม้เงินต้นไม้ทอง) เป็นเครื่องราชบรรณาการแสดงความอ่อนน้อมของบรรดาหัวเมืองที่กำเนิดขึ้นใหม่ในครั้งนั้น
ถึงแม้เกอดะห์โดยข้อเท็จจริงจะถูกแบ่งแยกออกเป็นสี่หัวเมือง (หรือสี่อาณาจักร) แต่ทั้งสี่หัวเมืองก็ยังคงมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติและทางเศรษฐกิจอย่างแน่นแฟ้น ดังปรากฏตัวอย่างจากหลาย ๆ เหตุการณ์ในยุคนี้ เช่น การเสกสมรสระหว่างตนกูจาฮารา (Tunku Jahara) สมาชิกสกุลรายาแห่งกะปังปาสู กับตนกูอะฮ์มัด (Tunku Ahmad) เจ้าชายแห่งเกอดะห์ และการเสกสมรสในปี ค.ศ. 1904 ระหว่างตนกูจูรา (Tunku Jura) เจ้าหญิงแห่งเกอดะห์ กับไซยิด ซาฮีร์ (Syed Zahir) สมาชิกสกุลรายาแห่งสตูล
หลังการแบ่งอาณาเขตจากไทรบุรี
[แก้]
เมื่อพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ (ตนกูมูฮำหมัดอาเก็บ) ถึงแก่อนิจกรรมในปี ค.ศ. 1876 พระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล) ก็ได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองสตูลลำดับถัดมา รายาองค์นี้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นผู้ขาดความสามารถในด้านการบริหาร ปัญหาความขัดแย้งภายในสกุลวงศ์เจ้าเมืองสตูลเป็นเหตุให้ในปี ค.ศ. 1882 ตนกูมุฮัมมัด ผู้เป็นญาติของพระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล) แยกตัวไปก่อตั้งเมืองใหม่ขึ้นที่ละงู ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองสตูล[1] ทั้งสองเมืองนี้ภายหลังได้กลับมารวมอยู่ในเขตจังหวัดสตูลเมื่อรัฐบาลสยามได้ดำเนินการผนวกเมืองสตูลเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพระราชอาณาจักรสยามโดยสมบูรณ์[6]
ในสมัยของพระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล) ได้เกิดโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานจำนวนมากในเมืองสตูลและบรรดาเมืองบริวาร เช่น การสร้างถนน ป้อมปราการ ศาลาว่าราชการเมือง รวมถึงการบริหารจัดการลำน้ำต่างๆ ในเขตเมืองสตูล พระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล) ยังได้มีบัญชาให้สร้างเรือนจำก่อด้วยอิฐ ขยายศาลยุติธรรมประจำเมือง ปรับปรุงระบบเครือข่ายโทรเลขและริเริ่มระบบการไปรษณีย์ ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองสตูลกับรัฐบาลกลางกรุงสยามยังคงเป็นไปอย่างใกล้ชิด ดังปรากฏว่าเมืองสตูลได้ส่งไพร่พลจำนวน 260 คน สมทบกับกำลังพลจากไทรบุรีและปะลิส ไปช่วยรัฐบาลสยามในการปราบปราบกบฏอั้งยี่กรรมกรขุดแร่ดีบุกชาวจีนที่ภูเก็ตเมื่อปี ค.ศ. 1878 ผลงานครั้งนี้ทำให้ท่านได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 4 ภูษณาภรณ์ เป็นบำเหน็จความชอบ[6]
พระยาอภัยนุราช (ตนกูอับดุลเราะห์มาน) ได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองสตูลลำดับต่อมาเมื่อพระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล) ถึงแก่อนิจกรรมในปี ค.ศ. 1888 โดยได้แต่งตั้งพระพิไสยสิทธิสงคราม (ตนกูมะหะหมัด) ผู้เป็นน้องชาย ให้ดำรงตำแหน่งรายามุดาเมืองสตูล เนื่องจากตนเองนั้นไม่มีบุตรชาย พระยาอภัยนุราช (ตนกูอับดุลเราะห์มาน) ได้พัฒนาโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ รอบเมืองสตูลให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อเนื่องจากสมัยของรายาองค์ที่แล้ว แต่ในช่วงปลายสมัยแห่งการดำรงตำแหน่งอันกินระยะเวลานาน 10 ปี พระยาอภัยนุราช (ตนกูอับดุลเราะห์มาน) ได้มีอาการป่วยหนักจนสติเลอะเลือนจนไม่สามารถบริหารราชการได้[1]
การปฏิรูป
[แก้]
การที่ตำแหน่งเจ้าเมืองสตูลว่าลง ทำให้พระยาฤทธิสงครามรามภักดี (สุลต่านอับดุล ฮามิด ฮาลิม ชะฮ์) สุลต่านแห่งเกอดะฮ์ ในฐานะเจ้าเมืองไทรบุรี ได้ส่งตนกูบาฮารุดดิน บิน กูแมะ มาเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าเมืองสตูล เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่หัวเมืองมลายูต่าง ๆ จะเข้าสู่ระบบมณฑลเทศาภิบาลของสยาม ท่านผู้นี้เป็นที่รู้จักกันดีมากกว่าในชื่อ กูเด็น บิน กูแมะ มีภูมิหลังเป็นชาวเกอดะห์ เริ่มรับราชการครั้งแรกเป็นพัศดีเรือนจำที่เมืองอลอร์สตาร์ เมืองหลวงของไทรบุรี [7]และเจริญก้าวหน้าจนได้เป็นตำมะหงง (เสนาบดี) ของสุลต่านแห่งเกอดะห์ แต่ยังมิทันได้รับยศและบรรดาศักดิ์แบบสยามมาก่อน
กูเด็น บิน กูแมะ เป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำที่มากความสามารถ แต่ถึงอย่างนั้นในระยะแรกท่านก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากทั้งคณะกรมการเมืองและชาวเมืองสตูลมากนัก เพราะมิใช่เจ้านายสายตรงในเชื้อวงศ์รายาแห่งเมืองสตูล[8] การแต่งตั้งกูดิน บิน กูแมะ ให้ดำรงตำแหน่งรายาเมืองสตูลเช่นนี้สร้างความโกรธเคืองแก่พระพิไสยสิทธิสงคราม (ตนกูมะหะหมัด) รายามุดาผู้ซึ่งควรจะได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองอย่างยิ่ง เมื่อมิได้รับการยอมรับจากทางเกอดะห์มากนัก พระพิไสยสิทธิสงคราม (ตนกูมะหะหมัด) จึงพยายามขอความช่วยเหลือจากทางกรุงเทพให้สนับสนุนตนขึ้นดำรงตำแหน่งแทน แต่ความพยายามเหล่านั้นสูญเปล่า เพราะปรากฏชัดว่ากูเด็น บิน กูแมะ มีอิทธิพลเหนือกว่าพระพิไสยสิทธิสงคราม (ตนกูมะหะหมัด) อย่างชัดเจน ถึงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่กูเด็น บิน กูแมะ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองแล้วหลายเดือน พระพิไสยสิทธิสงคราม (ตนกูมะหะหมัด) ก็ปรับตัวเข้ากับคณะกรมการเมืองของเมืองสตูลชุดใหม่ได้ โดยอยู่ในฐานะผู้ช่วยราชการเมืองสตูล และกูเด็น บิน กูแมะ เจ้าเมืองคนใหม่ก็ให้เกียรติแก่พระพิไสยสิทธิสงคราม (ตนกูมะหะหมัด) ในฐานะกรมการเมืองเก่าแก่ คอยขอคำปรึกษาในการบริหารราชการเมืองสตูลอยู่เสมอ
ภายหลังเข้ารับตำแหน่งเจ้าเมือง กูเด็น บิน กูแมะ ได้ดำเนินสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเมืองสตูลกับรัฐบาลกลางกรุงสยามให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอย่างอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มจากการส่งเครื่องราชบรรณาการบุหงามาศของเมืองสตูลเป็นการเอกเทศแทนที่จะส่งไปรวมกับของทางเกอดะห์ตามธรรมเนียมเดิม การกระทำเช่นนี้ก่อให้เกิดความตึงเครืยดในความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างนครเกอดะห์กับเมืองสตูล เนื่องจากตามธรรมเนียมแล้ว เมืองสตูลเป็นเมืองขึ้นของเกอดะห์ แม้จะอยู่ภายใต้การกำกับของเมืองนครศรีธรรมราชร่วมกันก็ตาม ความสัมพันธ์ของทั้งสองเมืองกลับมาปรองดองกันได้โดยการไกล่เกลี่ยของเจ๊ะ อัมปวน เมนเญราลา (คุณหญิงเนื่อง นนทนาคร) ชายาของสุลต่านแห่งเกอดะห์[1]
กูเด็น บิน กูแมะ ได้ถอดแบบระบบการบริหารราชการของนครเกอดะฮ์มาใช้ในเมืองสตูลอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งหัวหน้าแผนกธรรมการ (การศึกษา) ตั้งครูใหญ่โรงเรียนมลายู มีระบบกัปตันจีน ตั้งกองข้าหลวง ตั้งกอฎีเป็นหัวหน้าแผนกศาลยุติธรรม ตั้งหัวหน้าแผนกการแพทย์ หัวหน้ากองตระเวน หัวหน้าผู้ตรวจสอบบัญชี หัวหน้าล่าม และส่วนราชการอื่นๆ อีกจำนวนมาก ทั้งยังปรับปรุงกองพลตระเวนเมืองสตูลโดยจ้างพลตระเวนจากชาวปัญจาบจำนวน 36 คน ท่านยังเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ริเริ่มให้ข้าราชการเมืองสตูลใส่เครื่องแบบในการปฏิบัติงานอีกด้วย
ตลอดสมัยการปกครองของกูเด็น บิน กูแมะ ได้มีการวางกฎระเบียบและข้อบังคับจำนวนมากไปในทิศทางนิยมการปกครองของสยาม ท่านได้ริเริ่มการใช้ภาษาไทยเป็นภาษากลางในจวนเจ้าเมืองและภาษาสำหรับการบริหารราชการแผ่นดินแทนที่ภาษามลายูที่ใช้มาแต่เดิม การปรับปรุงเช่นนี้ทำให้ข้าราชการจำนวนหนึ่งที่ไม่คุ้นเคยกับภาษาไทยลาออกจากราชการ ทั้งยังทำให้เกิดการแข็งขืนในหมู่ชาวมลายูส่วนหนึ่ง แม้ว่าต่อมารัฐบาลสยามจะดำเนินการปราบปรามให้สงบลงได้ก็ตาม[6]
กูเด็น บิน กูแมะ ได้รับเป็นบรรดาศักดิ์ฝ่ายสยามเป็นหลวงอินทรวิชัยเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1900 และในปี ค.ศ. 1902 จึงได้รับสัญญาบัตรจากทางการสยามให้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองสตูลอย่างเป็นทางการ ในบรรดาศักดิ์ที่ พระอินทรวิชัย และภายหลังได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอินทรวิไชยเมื่อ ค.ศ. 1913
ยุบเลิกสถานะเจ้าเมืองท้องถิ่น
[แก้]
ในปี ค.ศ. 1892 เมืองสตูลได้กลับไปอยู่ในความปกครองของเกอะดะห์[2] โดยมีสถานะเป็นเมืองในสังกัดมณฑลไทรบุรีในระบบมณฑลเทศาภิบาล แต่ถึงอย่างนั้น อำนาจการปกครองของเกอดะห์เหนือเมืองสตูลก็ค่อยๆ ถูกถ่ายโอนไปอยู่ในมือของรัฐบาลสยามส่วนกลางแทน เมื่อถึง ค.ศ. 1902 ก็มีหลักฐานปรากฏชัดเจนว่าพระอินทรวิชัย (กูเด็น บิน กูแมะ) มีอำนาจปกครองตนเองเหนือเมืองสตูลเต็มที่ แข็งขืนต่ออำนาจของเมืองไทรบุรี
อำนาจการปกครองของเกอดะห์ที่มีต่อเมืองสตูลได้สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1909 ตามสนธิสัญญาอังกฤษ–สยาม พ.ศ. 2452 เดิมฝ่ายอังกฤษวางแผนจะให้รวมเมืองสตูลเข้ากับดินแดนของมณฑลไทรบุรีและรัฐปะลิส เนื่องจากเมืองสตูลมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติร่วมกับทั้งสองเมืองดังกล่าวอย่างเหนียวแน่น แต่แผนดังกล่าวไม่บรรลุผล เนื่องจากพระเจ้าแผ่นดินสยามได้ทรงอ้างสิทธิ์ในอำนาจการปกครองเมืองสตูลอย่างเต็มที่ หลังจากสนธิสัญญาดังกล่าวมีผลบังคับใช้ เมืองสตูลจึงถูกโอนการปกครองจากมณฑลไทรบุรีไปขึ้นกับมณฑลภูเก็ตแทน ก่อนจะโอนไปขึ้นกับมณฑลนครศรีธรรมราชในภายหลังเนื่องจากสามารถติดต่อสื่อสารและใช้การคมนาคมทางบกได้สะดวกกว่า
พระยาอินทรวิไชย (กูเด็น บิน กูแมะ) ได้พ้นจากตำแหน่งเจ้าเมืองสตูลอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1916 ภายหลังจากการผนวกเมืองสตูลเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยามอย่างสมบูรณ์ 6 ปี ท่านได้รับพระราชทานบำเหน็จบำนาญเป็นรางวัลในทางราชการจากการพัฒนาและปฏิรูปเมืองสตูลให้ทันสมัย พร้อมทั้งรับพระราชทานบรรดาศักดิ์ "พระยาภูมินารถภักดี" อันมีความหมายว่า "พระยาผู้จงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน (กรุงสยาม)" มีเกียรติยศเป็นเจ้าเมืองจางวาง เป็นที่ปรึกษาราชการของเมืองสตูลตลอดชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของราชสำนักเกอดะฮ์และชาวมาเลย์ยุคปัจจุบัน ได้มองว่าท่านเป็นผู้ทรยศเผ่าพันธุ์ชาติกำเนิด เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการแยกเมืองสตูลให้ไปอยู่กับฝ่ายสยาม
หลังการผนวกเข้าเป็นดินแดนของสยาม
[แก้]
รัฐบาลกลางสยามได้ยกเลิกระบบเจ้าเมืองท้องถิ่นทั่วราชอาณาจักร อันรวมถึงระบบรายาแบบมลายูที่ใช้ในเมืองสตูลด้วย โดยแทนที่ด้วยระบบการแต่งตั้งผู้ว่าราชการเมือง (ต่อมาเรียกว่าผู้ว่าราชการจังหวัด) จากส่วนกลางที่กรุงเทพมหานครโดยตรง ผู้ว่าราชการเมืองสตูลระบบใหม่คนแรกได้แก่ พระโกชาอิศหาก (ตุ๋ย บินอับดุลลาห์ ภายหลังมีบรรดาศักดิ์เป็น พระยาสมันตรัฐบุรินทร์) ชาวมลายูเกอดะห์ซึ่งมีพื้นเพอยู่ในกรุงเทพฯ ผู้ซึ่งได้เริ่มรับราชการเป็นล่ามภาษามลายู และได้ไต่เต้าในระบบราชการสยามสมัยใหม่มาตามลำดับจนได้เป็นปลัดเมืองสตูล ในยุคนี้เมืองสตูลยังคงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากสมัยของพระยาภูมินารถภักดี (กูเด็น บิน กูแมะ) ปรากฏหลักฐานว่าศาสนาอิสลามในเมืองสตูลยุคนี้มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง[1]
ในช่วงที่พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ (ตุ๋ย บินอับดุลลาห์) เป็นผู้ว่าราชการเมืองสตูลนี้เอง ได้เป็นจุดสิ้นสุดของการใช้ภาษามลายูเป็นสื่อกลางของการศึกษาในพื้นที่ ระบบการศึกษาได้ถูกปฏิรูปให้เข้าสู่ระบบที่ใช้ภาษาไทยเป็นสื่อกลางเช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆ ของประเทศสยาม สิ่งนี้ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางภาษาและอัตลักษณ์ในประชาคมชาวมลายูท้องถิ่นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทุกวันนี้ชาวไทยมุสลิมในพื้นที่จังหวัดสตูลมีเพียงส่วนน้อยมากที่สามารถสื่อสารภาษามลายูได้ ซึ่งแตกต่างกับบรรดาอดีตรัฐเพื่อนบ้านที่อยู่ทางทิศใต้ซึ่งยังคงรักษาภาษาและอัตลักษณ์แบบมลายูไว้ได้[1] ในปัจจุบันรัฐบาลไทยได้ฟื้นฟูหลักสูตรการสอนภาษามลายูขึ้นในโรงเรียนบางแห่งในจังหวัด เพื่อเป็นเครื่องมือในการสืบสานรักษาวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชาวไทยมลายูในพื้นที่จังหวัดสตูลไว้
ทำเนียบนามรายา/เจ้าเมืองสตูล
[แก้]ลำดับ | ชื่อในเอกสารฝ่ายไทย | ชื่อเต็มในภาษามลายู | ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง |
1. | พระยาอภัยนุราชฯ (ตนกูบิศนู) | ตนกู บิซนู อิบนี อัล-มาร์ฮุม ซุลตัน อับดุลละฮ์ อัล-มูการ์รัม ชะฮ์ Tunku Bisnu ibni al-Marhum Sultan 'Abdu'llah al-Mukarram Shah |
พ.ศ. 2356 - 2358 ค.ศ. 1809–1843 |
2. | พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ (ตนกูมูฮำหมัดอาเก็บ) | ตนกู มูฮัมมัด อากิบ อิบนี อัล-มาร์ฮุม ตุนกู บิซนู Tunku Muhammad Akib ibni al-Marhum Tunku Bisnu |
พ.ศ. 2382 - 2419 ค.ศ. 1843–1876 |
3. | พระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล) | ตนกู อิซมาอิล อิบนี อัล-มาร์ฮุม ตุนกู มูฮัมมัด อากิบ Tunku Ismail ibni al-Marhum Tunku Muhammad Akib |
พ.ศ. 2419 - 2427 ค.ศ. 1876–1888 |
4. | พระยาอภัยนุราช (ตนกูอับดุลเราะห์มาน) | ตนกู อับดุล ระฮ์มัน อิบนี อัล-มาร์ฮุม ตุนกู อิซมาอิล Tunku 'Abdu'l Rahman ibni al-Marhum Tunku Ismail |
พ.ศ. 2427 - 2440 ค.ศ. 1888–1897 |
5. | มหาอำมาตย์ตรี พระยาภูมินารถภักดี (กูเด็น บิน กูแมะ) | ตนกู บาฮารุดดิน บิน กู เมะฮ์ Tunku Baharuddin bin Ku Meh |
พ.ศ. 2440 - 2459 ค.ศ. 1897–1916 |
สกุลวงศ์รายาเมืองสตูล
[แก้]รายาเมืองสตูลทุกคนล้วนสืบเชื้อสายจากราชวงศ์เกอดะห์หรือราชวงศ์ไทรบุรี ปรากฏนามสกุลเมื่อมีการตั้งนามสกุลขึ้นในประเทศสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังนี้
- สนูบุตร - เป็นสกุลสายตรงที่สืบทอดมาจากพระยาอภัยนุราช (ตนกูบิศนู) ผู้เป็นบุตรของพระยาไทรบุรี (สุลต่านอับดุลละฮ์ มูการ์รัม ชะฮ์) และเป็นน้องของเจ้าพระยาไทรบุรีปะแงรัน พระพิไสยสิทธิสงคราม (ตนกูมะหะหมัด ต่อมาคือพระพิมลสัตยาลักษณ์ กรมการพิเศษเมืองสตูล) ผู้เป็นบุตรของพระยาอภัยนุราช (ตนกูอิสมาแอล) ได้ขอพระราชทานนามสกุลจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับพระราชทานนามสกุลตามประกาศพระราชทานนามสกุลครั้งที่ 53 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 33 หน้า 1023 วันที่ 23 กรกฎาคม 2459 ว่า “สะนุบุตร” เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “Sanuputra”[9]
- บินตำมะหงง - เป็นสกุลของมหาอำมาตย์ตรี พระยาภูมินารถภักดี (กูเด็น บิน กูแมะ) เชื้อสายเจ้านายราชวงศ์ไทรบุรี แต่มิใช่สายตรงในสกุลของพระยาอภัยนุราช (ตนกูบิศนู) พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้แก่พระยาภูมินารถภักดี ขณะยังเป็น อำมาตย์เอก พระยาอินทรวิไชย เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2458 โดยทรงสะกดว่า "บินตำมะงง" (ไม่มีตัว "ห") และสะกดนามสกุลเป็นภาษาอังกฤษว่า “Bin Tamangong”[10]
ดูเพิ่ม
[แก้]- เมืองกะปังปาสู อาณาจักรมลายูอีกแห่งที่เกิดในช่วงการแบ่งแยกเมืองไทรบุรี (เกอดะฮ์)
- รายชื่อราชวงศ์มุสลิมนิกายซุนนี
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 1.6 1.7 Ahmad Jelani Halimi & Mohd Yusoff Mydin Pitchai 1985
- ↑ 2.0 2.1 MyKedah n.d.
- ↑ 3.0 3.1 Mata Hati 2017
- ↑ 4.0 4.1 Isma 2016
- ↑ Dato' Hj. Wan Shamsudin bin Mohd. Yusof 2017
- ↑ 6.0 6.1 6.2 DoAsia 2017
- ↑ Mahani Musa n.d.
- ↑ Ooi Keat Gin 2015
- ↑ กูโบร์โต๊ะมาโหม สุสานเจ้าเมืองสตูลสายสกุลสนูบุตรและชาวเมืองสตูล
- ↑ มหาอำมาตย์ตรีพระยาภูมินารถภักดี : ยุครัฐและประชาชนร่วมกันสร้างบ้านแปงเมือง
บรรณานุกรม
[แก้]- Ahmad Jelani Halimi & Mohd Yusoff Mydin Pitchai (1985), Setoi (Setul) Mambang Segara Dalam Lintasan Sejarah Negeri-Negeri Melayu Utara, Universiti Utara Malaysia
- Burung Murai (2007), Ku Din Ku Meh - Betul ke atau Marang Prapu
- Dato' Hj. Wan Shamsudin bin Mohd. Yusof (2017), Syair Duka Nestapa, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-09-21, สืบค้นเมื่อ 2020-12-21
- DoAsia (2017), พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
- Isma (2016), Perjuangan Kedah mempertahankan tanah air, Portal Islam & Melayu, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-10-27, สืบค้นเมื่อ 2020-12-21
- Mahani Musa, The Memory of The World Register: The Sultan Abdul Hamid Correspondence and Kedah History (PDF), School of Humanities, Universiti Sains Malaysia
- Mata Hati (2017), Sambungan Kisah Pengkhianatan Tunku Yaakub Terhadap Negeri Kedah, Orang Kedah, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-11-16, สืบค้นเมื่อ 2020-12-21
- MyKedah, Pusat- pusat Pentadbiran Kedah Darul Aman Dari Bukit Meriam Ke Kota Star, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-09-21, สืบค้นเมื่อ 2020-12-21
- Ooi Keat Gin (2015), Warisan Wilayah Utara Semenanjung Malaysia, Universiti Sains Malaysia
- เมืองสตูล
- รัฐสิ้นสภาพในประวัติศาสตร์มาเลเซีย
- รัฐสิ้นสภาพในประวัติศาสตร์ไทย
- ประเทศราชของอาณาจักรสยาม
- รัฐสิ้นสภาพในประเทศไทย
- คาบสมุทรมลายู
- มาเลเซียตะวันตก
- ภาคใต้
- ราชวงศ์มุสลิม
- คติชนมลายู
- เจ้านายฝ่ายใต้
- รัฐสุลต่านในอดีต
- สนธิสัญญาอังกฤษ–สยาม พ.ศ. 2452
- รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2353
- รัฐและดินแดนที่ถูกยุบในปี พ.ศ. 2445