นครรัฐแม่ระเมิง
แม่ระเมิง | |
|---|---|
| พ.ศ. 1900–พ.ศ. 2200 | |
| สถานะ | นครรัฐ |
| ประวัติศาสตร์ | |
• ก่อตั้ง | พ.ศ. 1900 |
• สิ้นสุด | พ.ศ. 2200 |
| ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | ประเทศไทย |
นครรัฐแม่ระเมิง บ้างเรียก รัฐแห่งขุนเขาที่แม่ระเมิง[1][2][3] เป็นชื่อสมมุติของรัฐในอดีตที่ไม่ปรากฏชื่อแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่บริเวณภูเขาที่สลับซับซ้อนของทิวเขาถนนธงชัย ในหมู่บ้านแม่ระเมิง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก และพบเรื่อยไปจนถึงพื้นที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ สันนิษฐานว่า ประชากรหลักเป็นชาวเขาโบราณกลุ่มหนึ่งที่มีวัฒนธรรมของตนเอง มีการรวมกลุ่มกันอย่างเข้มแข็ง และมีธรรมเนียมการนับถือผีที่เคร่งครัด[1][4] จากการหาค่าอายุวัตถุโบราณด้วยคาร์บอน-14 พบว่าชาวเขากลุ่มนี้อาศัยอยู่ในพื้นที่มาช้านานไม่ต่ำกว่าพุทธศตวรรษที่ 5 ก่อนการมาถึงของชาวไทเสียอีก[5]
รัฐแห่งนี้มีลักษณะเป็นรัฐการค้าบนยอดดอยที่มีการติดต่อค้าขายกับชาติที่อยู่ไกลออกไป เพราะตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางของอาณาจักรต่าง ๆ เช่น สุโขทัย เชียงใหม่ แม่ตื่น ฉอด ตาก และเมาะตะมะ[1] ทำให้รัฐบนยอดดอยแห่งนี้มีความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจอย่างมาก[4] จากการขุดค้นทางโบราณคดี ได้พบเครื่องลายครามยุคราชวงศ์หมิงของประเทศจีน[3] พบเครื่องสังคโลกจากเตาเวียงกาหลง[2] ลูกปัดโบราณในหลุมศพ[4] และพบภาชนะดินเผาที่มีลักษณะเดียวกันกับที่พบในเขตเมืองโบราณแม่ต้าน (ยุค พ.ศ. 2000–2300)[2] ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน[1] และพบอิทธิพลการแพร่กระจายของศาสนาพุทธในแถบพื้นที่สูงดังกล่าวด้วย[2] ซึ่งได้รับจากการติดต่อกับชนพื้นราบหรือเมืองในหุบเขาที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน[4]
วัฒนธรรม
[แก้]ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ กำหนดอายุของวัฒนธรรมที่แม่ระเมิงไว้ราว พ.ศ. 1900–2200[1] วัฒนธรรมที่โดดเด่นของรัฐแห่งขุนเขาที่แม่ระเมิง คือธรรมเนียมการฝังศพ ในสุสานที่มีลักษณะเนินวงกลม ขุดดินโดยรอบเป็นวงกลมคล้ายคูน้ำ บางแห่งเป็นเนินนูน บางแห่งแบนราบ กระจัดกระจายอยู่บนยอดเขา ภายในหลุมพบโครงกระดูกมนุษย์ บ้างก็พบเป็นอัฐิในไหยุคสุโขทัย[1] มีการอุทิศถ้วยชาม อาวุธ และลูกปัดแก่ผู้วายชนม์[4] บนหลุมศพมีการปักหินไว้เหนือหลุม[4] และบริเวณโดยรอบเนินดินหลุมศพบนดอยแบแล ยังพบซากวัดและสถูปเจดีย์น้อยใหญ่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับแหล่งฝังศพ[4] อุดมลักษณ์ ฮุ่นตระกูล คณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า การปลงศพมีลักษณะใกล้เคียงกับชาวกะชีน ที่มีการขุดเนินดินอย่างเดียวกันเพื่อแบ่งแยกโลกความเป็นกับโลกความตายออกจากกันด้วยการขุดดินเป็นวงกลม[1] และสันนิษฐานว่าชาวเขากลุ่มนี้ มีความเชื่อเรื่องฟ้าหรือสวรรค์ เมื่อพิจารณาจากการฝังศพบนยอดเขาสูง เนินดินนี้เปรียบเสมือนการส่งผู้วายชนม์ไปสู่เมืองฟ้าเมืองสวรรค์[4] ส่วนจอร์จ คอนโดมินัส สันนิษฐานว่า หลุมศพลักษณะนี้อาจเป็นของชาวลัวะ และนักวิชาการอื่น ๆ ยังสันนิษฐานว่าอาจเป็นชาวลัวะกับกะเหรี่ยงอาศัยร่วมกันก็มี[5] ทว่าหลุมศพต่าง ๆ ถูกนักล่าสมบัติขุดจนไม่เหลือหลุมที่สมบูรณ์อยู่เลย ทำให้ยากต่อการศึกษาเรื่องพิธีกรรมการปลงศพที่ชัดเจน[1]
ชนกลุ่มนี้นับถือศาสนาผีอย่างเคร่งครัด แต่ก็ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ ซึ่งได้รับจากการติดต่อกับชนพื้นราบหรือเมืองในหุบเขาที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน[4] เพราะศาสนาพุทธไม่ปฏิเสธความเชื่อเรื่องผี ทำให้ความเชื่อทั้งสองผสมผสานกันเป็นอย่างดี ซึ่งยังพบในวิถีความเชื่อของชาวลัวะและชาวกะเหรี่ยงยุคปัจจุบัน[5][6]
นอกจากสุสานแล้ว ยังค้นพบป้อมโบราณบนยอดเขาครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งมีการดัดแปลงยอดเขาด้วยการขุดถนนล้อมรอบจำนวนสองป้อม แต่ละป้อมมีขนาดกว้าง 150x200 เมตร ทำให้ยอดเขามีความชันขึ้น มีการขุดคู คันดินสูงท่วมหัว และมีทางเข้าอยู่หนึ่งด้าน[1]
อ้างอิง
[แก้]- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 อุดมลักษณ์ ฮุ่นตระกูล และพิพัฒน์ กระแจะจันทร์, ผศ. (21 กุมภาพันธ์ 2562). "รัฐแห่งขุนเขาที่แม่ระเมิง ปริศนาหลุมศพชาวเขาโบราณในเขตเทือกเขาถนนธงชัย". มติชนออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2568.
{{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=(help) - 1 2 3 4 พิพัฒน์ กระแจะจันทร์, ผศ. (7 มีนาคม 2562). "เมืองโบราณแม่ต้าน คือเมืองฉอดจริงหรือไม่ในทรรศนะของจิตร ภูมิศักดิ์". มติชนออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2568.
{{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=(help) - 1 2 ชัยพงษ์ สำเนียง (2568). ประวัติศาสตร์สังคมหัวเมืองฝ่ายเหนือ (ล่าง) : ประวัติศาสตร์ ผู้คน ดนตรี และวรรณกรรม. กรุงเทพฯ: หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.). p. 8.
- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 พิพัฒน์ กระแจะจันทร์, ผศ. และอุดมลักษณ์ ฮุ่นตระกูล (9 เมษายน 2562). "ชุมทางการค้าแห่งขุนเขา พื้นที่ร่วมพุทธ-ผี ยุคล้านนา ที่อมก๋อย เชียงใหม่". มติชนออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2568.
{{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=(help) - 1 2 3 พิพัฒน์ กระแจะจันทร์, ผศ. (13 มกราคม 2564). "อมก๋อย ดินแดนดั้งเดิมของชาวเขาโบราณที่ถูกหลงลืมจากสิทธิขั้นพื้นฐาน". The Standard. สืบค้นเมื่อ 29 กันยายน 2568.
{{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=(help) - ↑ ฝอยทอง (สมบัติ) สมวถา (2545). เล่าขานตำนานเมืองแจ๋ม (PDF). เชียงใหม่: นพบุรีการพิมพ์. p. 14-15.