นครรัฐแก่งสร้อย
นครรัฐแก่งสร้อย | |||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| พ.ศ. 1669–พ.ศ. 2310 | |||||||||
บริเวณเขตอิทธิพลของแก่งสร้อยโดยประมาณ | |||||||||
| สถานะ | นครรัฐ | ||||||||
| เมืองหลวง | ท่าส้อย | ||||||||
| การปกครอง | ราชาธิปไตย | ||||||||
| ประวัติศาสตร์ | |||||||||
• ก่อตั้ง | พ.ศ. 1669 | ||||||||
• ล่มสลาย | พ.ศ. 2310 | ||||||||
| |||||||||
| ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | ประเทศไทย | ||||||||
นครรัฐแก่งสร้อย หรือ เมืองสร้อย เป็นนครรัฐขนาดเล็กของชาวละว้า[1] ตั้งอยู่บริเวณที่ราบขนาดแคบริมแม่น้ำปิงที่โอบล้อมด้วยหุบเขา ปัจจุบันตั้งอยู่บริเวณเขตอำเภอสามเงา จังหวัดตาก[1] นครรัฐแห่งนี้ดำรงอยู่ตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 1669 แม้แก่งสร้อยจะมีข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ที่ทำให้ที่นี่มีพื้นที่เกษตรกรรมค่อนข้างน้อยและขยายพื้นที่ได้ยาก[2] แต่แก่งสร้อยกลับเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งในฐานะเมืองท่าจอดพักระหว่างทาง ที่มีการค้าขายระหว่างเมืองเชียงใหม่ กรุงศรีอยุธยา และหงสาวดี[3] ในยุคการคมนาคมทางบกยังไม่สะดวก มีเจ้าเมืองสืบทอดอำนาจต่อกันมาหลายชั่วอายุคน[1] ทว่านครรัฐขนาดน้อยแห่งนี้ล่มสลายลงช่วง พ.ศ. 2310 จากการโจมตีของพม่าหรือกรุงศรีอยุธยา มีการกวาดต้อนเชลยและเกิดโรคระบาดจนทำให้นครรัฐแห่งนี้ร้างผู้คนไปในที่สุด[1][4]
ปัจจุบันโบราณสถานจำนวนมากที่นับเนื่องจากยุคนครรัฐแก่งสร้อยจมลงใต้เขื่อนภูมิพล ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 เป็นต้นมา[5][4]
ประวัติ
[แก้]สันนิษฐานว่า นครรัฐแก่งสร้อย เป็นรัฐร่วมสมัยกับอาณาจักรหริภุญชัย และหิรัญนครเงินยาง ปกครองโดยชาวละว้า[3] มีเมืองเดียวคือ เมืองท่าส้อยหรือแก่งสร้อย ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิง คืออาณาบริเวณรอบวัดพระบรมธาตุแก่งสร้อย[3] โดยแก่งสร้อยยังมีลักษณะเป็น "ทางน้ำแคบ มีกระแสน้ำไหลเชี่ยว มีโขดหินโผล่กลางน้ำมากมาย"[3] ถือเป็นแก่งที่มีความยาวมากที่สุดในบรรดาแก่งในแม่น้ำปิงทั้งหมด 40 แห่ง[5] จากใบลานเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงครึ่งคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระบุถึงเมืองท่าส้อยหรือแก่งสร้อย มีความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก มีวัดวาอารามหลายแห่ง และยังเป็นแหล่งผลิตคัมภีร์บาลีที่สำคัญ[3] โดยมีเอกสารใบลานเก่าแก่ของแก่งสร้อยอายุ 500 ปี ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่วัดไหล่หิน และหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่[6]
นครรัฐแก่งสร้อยมีการติดต่อค้าขายกับดินแดนอื่น ๆ โดยมีเจ้าเมืองคนหนึ่ง คือ เจ้าข้อมือเหล็ก ซึ่งครองนครรัฐแก่งสร้อยและนครรัฐลี้ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน สันนิษฐานว่าเป็นการสมรสข้ามราชวงศ์เพื่อเสถียรภาพทางการเมือง[2] และใน ตำนานเมืองสร้อย ต้นฉบับวัดดอยไชยมงคล ตำบลแม่ตื๋น อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏนามของ "เจ้าน้อยคำตื้อ" คาดว่าคงเป็นคนแก่งสร้อย ไปกินเมืองต๋าม หนองสี่ฮ้อย และสบสระเหลี่ยม[7]
มีสมมุติฐานหลายทางเกี่ยวกับการล่มสลายลงของนครรัฐแก่งสร้อย เป็นต้นว่า เกิดสงครามระหว่างไทยกับพม่าระหว่างพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กับพระเจ้าปดุง เรียกว่าสงครามเก้าทัพ พ.ศ. 2328 ได้มีการกวาดต้อนผู้คนไปสู้รบในดินแดนทางใต้และชาวละว้าป่วยโรคระบาดจนตายสิ้น[4] บางแห่งก็ว่าแก่งสร้อยล่มสลายเมื่อคราวที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ และได้กวาดต้อนเชลยละว้าลงไปกรุงศรีอยุธยาเสีย ทำให้แก่งสร้อยแปรสภาพเป็นเมืองร้างกลางป่ามาตั้งแต่นั้น[1]
ในเวลาต่อมาหลังสงครามสงบลง ชาวแก่งสร้อยที่ถูกกวาดไปไว้เมืองอ่างทองและชัยนาท ได้อพยพกลับแก่งสร้อยอีกครั้ง แล้วทำการฟื้นฟูชุมชนขึ้นใหม่ เรียกว่า บ้านหลวง จากนั้นเมื่อประชากรขยายตัว จึงได้ขยายเป็นหลายหมู่บ้าน ได้แก่ บ้านใต้ห้วย บ้านศรีแท่น บ้านวัดหลวง บ้านท่าหินโก๊ะ บ้านท่าเดื่อ บ้านท่าพิมาน และบ้านห้วย เป็นต้น ส่วนวัดมีการฟื้นฟูได้เพียง 8 วัด ได้แก่ วัดศรีแท่น วัดดอนแก้ว วัดหลวง วัดท่าเดื่อ วัดท่าโป่ง วัดพระธาตุลอย วัดอูมวาบ และวัดห้วย[1]
การปกครอง
[แก้]นครรัฐแก่งสร้อยปกครองแบบราชาธิปไตย มีเจ้าเมืองปกครองสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน[1][3] มีเจ้าเมืองคนหนึ่ง คือ เจ้าข้อมือเหล็ก ปกครองแก่งสร้อยและลี้ร่วมกัน[2] ส่วนเจ้าเมืองคนสุดท้าย คือ พญาอุตตุม[1][6] ซึ่งนครรัฐแก่งสร้อยมีเมืองหลักแห่งเดียว คือ ท่าส้อย ซึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ หมู่บ้านริมฝั่งแม่น้ำปิง และหมู่บ้านริมลำน้ำแม่ตื่น ซึ่งมีจำนวนหลายหมู่บ้าน เช่น หมู่บ้านริมแม่น้ำปิง ได้แก่ บ้านทุ่งจ๊ะ บ้านหนองแสง บ้านต้นปางส่างต้น บ้านเสลี่ยม บ้านแก่งปวง บ้านป่าคา บ้านดินแดง บ้านแก่งม่วง บ้านก๋องยอน และบ้านขอบด้ง ส่วนหมู่บ้านริมลำน้ำแม่ตื่น เช่น บ้านก๋องขาด บ้านท่าก๋อง บ้านอูมวาบ บ้านหินลาด บ้านนาไฮ และบ้านฮูมหลวง เป็นต้น[1][3]
อ้างอิง
[แก้]- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 ทิพาพร พิมพิสุทธิ์, ดร., บวร ประพฤติดี, ดร. (2546). ตามรอยวัฒนธรรมบ้านนา : บันทึกประวัติศาสตร์จากนโยบายสู่วิถีชีวิตชุมชน (PDF). p. 1-2.
{{cite book}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - 1 2 3 สมเจตน์ อนุสาร (9–10 กรกฎาคม 2563). ลี้ เมืองสำคัญในประวัติศาสตร์ล้านนา (PDF). นครปฐม: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. p. 2212.
{{cite book}}: CS1 maint: date format (ลิงก์) - 1 2 3 4 5 6 7 รับขวัญ สำเนียง. การอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีสรงน้ำพระบรมธาตุแก่งสร้อย วัดพระบรมธาตุแก่งสร้อย ตำบลบ้านนา อำเภอสามเงา จังหวัดตาก (PDF). บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. p. 60.
- 1 2 3 รับขวัญ สำเนียง. การอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีสรงน้ำพระบรมธาตุแก่งสร้อย วัดพระบรมธาตุแก่งสร้อย ตำบลบ้านนา อำเภอสามเงา จังหวัดตาก (PDF). บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. p. 61.
- 1 2 ทิพาพร พิมพิสุทธิ์, ดร., บวร ประพฤติดี, ดร. (2546). ตามรอยวัฒนธรรมบ้านนา : บันทึกประวัติศาสตร์จากนโยบายสู่วิถีชีวิตชุมชน (PDF). p. 5.
{{cite book}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - 1 2 รับขวัญ สำเนียง. การอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีสรงน้ำพระบรมธาตุแก่งสร้อย วัดพระบรมธาตุแก่งสร้อย ตำบลบ้านนา อำเภอสามเงา จังหวัดตาก (PDF). บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. p. 133.
- ↑ รับขวัญ สำเนียง. การอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีสรงน้ำพระบรมธาตุแก่งสร้อย วัดพระบรมธาตุแก่งสร้อย ตำบลบ้านนา อำเภอสามเงา จังหวัดตาก (PDF). บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. p. 60=4.