นกกระจอกบ้าน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
นกกระจอกบ้าน
นกกระจอกบ้านชนิดย่อย P. m. saturatus ในประเทศญี่ปุ่น
สถานะการอนุรักษ์
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Animalia
ไฟลัม: Chordata
ชั้น: Aves
อันดับ: Passeriformes
วงศ์: Passeridae
สกุล: Passer
สปีชีส์: P.  montanus
ชื่อทวินาม
Passer montanus
(Linnaeus, 1758)
พื้นที่การกระจายพันธุ์แอฟริกา-ยูเรเชียน


      นกอพยพย้ายถิ่นในฤดูร้อนเพื่อผสมพันธุ์และทำรังวางไข่
      นกประจำถิ่น ผสมพันธุ์และทำรังวางไข่
      นกอพยพย้ายถิ่นในฤดูหนาว

ชื่อพ้อง
  • Fringilla montana Linnaeus 1758
  • Loxia scandens Hermann 1783
  • Passer arboreus Foster 1817

นกกระจอกบ้าน[2] (อังกฤษ: Eurasian Tree Sparrow) เป็นนกเกาะคอนในวงศ์นกกระจอก มีสีน้ำตาลเข้มที่กระหม่อนและหลังคอ แก้มสีขาวมีจุดดำบนแก้มแต่ละข้าง นกกระจอกทั้งสองเพศมีชุดขนคล้ายกัน นกวัยอ่อนมีสีขนจืดกว่านกที่โตเต็มที่ นกชนิดนี้มีการกระจายพันธุ์เกือบทั้งทวีปยูเรเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Tree Sparrow (นกกระจอกต้นไม้) และมันถูกนำไปสู่ที่อื่นๆ รวมถึง สหรัฐอเมริกา ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Eurasian Tree Sparrow (นกกระจอกต้นไม้ยูเรเชีย) หรือ German Sparrow (นกกระจอกเยอรมัน) เพื่อแยกความแตกต่างจากนกกระจอกต้นไม้อเมริกา (American Tree Sparrow) ซึ่งเป็นนกพื้นเมือง แม้ว่าจะมีหลายชนิดย่อยที่ได้รับการยอมรับ แต่ลักษณะที่ปรากฏของนกแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยตลอดแนวการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวาง

นกกระจอกบ้านทำรังไม่เป็นระเบียบในโพรงธรรมชาติ รูในอาคาร หรือรังขนาดใหญ่ของนกสาลิกาปากดำหรือนกกระสาขาว นกจะวางไข่คราวหนึ่งห้าถึงหกฟอง ไข่จะฟักเป็นตัวภายในสองอาทิตย์ นกกินเมล็ดพืชเป็นอาหารหลัก แต่บางครั้งจะกินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นอาหาร โดยเฉพาะช่วงฤดูผสมพันธุ์ นกกระจอกบ้านเหมือนกับนกขนาดเล็กทั่วไปซึ่งอาจเสียชีวิตจากการติดเชื้อจากปรสิต โรคภัยไข้เจ็บ และถูกล่าโดยนกล่าเหยื่อ ทำให้โดยทั่วไปมีช่วงชีวิตประมาณสองปี

นกกระจอกบ้านมีการกระจายพันธุ์เป็นวงกว้างในตัวเมืองและในมหานครของเอเชียตะวันออก แต่ในยุโรปกลับพบในป่าละเมาะในชนบท และพบร่วมกันกับนกกระจอกใหญ่ที่จับคู่ผสมพันธุ์กันในเมืองหลายพื้นที่ ด้วยการกระจายพันธุ์ที่กว้างและมีประชากรจำนวนมาก ทำให้มั่นใจได้ว่านกนั้นไม่ตกอยู่ในสภาวะความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ แต่กระนั้น ก็มีการลดลงของประชากรจำนวนมากในยุโรปตะวันตก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำการเกษตร การใช้สารกำจัดวัชพืชเพิ่มขึ้น และการสูญเสียตอซังในฤดูหนาว ในเอเชียตะวันออกและออสเตรเลียตะวันตก บางครั้งนกชนิดนี้ถูกมองว่าเป็นศัตรูพืช แม้ว่าจะมีการยกย่องกันอย่างแพร่หลายในศิลปะตะวันออก

ลักษณะ[แก้]

นกกระจอกบ้านเป็นนกขนาดเล็กมาก หัวค่อนข้างใหญ่ คอสั้น ปีกสั้น ปลายปีกมน หางค่อนข้างสั้น ตัวยาว 12.5–14 ซม. (5–5½ นิ้ว)[3] ช่วงปีกกว้าง 21 ซม. (8.25 นิ้ว) และหนัก 24 กรัม (0.86 ออนซ์)[4] ทำให้มันเล็กกว่านกกระจอกใหญ่ประมาณ 10%[5] กระหม่อมและต้นคอของนกโตเต็มวัยมีสีสีน้ำตาลแก่ แก้มขาว มีแต้มสีดำรูปไตบริเวณขนคลุมหู คาง คอ และพื้นที่ระหว่างการปากและลำคอมีสีดำ ส่วนบนสีน้ำตาลอ่อนลายดำ ปีกสีน้ำตาลมีแถบสีขาวแคบๆ สองแถบ ขาเป็นสีน้ำตาลอ่อน และปากอ้วนสั้น เป็นปากกรวย เป็นสีน้ำเงินจากปลายในฤดูร้อนและกลายเป็นเกือบดำในฤดูหนาว[6]

นกกระจอกนี้เป็นที่โดดเด่นในสกุลเพราะชุดขนไม่มีความแตกต่างระหว่างเพศ นกวัยอ่อนคล้ายนกโตเต็มวัยแต่มีสีทึบกว่า[7] ด้วยรูปแบบแต้มบนใบหน้าทำให้มันง่ายที่จะจำแนก[5] อีกทั้งมีขนาดเล็ก กระหม่อนไม่เป็นสีเทายิ่งทำให้มันแตกต่างจากนกกระจอกใหญ่ตัวผู้[3] นกกระจอกบ้านที่โตเต็มวัยและนกวัยอ่อนจะผลัดขนอย่างช้าๆ จนเสร็จสมบูรณ์ในฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งจะทำให้ดัชนีมวลร่างกายเพิ่มขึ้น แม้ไขมันที่สะสมจะลดลงก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของมวลกายเกิดขึ้นเพราะการเพิ่มขึ้นของเลือดเพื่อที่จะช่วยการงอกของขน และปริมาณความจุน้ำที่สูงขึ้นในร่างกาย.[8]

นกกระจอกบ้านไม่มีการร้องเพลงที่แท้จริง แต่การเปล่งเสียงของมันประกอบด้วย ชุดปลุกเร้าของเสียงร้อง ชิบ-ชิบ หรือ ชิชิบ-ชิชิบ โดยนกตัวผู้ที่ไม่มีคู่หรือกำลังเกี้ยวพาราสี เสียงร้องพยางค์เดียวอื่นๆ ถูกใช้ในการสื่อสารทางสังคม และเสียงร้องกระด้างขณะบิน แจ๊ก-แจ๊ก[5] ในการศึกษาเปรียบเทียบการเปล่งเสียงของประชากรนกกระจอกรัฐมิสซูรีกับนกจากเยอรมนีแสดงให้เห็นว่านกสหรัฐมีการใช้รูปแบบพยางค์ (มีม) น้อยกว่า และมีไวยากรณ์มากกว่านกกระจอกยุโรป ซึ่งอาจเป็นผลมาจากกลุ่มประชากรที่มีขนาดเล็กในทวีปอเมริกาเหนือและเนื่องมาจากการสูญเสียความหลากหลายทางพันธุกรรม[9]

อนุกรมวิธาน[แก้]

เนื้อความที่บรรยายถึงนกกระจอกใหญ่และนกกระจอกบ้านจาก Systema naturae[10]

นกกระจอกโลกเก่าสกุล Passer เป็นนกจับคอนขนาดเล็กที่เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดจากทวีปแอฟริกา มีอยู่ประมาณ 15–25 ชนิดขึ้นอยู่กับผู้แต่ง[11] โดยทั่วไปแล้ว สมาชิกในสกุลจะมีถิ่นอาศัยในพื้นที่เปิดโล่ง ป่าละเมาะ แม้ว่า หลายชนิดโดยเฉพาะนกกระจอกใหญ่ (P. domesticus) สามารถปรับตัวเข้ากับที่อยู่อาศัยของมนุษย์ได้ โดยมากนกในสกุลจะยาว 10–20 ซม. (4–8 นิ้ว) มีสีน้ำตาลหรือเทา หางเหลี่ยมสั้น ปากสั้นกลม กินเมล็ดพืชตามพื้นดิน บางครั้งกินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นอาหาร โดยเฉพาะช่วงผสมพันธุ์วางไข่[12] จากการศึกษาทางพันธุกรรมแสดงว่านกกระจอกบ้านแยกตัวจากสมาชิกในสกุลอื่นแต่แรก ก่อนชนิดใหม่อย่างนกกระจอกใหญ่ นกกระจอกตาล และนกกระจอกสเปน[13][14] นกกระจอกบ้านไม่ได้เป็นญาติใกล้ชิดกับนกกระจอกต้นไม้อเมริกา (Spizella arborea) ซึ่งอยู่ในวงศ์นกกระจอกอเมริกา[15]

ชื่อวิทยาศาสตร์ของนกกระจอกบ้านมาจากคำสองคำในภาษาละติน: passer ที่แปลว่า "นกกระจอก" และ montanus แปลว่า "แห่งภูเขา" (จากคำ mons ที่แปลว่า "ภูเขา")[4] นกกระจอกบ้านได้รับการจำแนกครั้งแรกโดยคาโรลัส ลินเนียสในงาน Systema Naturae ของเขาเมื่อปี ค.ศ. 1758 ในชื่อ Fringilla montana,[16] แต่ถูกย้ายจากวงศ์นกฟินซ์ (Fringillidae) พร้อมกับนกกระจอกใหญ่สู่สกุลใหม่ Passer ที่สร้างโดยนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส มาทูริน จ็คซ์ บริซซัน (Mathurin Jacques Brisson) ใน ค.ศ. 1760[17] ชื่อ Eurasian Tree Sparrow นั้นมาจากมันชอบทำรังในโพรงต้นไม้เป็นพิเศษ ชื่อนี้และชื่อวิทยาศาสตร์ montanus กลับไม่แสดงถึงถิ่นอาศัยของนกอย่างเหมาะสม รวมถึงชื่อในภาษาเยอรมัน Feldsperling ("นกกระจอกทุ่ง") ก็เช่นกัน[18]

ชนิดย่อย[แก้]

นกชนิดนี้มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยจากจากการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวาง มีเพียง 8 ชนิดย่อยที่ถูกจำแนกโดยคลีเมนต์ซึ่งน้อยมาก และยังมีชนิดย่อยอื่นอีก 15 ชนิดที่ถูกเสนอ แต่ได้รับการพิจารณาเป็นผลผลิตของเผ่าพันธุ์[6][19]

  • P. m. montanus เป็นชนิดย่อยที่เป็นตัวอย่างในการจำแนกเป็นชนิด กระจายพันธุ์ทั่วทวีปยุโรป ยกเว้น ทางตะวันตกเฉียงใต้ของไอบีเรีย, ตอนใต้ของประเทศกรีซ, และยูโกสลาเวีย นอกจากนี้ยังมีการแพร่พันธุ์ในเอเชียไปทางตะวันออกถึงแม่น้ำลีนาและทางใต้ถึงพื้นที่ตอนเหนือของประเทศตุรกี, คอเคซัส, ประเทศคาซัคสถาน, ประเทศมองโกเลีย และประเทศเกาหลี
  • P. m. transcaucasicus จำแนกโดย เซอร์ไก อเล็กซานโดรวิช บูทราลิน (Sergei Aleksandrovich Buturlin) ในปี ค.ศ. 1906 แพร่พันธุ์จากตอนใต้ของคอเคซัสไปทางตะวันออกถึงตอนเหนือของประเทศอิหร่าน มันมีสีทึมกว่าและสีออกเทากว่าชนิดย่อย P. m. montanus[6]
  • P. m. dilutus จำแนกโดย ชาร์ลีซ์ วอร์เวซ ริดมอน (Charles Wallace Richmond) ในปี ค.ศ. 1856 เป็นนกประจำถิ่นในทางตะวันออกเฉียงเหนือสุดของประเทศอิหร่าน, ภาคเหนือของประเทศปากีสถาน และบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย และยังพบว่ามีจำนวนมากขึ้นในตอนเหนือจากประเทศอุซเบกิสถานและประเทศทาจิกิสถานไปทางตะวันออกถึงประเทศจีน เมื่อเทียบกับชนิดย่อย P. m. montanus มันมีสีจืดกว่าและมีส่วนบนสีน้ำตาลทราย[6]
  • P. m. tibetanus เป็นชนิดย่อยที่มีขนาดใหญ่ที่สุด จำแนกโดย สจ๊วต บาเคอร์ (Stuart Baker) ในปี ค.ศ. 1925 พบในตอนเหนือของเทือกเขาหิมาลัย จากประเทศเนปาลไปทางตะวันออก ผ่านทิเบตถึงบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน มันคล้ายกับชนิดย่อย P. m. dilutus แต่มีสีเข้มกว่า[6]
  • P. m. saturatus จำแนกโดย ลีออนฮาร์ด เฮสซ์ สเทตเนเจอร์ (Leonhard Hess Stejneger) ในปี ค.ศ. 1885 แพร่พันธุ์ในเกาะซาฮาลิน, หมู่เกาะคูริล (Kuril Islands), ประเทศญี่ปุ่น, ไต้หวัน และประเทศเกาหลีใต้ มันมีสีน้ำตาลเข้มกว่าชนิดย่อย P. m. montanus และมีปากใหญ่กว่า[6]
  • P. m. malaccensis จำแนกโดย อัลฟงส์ ดูโบอิส (Alphonse Dubois) ในปี ค.ศ. 1885 พบจากทางตอนใต้ของเทือกเขาหิมาลัยไปทางตะวันออกถึงมณฑลไหหลำและประเทศอินโดนีเซีย มันมีสีเข้มคล้ายชนิดย่อย P. m. saturatus แต่มีขนาดเล็กกว่าและมีลายขีดหนามากกว่าบนส่วนบน[6]
  • P. m. hepaticus จำแนกโดย ซิดนีย์ ดิลลอน ริปพลีย์ (Sidney Dillon Ripley) ในปี ค.ศ. 1948 แพร่พันธุ์จากทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐอัสสัมถึงบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศพม่า มันคล้ายกับชนิดย่อย P. m. saturatus แต่มีสีออกแดงมากกว่าที่หัวและส่วนบน[6]

การกระจายพันธุ์และถิ่นอาศัย[แก้]

ช่วงการแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติของนกกระจอกบ้านประกอบด้วย ยุโรปและเอเชียใต้ประมาณเส้นรุ้ง 68 องศาเหนือเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเขตอากาศอบอุ่น (ทางเหนือหน้าร้อนมีอากาศหนาว อุณหภูมิเฉลี่ยเดือนกรกฎาคมต่ำกว่า 12°C) และผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลงไปถึงเกาะชวาและจังหวัดบาหลี ก่อนหน้านี้ยังมีการแพร่พันธุ์ในหมู่เกาะแฟโร, ประเทศมอลตา และเกาะโกโซ (Gozo) ด้วย[5][6] ในเอเชียใต้โดยมากมักจะพบในเขตอากาศอบอุ่น[20][21] นกชนิดนี้เป็นนกประจำถิ่น แต่ประชากรในตอนเหนือสุดของเขตการกระจายพันธุ์จะมีการอพยพลงใต้ในฤดูหนาว[22] รวมถึงกลุ่มประชากรขนาดเล็กที่จะย้ายถิ่นจากตอนใต้ของยุโรปไปยังตอนเหนือของแอฟริกาและตะวันออกกลาง[5] นอกจากนี้ ชนิดย่อย P. m. dilutus ที่พบทางตะวันออกของเขตการกระจายพันธุ์จะอพยพมาถึงชายฝั่งของประเทศปากีสถานในฤดูหนาว และนกชนิดย่อยนี้อีกนับพันจะอพยพผ่านไปภาคตะวันออกของประเทศจีนในฤดูใบไม้ร่วง[6]

นกกระจอกบ้านถูกนำไปนอกแหล่งการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติ แต่ไม่ได้กลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นของสถานที่นั้นเสมอไป อาจเป็นเพราะการแข่งขันกับนกกระจอกใหญ่ มันถูกนำเข้าไปและสามารถแพร่พันธุ์จนกลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นได้สำเร็จใน แคว้นปกครองตนเองซาร์ดิเนีย, ภาคตะวันออกของประเทศอินโดนีเซีย, ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศไมโครนีเซีย แต่เมื่อถูกนำเข้าไปในประเทศนิวซีแลนด์ และเบอร์มิวดานั้นกลับปักหลักตั้งถิ่นฐานไม่ได้ นอกจากนี้ เรือยังได้นำนกไปสร้างอาณานิคมที่เกาะบอร์เนียว นกกระจอกชนิดนี้เป็นนกพลัดหลงตามธรรมชาติในยิบรอลตาร์, ประเทศตูนิเซีย, ประเทศแอลจีเรีย, ประเทศอียิปต์, ประเทศอิสราเอล และดูไบ[6]

ในทวีปอเมริกาเหนือ ประชากรราว 15,000 ตัวได้ตั้งถิ่นฐานรอบเซนต์หลุยส์ และพื้นที่ใกล้เคียงอย่างบางส่วนของรัฐอิลลินอยส์และทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐไอโอวา[23] นกเหล่านี้สืบเชื้อสายมาจากนก 12 ตัวที่นำเข้ามาจากประเทศเยอรมนีและถูกปล่อยในปลายเดือนเมษายน ค.ศ. 1870 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการปรับปรุงนกพื้นเมืองในท้องถิ่นทวีปอเมริกาเหนือ ในพื้นที่การกระจายพันธุ์ที่จำกัดในอเมริกา นกกระจอกบ้านต้องแข่งขันกับนกกระจอกใหญ่ในเมือง และจะพบมากในสวนสาธารณะ ไร่นา และป่าละเมาะ[9][24] ชาวอเมริกามักเรียกนกชนิดนี้ว่า "นกกระจอกเยอรมัน" (German Sparrow) เพื่อให้ต่างจากนกพื้นเมืองอย่างนกกระจอกต้นไม้อเมริกา (American Tree Sparrow) และนกกระจอกบ้านอังกฤษ ("English" House Sparrow) ที่แพร่พันธุ์มากขึ้น[25]

รังนกใต้แผ่นกระเบื้องไม้ในเมือง ประเทศญี่ปุ่น

ในประเทศออสเตรเลีย พบนกกระจอกบ้านในเมลเบิร์น, เมืองในตอนกลางและตอนเหนือของรัฐวิกตอเรีย และตอนกลางบางส่วนในเขตริเวอริน่า (Riverina) บริเวณรัฐนิวเซาท์เวลส์ มันเป็นสัตว์ต้องห้ามในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ซึ่งบ่อยครั้งที่มันเดินมาถึงพร้อมเรือจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[26]

แม้จะมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Passer montanus แต่นกชนิดนี้กลับไม่ได้เป็นสปีชีส์ที่พบบนภูเขาเท่านั้น และพบที่ความสูงเพียง 700 เมตร (2,300 ฟุต) ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แม้ว่า มันจะแพร่พันธุ์ที่ความสูง 1,700 เมตร (5,600 ฟุต) ในตอนเหนือของเทือกเขาคอเคซัสและสูง 4,270 เมตร (14,000 ฟุต) ในประเทศเนปาล[5][6] ในยุโรป พบนกได้บ่อยครั้งบนชายฝั่งที่มีหน้าผา อาคารที่ว่างเปล่า ในพุ่มไม้ของไม้ตัดเรือนยอดที่ใกล้ทางน้ำที่ไหลช้าๆ หรือในพื้นที่เปิดในชนบทที่มีกลุ่มต้นไม้[5] นกกระจอกบ้านแสดงอย่างเด่นชัดว่าชอบทำรังใกล้พื้นที่ชุ่มน้ำ และหลีกเลี่ยงที่จะผสมพันธุ์วางไข่ในพื้นที่เกษตรกรรมแบบผสมที่มีการจัดการอย่างหนาแน่น[27]

เมื่อมีนกกระจอกบ้านและนกกระจอกใหญ่ในบริเวณเดียวกัน โดยทั่วไปแล้ว นกกระจอกใหญ่จะแพร่พันธุ์ในเขตเมือง ขณะที่นกกระจอกบ้านจะทำรังวางไข่ในเขตชนบท[6] ในสถานที่ที่มีต้นไม้น้อยอย่างประเทศมองโกเลีย นกทั้งสองชนิดอาจใช้ประโยชน์จากสิ่งก่อสร้างของมนุษย์เป็นสถานที่ทำรัง[28] นกกระจอกบ้านเป็นนกที่พบในเขตชนบทในทวีปยุโรป แต่เป็นนกในเขตเมืองในตะวันออกของทวีปเอเชีย ในเอเชียกลางและเอเชียใต้ นก Passer ทั้งสองชนิดอาจพบในเมืองและหมู่บ้าน[6] ในบางส่วนของดินแดนแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เช่น ประเทศอิตาลี ทั้งนกกระจอกบ้านและนกกระจอกอิตาลีหรือนกกระจอกสเปนอาจพบในชุมชน[29] ในประเทศออสเตรเลีย นกกระจอกบ้านเป็นนกส่วนใหญ่ในเมือง และมันเป็นนกกระจอกที่ใช้ประโยชน์จากถิ่นอาศัยทางธรรมชาติส่วนมาก[26]

ในประเทศไทย นกกระจอกบ้านเป็นนกประจำถิ่น พบทั่วประเทศ โดยเฉพาะตามบ้านคนหรือใกล้หมู่บ้าน[30]

พฤติกรรมและนิเวศวิทยา[แก้]

การสืบพันธุ์[แก้]

ไข่ของนกกระจอกบ้าน
ลูกนกที่เริ่มมีปีก

นกกระจอกบ้านจะสืบพันธุ์ได้หลังจากฟักออกจากไข่เป็นเวลาหนึ่งปี[31] โดยทั่วไปแล้ว มันจะสร้างรังในโพรงต้นไม้หรือโพรงหิน แต่บางรังจะไม่สร้างในโพรงเหล่านั้น นกจะสร้างในหมู่รากที่ยื่นยาวออกมาของต้นไม้จำพวกไม้หนามหรือพุ่มไม้อื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน[32] โพรงหลังคาในบ้านก็ถูกใช้เป็นสถานที่ทำรังเช่นกัน[32] ในเขตร้อน กะบังรอบของต้นปาล์มหรือเพดานของระเบียงบ้านก็สามารถถูกใช้เป็นสถานที่ทำรังได้[33] มีการพบนกกระจอกบ้านใช้รังรูปโดมร้างของนกสาลิกาปากดำ[32] หรือใช้รังกิ่งไม้ของนกขนาดใหญ่ เช่น นกกระสาขาว[34] นกอินทรีหางขาว, เหยี่ยวออสเปร, เหยี่ยวดำ หรือ นกกระสานวลเป็นที่วางไข่ บางครั้งมันก็เข้ายึดรังของนกที่ทำรังในโพรงหรือพื้นที่ปิดล้อมเพื่อวางไข่ เช่น นกนางแอ่นบ้าน นกนางแอ่นมาตินพันธุ์ไซบีเรีย นกนางแอ่นทรายสร้อยคอดำ หรือ นกจาบคายุโรป[35]

นกที่จับคู่ผสมพันธุ์วางไข่อาจอยู่แยกเดี่ยวหรืออยู่เป็นอาณานิคมแบบหลวมๆ [36] นกกระจอกบ้านสามารถใช้รังเทียมหรือบ้านนก (nest box) ได้จากการศึกษาในประเทศสเปน บ้านนกที่สร้างจากไม้และคอนกรีตมีอัตราเข้าใช้มากกว่าบ้านนกที่สร้างจากไม้เพียงอย่างเดียวถึง 76.5% ต่อ 33.5% ตามลำดับ นอกจากนี้ นกที่ทำรังในบริเวณบ้านนกที่ทำจากไม้และคอนกรีตมีการวางไข่ที่เร็วกว่า มีระยะเวลาการฟักที่สั้นกว่า และมีความพยายามจับคู่ผสมพันธุ์มากกว่าต่อหนึ่งฤดู จำนวนไข่และลักษณะของลูกอ่อนไม่มีความแตกต่างกันระหว่างบ้านนกทั้งสองชนิด แต่อัตรารอดสู่วัยเจริญพันธุ์ในบ้านนกที่ทำจากไม้และคอนกรีตมีอัตราสูงกว่า บางทีอาจเป็นเพราะบ้านสังเคราะห์อุ่นกว่าบ้านไม้ถึง 1.5 °C ที่สภาพแวดล้อมเดียวกัน[37]

นกตัวผู้จะส่งเสียงร้องจากใกล้ ๆ กับรังในฤดูใบไม้ผลิเพื่อประกาศความเป็นเจ้าของและดึงดูดคู่ครอง นกตัวผู้อาจนำวัสดุเข้าไปสร้างรังด้วย[6] รังนกกระจอกบ้านเก่ามักถูกใช้ซ้ำในฤดูใบไม้ร่วงโดยเฉพาะอย่างยิ่งรังที่ยังสมบูรณ์ แต่สำหรับกล่องรังที่ว่างเปล่า และรังนกกระจอกใหญ่หรือรังนกอื่น ๆ เช่น นกติต, นกจับแมลงยุโรป หรือ นกเขน มักไม่ค่อยถูกใช้สำหรับออกไข่เลี้ยงดูลูกอ่อนในฤดูใบไม้ร่วง[38]

บ้านนกที่ทำมาจากไม้

สถานะการอนุรักษ์[แก้]

ตอซังเป็นแหล่งอาหารในฤดูหนาว[39]

นกกระจอกบ้านมีการกระจายพันธุ์ที่กว้าง ประมาณ 98.3 ล้านตารางกิโลเมตร (38.0 ล้านตารางไมล์) และมีประชากรถึง 190–310  ล้านตัว แม้ว่าจะมีการลดลงของประชากรนก แต่นกชนิดนี้ยังไม่เข้าใกล้เกณฑ์การลดของประชากรของบัญชีแดงไอยูซีเอ็น (ลดลงมากกว่า 30% ในสิบปีหรือสามชั่วอายุ) ด้วยเหตุผลเหล่านี้ สถานะการอนุรักษ์ของนกกระจอกบ้านจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการสูญพันธุ์[1]

แม้ว่านกกระจอกบ้านจะขยายขอบเขตการกระจายพันธุ์ในเฟนโนสแกนเดีย (Fennoscandia) และยุโรปตะวันออก แต่ประชากรในยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่มีแนวโน้มลดลง[5][40] แนวโน้มนี้สะท้อนให้เห็นในนกพื้นที่เกษตรอื่น ๆ ด้วย เช่น นกสกายลาร์ค, นกจาบปีกอ่อนไร่ข้าวโพด (corn bunting) และ นกกระแตเหนือ (northern lapwing) จากปี ค.ศ. 1980 ถึงปี ค.ศ. 2003 จำนวนนกในพื้นที่เกษตรลดลง 28% [39] การล่มสลายของประชากรรุนแรงอย่างยิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเตนใหญ่ มีการลดลง 95% ระหว่างปี ค.ศ. 1970 และ ค.ศ. 1998[41] และไอร์แลนด์มีนกเพียง 1,000-1,500 คู่ในปลายปีคริสต์ทศวรรษที่ 1990[5][42] ในเกาะอังกฤษการลดลงดังกล่าวอาจเกิดจากความผันผวนตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่านกกระจอกบ้านมีความเสี่ยง[29] ประสิทธิภาพการขยายพันธุ์ของนกกระจอกบ้านจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อขนาดของประชากรลดลง ซึ่งบ่งชี้ว่าการลดลงของประชากรไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญของสาเหตุการลดลงและความอยู่รอดของประชากร[43] จำนวนนกกระจอกบ้านที่ลดลงอย่างมากอาจเป็นผลมาจากการเพิ่มความเข้มข้นและความเชี่ยวชาญทางการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สารกำจัดวัชพืชที่เพิ่มขึ้นและแนวโน้มการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ร่วง (การปลูกในฤดูใบไม้ผลิจะเกิดตอซังในฤดูหนาว) การเปลี่ยนจากการเพาะปลูกผสมผสานเป็นการทำฟาร์มแบบพิเศษเฉพาะและการใช้ยาฆ่าแมลงที่เพิ่มขึ้นทำให้ปริมาณแมลงซึ่งเป็นอาหารเลี้ยงลูกอ่อนลดลง[39]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 BirdLife International (2017). "Passer montanus". IUCN Red List of Threatened Species. 2017: e.T22718270A119216586. doi:10.2305/IUCN.UK.2017-3.RLTS.T22718270A119216586.en. สืบค้นเมื่อ 19 November 2021.
  2. จารุจินต์ นภีตะภัฎ และคณะ, คู่มือดูนก หมอบุญส่ง เลขะกุล นกเมืองไทย, ISBN 978-974-619-181-4
  3. 3.0 3.1 Mullarney et al. 1999, p. 342
  4. 4.0 4.1 "Tree Sparrow Passer montanus [Linnaeus, 1758]". Bird facts. British Trust for Ornithology. สืบค้นเมื่อ 30 January 2009.
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 5.6 5.7 5.8 Snow & Perrins 1998, pp. 1513–1515
  6. 6.00 6.01 6.02 6.03 6.04 6.05 6.06 6.07 6.08 6.09 6.10 6.11 6.12 6.13 6.14 Clement, Harris & Davis 1993, pp. 463–465
  7. Mullarney et al. 1999, p. 343
  8. Lind, Johan; Gustin, Marco; Sorace, Alberto (2004). "Compensatory bodily changes during moult in Tree Sparrows Passer montanus in Italy" (PDF). Ornis Fennica. 81: 1–9. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2015-11-07.
  9. 9.0 9.1 Lang, A. L.; Barlow, J. C. (1997). "Cultural evolution in the Eurasian Tree Sparrow: Divergence between introduced and ancestral populations" (PDF). The Condor. 99 (2): 413–423. doi:10.2307/1369948. JSTOR 1369948.
  10. Although Linnaeus gives the location as simply in Europa, the type specimen was from Bagnacavallo, Italy (Clancy, Philip Alexander (1948). "Remarks on Passer montanus (Linnaeus) in the Western Palaearctic Region with special reference to Passer catellatus Kleinschmidt, 1935: England". Bulletin of the British Ornithologists' Club. 68: 135.) Linnaeus's text for the tree sparrow translates "F[inch]. With dusky wings and tail, black and grey body paired white wing bars."
  11. Anderson 2006, p. 5
  12. Clement, Harris & Davis 1993, pp. 442–467
  13. Allende, Luis M.; Rubio, Isabel; Ruíz-del-Valle, Valentin; Guillén, Jesus; Martínez-Laso, Jorge; Lowy, Ernesto; Varela, Pilar; Zamora, Jorge; Arnaiz-Villena, Antonio (2001). "The Old World sparrows (genus Passer) phylogeography and their relative abundance of nuclear mtDNA pseudogenes" (PDF). Journal of Molecular Evolution. 53 (2): 144–154. Bibcode:2001JMolE..53..144A. CiteSeerX 10.1.1.520.4878. doi:10.1007/s002390010202. PMID 11479685. S2CID 21782750. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 21 July 2011.
  14. Arnaiz-Villena, A.; Gómez-Prieto, P.; Ruiz-de-Valle, V. (2009). "Phylogeography of finches and sparrows". Animal Genetics. Nova Science Publishers. ISBN 978-1-60741-844-3. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-09-02. สืบค้นเมื่อ 2014-12-08.
  15. Byers, Curson & Olsson 1995, pp. 267–268
  16. Linnaeus 1758, p. 183 F. remigibus rectricibusque fuscis, corpore griseo nigroque, alarum fascia alba gemina
  17. Brisson 1760, p. 36
  18. Summers-Smith 1988, p. 217
  19. Vaurie, Charles; Koelz, W. (1949). "Notes on some Ploceidae from western Asia". American Museum Novitates. 1406: 22–26. hdl:2246/2345.
  20. Raju, K.; Krishna, S. R.; Price, Trevor D. (1973). "Tree Sparrow Passer montanus (L.) in the Eastern Ghats". Journal of the Bombay Natural History Society. 70 (3): 557–558.
  21. Rasmussen & Anderton 2005
  22. Arlott 2007, p. 222
  23. Cocker & Mabey 2005, pp. 442–443
  24. Barlow, Jon C.; Leckie, Sheridan N. Pool, A. (บ.ก.). "Eurasian Tree Sparrow (Passer montanus)". The Birds of North America Online. Ithaca: Cornell Laboratory of Ornithology. สืบค้นเมื่อ 30 January 2009.{{cite web}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  25. Forbush 1907, p. 306
  26. 26.0 26.1 Massam, Marion. "Sparrows" (PDF). Farmnote No. 117/99. Agriculture Western Australia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2008-08-12. สืบค้นเมื่อ 1 February 2009.
  27. Field, Rob H.; Anderson, Guy (2004). "Habitat use by breeding Tree Sparrows Passer montanus". Ibis. 146 (2): 60–68. doi:10.1111/j.1474-919X.2004.00356.x.
  28. Melville, David S.; Carey, Geoff J. (1998). "Syntopy of Eurasian Tree Sparrow Passer montanus and House Sparrow P. domesticus in Inner Mongolia, China" (PDF). Forktail. 13: 125. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-06-10.
  29. 29.0 29.1 Summers-Smith 1988, p. 220
  30. Eurasian Tree-sparrow[ลิงก์เสีย] ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) สืบค้นวันที่ 21 มิถุนายน 2555
  31. "An Age entry for Passer montanus". AnAge, the animal ageing and longevity database. สืบค้นเมื่อ 30 January 2009.
  32. 32.0 32.1 32.2 Coward 1930, pp. 56–58
  33. Robinson & Chasen 1927–1939, Chapter 55 (PDF) 284–285
  34. Bochenski, Marcin (2005). Pinowski, Jan (บ.ก.). "Nesting of the sparrows Passer spp. in the White Stork Ciconia ciconia nests in a stork colony in Klopot (W Poland)" (PDF). International Studies on Sparrows. 30: 39–41. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-09-23. สืบค้นเมื่อ 2011-11-29.
  35. Czechowski, Pawel (2007). Pinowski, Jan (บ.ก.). "Nesting of Tree Sparrow Passer montanus in the nest of Barn Swallow Hirundo rustica" (PDF). International Studies on Sparrows. 32: 35–37. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-09-23. สืบค้นเมื่อ 2011-11-29.
  36. Hegyi, Z.; Sasvári, L. (1994). "Alternative reproductive tactics as viable strategies in the Tree Sparrow (Passer montanus)" (PDF). Ornis Hungaria. 4: 9–18. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-07-21. สืบค้นเมื่อ 2011-11-29.
  37. García-Navas, Vicente; Arroyo, Luis; Sanz, Juan José; Díaz, Mario (2008). "Effect of nestbox type on occupancy and breeding biology of tree sparrows Passer montanus in central Spain". Ibis. 150 (2): 356–364. doi:10.1111/j.1474-919X.2008.00799.x. hdl:10261/110551. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 30 September 2010.
  38. Pinowski, Jan; Pinowska, Barbara; Barkowska, Miloslawa; Jerzak, Leszek; Zduniak, Piotr; Tryjanowski, Piotr (June 2006). "Significance of the breeding season for autumnal nest-site selection by Tree Sparrows Passer montanus". Acta Ornithologica. 41 (1): 83–87. doi:10.3161/068.041.0103.
  39. 39.0 39.1 39.2 "Research highlights decline of farm and forest birds". BirdLife International. 8 June 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 June 2007. สืบค้นเมื่อ 3 February 2009.
  40. BirdLife International (2004). "Passer montanus, Eurasian Tree Sparrow". Birds in Europe: population estimates, trends and conservation status. Conservation Series No. 12. Cambridge, England: BirdLife International. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2013-01-16. สืบค้นเมื่อ 2011-10-28.
  41. "Tree sparrow". Conservation case studies. Royal Society for the Protection of Birds. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 January 2010. สืบค้นเมื่อ 3 February 2009.
  42. "Tree sparrow on the increase on east coast". RTÉ News. 23 January 2012.
  43. "Tree Sparrow Passer montanus". Breeding Birds in the Wider Countryside. British Trust for Ornithology. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 February 2008. สืบค้นเมื่อ 3 February 2009.

บรรณานุกรม[แก้]

อ่านเพิ่มเติม[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]