ธีบส์ (กรีซ)
ธีบส์ Θήβα | |
---|---|
พิกัด: 38°19′N 23°19′E / 38.317°N 23.317°E | |
ประเทศ | กรีซ |
แคว้น | ตอนกลางประเทศกรีซ |
หน่วยภูมิภาค | บีโอเชีย |
พื้นที่ | |
• เทศบาล | 830.112 ตร.กม. (320.508 ตร.ไมล์) |
• หน่วยเทศบาล | 321.015 ตร.กม. (123.945 ตร.ไมล์) |
ความสูง | 215 เมตร (705 ฟุต) |
ประชากร (2011)[1] | |
• Municipality | 36,477 |
• ความหนาแน่นMunicipality | 44 คน/ตร.กม. (110 คน/ตร.ไมล์) |
• Municipal unit | 25,845 |
• ความหนาแน่นMunicipal unit | 81 คน/ตร.กม. (210 คน/ตร.ไมล์) |
เดมะนิม | Theban |
ชุมชุน[1] | |
• ประชากร | 22,883 (2011) |
• พื้นที่ (ตร.กม.) | 143.889 |
เขตเวลา | UTC+2 (EET) |
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง) | UTC+3 (EEST) |
รหัสไปรษณีย์ | 32200 |
รหัสพื้นที่ | 22620 |
เว็บไซต์ | www |
ธีบส์ (อังกฤษ: Thebes; กรีกโบราณ: Θῆβαι,Thēbai, เสียงอ่านภาษากรีก: [tʰɛ̂ːbai̯]: (แธไบ)) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใน บีโอเชีย (Boeotia) ตอนกลางของกรีซ ธีบส์เป็นเมืองที่มีบทบาทสำคัญในเทพปกรณัมกรีก โดยเป็นสถานที่ของตำนานเกี่ยวกับวีรบุรุษและเทพเจ้าสำคัญ ๆ ของกรีซ เช่น แคดมอส อีดิปัส ไดโอไนซัส ฯลฯ การขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่รอบ ๆ ธีบส์ เผยให้เห็นการตั้งรกรากของอารยธรรมไมซีนี และการขุดค้นยังพบอาวุธ ศิลปะงาช้าง รวมทั้งแผ่นจารึกดินเหนียวไลเนียร์บี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพื้นที่นี้ในยุคสำริด
ธีบส์เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในท้องที่บีโอเชียสมัยโบราณ และเป็นผู้นำของสหพันธรัฐบีโอเชีย (Boeotian confederacy) ในสมัยอาร์เคอิก และสมัยคลาสสิคของกรีซ ธีบส์เคยเป็นเมืองคู่แข่งที่สำคัญของเอเธนส์โบราณ และเคยเข้าเป็นพันธมิตรกับเปอร์เซีย ในตอนที่เปอร์เซียภายใต้กษัตริย์เซิร์กซีสยกทัพเข้ารุกรานกรีซ ช่วงปีที่ 480 ก่อนค.ศ. กองกำลังของธีบส์ภายใต้บัญชาการของอีพามินอนดัส (กรีกโบราณ: Ἐπαμεινώνδας) นำจุดจบมาสู่อำนาจทางทหารของสปาร์ตา ณ ยุทธการลิวค์ตรา ในปีที่ 371 ก่อน ค.ศ. ต่อมาในปีที่ 338 ก่อนค.ศ. กองพันศักดิ์สิทธิ์แห่งธีบส์ - หน่วยรบหัวกระเด็น (elite) ของธีบส์ที่เคยเป็นที่หวาดกลัวไปทั่วกรีซ - ได้ล้มลงในสมรภูมิที่ไคเรอนีอา (Battle of Chaeronea) อย่างอาจหาญต่อพระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งมาเกโดเนียฯ ต่อมาอเล็กซานเดอร์เผาทำลายเมืองธีบส์ลงอย่างราบคาบ เพราเห็นว่าไม่ยอมศิโรราบแก่พระองค์ จึงเผาเมืองเสียให้เป็นเยี่ยงอย่างในปีที่ 335 ก่อน ค.ศ. แล้วขายชาวเมืองที่รอดชีวิตไปเป็นทาส ปิดฉากความเป็นนครรัฐที่มีอำนาจโดดเด่นในกรีซของธีบส์ลง
เมืองธีบส์ในปัจจุบันมีพิพิธภัณฑ์ทางโบราณคดี ซากหลงเหลือของป้อมยุคสำริด แคดเมีย และซากปรักหักพังโบราณยังปรากฎให้เป็นอยู่ทั่วไป เมืองธีบส์สมัยใหม่ยังคงเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตปกครองบีโอเชีย
ประวัติศาสตร์
[แก้]ยุคอาร์เคอิก และยุคคลาสสิค
[แก้]ธีบส์ มีฉายาเรียกขานมาแต่โบราณว่า "เมืองที่มีเจ็ดประตู" (กรีกโบราณ: Θῆβαι ἑπτάπυλοι, Thebai heptapyloi; "seven-gated Thebes") ซึ่งปรากฎในมหากาพย์อีเลียดของโฮเมอร์ เพื่อไม่ให้สับสนกับเมืองธีบส์ของอียิปต์
ธีบส์เริ่มมีความขัดแย้งกับเอเธนส์ เป็นครั้งแรกราวปลายศตวรรษที่ 6 ก่อนค.ศ. เนื่องจากเอเธนส์ช่วยให้พลาทีอา (Plataea) ซึ่งตอนนั้นเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ให้สามารถคงความเป็นอิสระของตนจากธีบส์ไว้ได้ และเอเธนส์ยังขับทัพของธีบส์ไม่ให้รุกเข้ามาในแอตติกาได้ ความขัดแย้งกับเอเธนส์ทำให้ธีบส์ตัดสินใจไปเข้ากับฝ่ายเปอร์เชีย ซึ่งยกทัพมารุกรานกรีซในปีที่ 480-479 ก่อน ค.ศ. โดยแม้ตอนแรกธีบส์จะส่งกำลังหนุนจำนวน 400 นาย ไปร่วมรบกับทัพของสปาร์ตาที่เทอร์มอพิลี แต่หลังจากนั้นชนชั้นปกครองของธีบส์ก็หันมาเป็นพันธมิตรกับพระเจ้าเซิร์กซีสอย่างขมีขมัน และร่วมกับทัพเปอร์เซียต่อสู้กับฝ่ายกรีกอย่างดุเดือดในยุทธการที่พลาตีอา ครั้นเมื่อฝ่ายกรีกได้ชัยต่อเปอร์เซีย ธีบส์ก็ถูกลงโทษโดยถูกปลดจากตำแหน่งประธานของสันนิบาตบีโอเชีย (Boeotian) และยังเกือบถูกขับออกจากสันนิบาตแอมฟิกทีโอนี แห่งเดลฟี (Delphic Amphictyonic) อันเป็นสมาชิกภาพที่สำคัญของศาสนากรีกโบราณ
ตำนานก่อตั้งในเทพปกรณัม
[แก้]ตามตำนานกรีก มหาเทพซุสไดตกหลุมรักนางยูโรปา บุตรีของกษัตริย์ฟีนิเชียน อะเกนอร์ (Agenor) กับราชินีเทเลแฟซซา (Telephassa) เพื่อหนีความริษยาของเฮรามเหสีของพระองค์ ซุสจึงแปลงกลายเป็นโคตัวผู้มีสีขาวตลอดทั้งกาย แล้วก็ลักพานางยูโรปาไปจนถึงเกาะครีต อเกนอร์สั่งให้เหล่าบุตรชายของตนออกตามหายูโรปา โดยมีเทเลแฟซซาผู้เป็นแม่ติดตามไปด้วย คณะติดตามเดินทางผ่านทั้งโรดส์ และเทรเซีย (Thrace) แต่ก็ยังไม่ได้อะไร แคดมอสหนึ่งในกลุ่มพี่น้องก็เดินทางมาถึงเมืองโฟซิส (Phocis) แล้วขึ้นไปยังเดลฟีเพื่อขอคำแนะนำจากพิเธีย (Pythia) ผู้นำนักบวชหญิงแห่งวิหารอะพอลโล พิเธียบอกให้แคดมอสเลิกค้นหา แล้วให้ตามวัวตัวแรกที่ตนพบไปเรื่อย ๆจนกระทั่งมันหยุด แล้วให้ตั้งเมืองขึ้น ณ ที่นั้น แคดมอสปฏิบัติตามคำแนะนำ แล้วติดตามวัวตัวหนึ่งไปจนถึงบีโอเชีย จากนั้นก็ตั้งใจจะสังเวยวัวให้เป็นของขวัญแด่อะธีน่า แต่ไม่อาจหาน้ำมาทำการหลั่งทักษิโณทกได้ เพราะมีมังกรตัวหนึ่งขวางทางไปเอาน้ำไว้ แคดมอสจึงสู้กับมังกรนั้นอย่างดุเดือดแล้วฆ่ามังกรเสีย ทันใดนั้นอะธีนาก็ปรากฎตัวขึ้นและแนะนำเอาเขี้ยวมังกรไปฝังดินไว้ เมื่อแคดมอสปฏิบัติตามก็ปรากฎมีมนุษย์ที่ติดอาวุธผุดขึ้นมากลุ่มหนึ่ง แคดมอสจึงเรียกคนพวกนั้นว่า "สปาร์ตอย" (กรีกโบราณ: Σπαρτοί,; ละติน: Spartes) เพราะความที่เป็น "คนที่หว่านเพาะลง( ในดิน)" จากนั้นคนกลุ่มนั้นก็เริ่มฆ่าฟันกันเองจนเหลื่อ ๕ คน คือ Echion, Udeos, Chthonios, Hyperenor, และ Peloros แคดมอสจึงร่วมกับพวกนี้ตั้งเมืองขึ้น ชื่ว่า แคดเมีย (Cadmea)[2]
แอมฟิออนตั้งเมืองธีบส์
[แก้]หลายปีผ่านไปแอมฟิออน (Amphion) และซีธัส (Zethus) บุตรของซุสกับนางมนุษย์ชื่อแอนไทโอปี (Antiope) เติบโตขึ้น โดยแอมฟิออนกลายเป็นนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ เพราะได้วิชาดนตรีที่เทพเฮอร์มีสสอนให้ และสามารถเคลื่อนก้อนหินหรือของหนัก ๆ ได้ด้วยเสียงดนตรี ในขณะที่ซีธัสกลายเป็นพรานล่าสัตว์ ทั้งสองสร้างกำแพงหินรอบเมืองแคดเมีย แล้วตั้งชื่อเมืองนั้นว่า ธีบส์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ ธีบ (Thebe) ภรรยาของซีธัส ผู้เป็นอัปสรนิมฟ์ลูกสาวของแม่น้ำอะโซปัส (Asopus) แม่น้ำสายหนึ่งในบีโอเชีย
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 "Απογραφή Πληθυσμού - Κατοικιών 2011. ΜΟΝΙΜΟΣ Πληθυσμός" (ภาษากรีก). Hellenic Statistical Authority.
- ↑ "Mythologie grecque : Cadmos". mythologica.fr. สืบค้นเมื่อ October 9, 2016.