ข้ามไปเนื้อหา

ทามาริสก์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Tamarix
Tamarix aphylla ซึ่งพบในธรรมชาติ แถบประเทศอิสราเอล
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Plantae
หมวด: Magnoliophyta
ชั้น: Magnoliopsida
อันดับ: Caryophyllales
วงศ์: Tamaricaceae
สกุล: Tamarix
L.
สปีชีส์

ดูในบทความ

ทามาริสก์ (อังกฤษ: Tamarix ,tamarisk, salt cedar; อาหรับ: الأثل อ่านว่า อัลอัซล์) มี 50- 60 สายพันธุ์เป็นพืชในตระกูล Tamaricaceae เป็นพืชท้องถิ่นในเขตแห้งแล้งของทวีปยุโรป และแอฟริกา ทามาริสก์จะเขียวชอุ่มตลอดปี เป็นพืชผลัดใบและเป็นไม้พุ่ม มีความสูงตั้งแต่ 1-18 เมตร Tamarix aphylla จะเขียวชอุ่มอยู่เสมอและอาจสูงถึง 8 เมตร โดยปกติจะเจริญเติบโตในดินเค็ม มีความอดทนต่อภาวะเป็นพิษของความเค็มถึง 15000 ppm และยังอดทนต่อความเป็นด่าง มีลักษณะแผ่กิ่งก้านเรียวยาว มีใบเขียวอมเทา เปลือกของกิ่งในขณะเป็นต้นอ่อนมีลักษณะเกลี้ยงเรียบ สีน้ำตาลแดง เมื่อตอนมีอายุช่วงสุดท้าย เปลือกไม้จะเป็นร่องมีรอยย่น และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลม่วง มีใบขนาดเท่า ๆ กัน ยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร และใบจะทับซ้อนกันตามความยาวของก้าน มักจะมีน้ำเกลือไหลออกมาห่อหุ้มลำต้นอยู่เสมอ จะออกดอกอย่างหนาแน่นตรงปลายรวงของกิ่งยาว 5-10 เซนติเมตร ซึ่งจะออกดอกในเดือนมีนาคม ถึง กันยายน แต่บางสายพันธุ์มีแนวโน้มจะออกดอกในช่วงฤดูหนาว

การใช้ประโยชน์

[แก้]

ทามาริสก์ใช้เป็นพุ่มไม้ประดับ เป็นสิ่งป้องกันลม และใช้เป็นร่มเงาบังแดด ในประเทศจีน มีโครงการปลูกทามาริสก์ เพื่อทำให้พื้นที่เขตทะเลทรายเขียวชอุ่ม ใช้ในการทำปุ๋ยหมัก

ประวัติศาสตร์ความเชื่อ

[แก้]

กุรอาน 34;16 ระบุว่า "แต่พวกเขาผินหลังให้ (ไม่ยอมรับศรัทธา) เราจึงส่งอุทกภัยทำลายล้างพวกเขา แล้วเราได้เปลี่ยนสวนทั้งสองของพวกเขาให้เป็นสองสวนที่มีสิ่งบริโภคอันขมขื่นและมีต้นทามาริสก์ (ต้นอะซัล) รวมทั้งมีผลพุทราเพียงเล็กน้อย"

ปฐมกาล 21;33 "อับราฮัมปลูกต้นทามาริสก์ไว้ที่เบเออร์เชบา (Beer-sheba) และนมัสการออกพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้านิรันดร์ที่นั่น"

ในสารานุกรมเทพนิยายของ ละรูส (Larousse) ทามาริสก์เป็นพืชที่เทพเจ้าอพอลโล ทรงชื่นชอบ

Tamarix in Ateybeh Village ,Boushehr ,Iran

สปีชีส์

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  • veritt, B. L. (1980), "Ecology of Saltcedar - A plea for research.", Environmental Geology 3 (3): 77–84, doi:10.1007/BF02473474.
  • Everitt, B. L. (1998), "Chronology of the spread of Tamarisk in the central Rio Grande.", Wetlands (18): 658–668.