ข้ามไปเนื้อหา

ทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เติ้ง เสี่ยวผิง

ทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง (จีน: 邓小平理论; พินอิน: Dèng Xiǎopíng Lǐlùn) หรือที่เรียกว่า ลัทธิเติ้ง (Dengism)[1][2] เป็นชุดอุดมการณ์การเมืองและเศรษฐกิจที่พัฒนาขึ้นครั้งแรกโดยผู้นำจีน เติ้ง เสี่ยวผิง[3]:1500 ทฤษฎีนี้ไม่ได้ปฏิเสธลัทธิมากซ์–เลนินหรือลัทธิเหมา แต่กลับอ้างว่าเป็นการปรับประยุกต์ใช้แนวคิดเหล่านั้นให้เข้ากับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่มีอยู่ของประเทศจีน[4][5]

ทฤษฎีนี้ยังมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจสมัยใหม่ของจีน เนื่องจากเติ้งให้ความสำคัญกับการเปิดประเทศจีนสู่โลกภายนอก[6] การนำหลักการหนึ่งประเทศ สองระบบ" มาใช้ และการใช้วลี "แสวงหาความจริงจากข้อเท็จจริง"[3]:1500 เป็นการส่งเสริมแนวคิดปฏิบัตินิยมทางการเมืองและเศรษฐกิจ[7][8]

สาระสำคัญ

[แก้]

ด้วยแรงบันดาลใจจากนโยบายเศรษฐกิจใหม่ของเลนิน[9] ทฤษฎีของเติ้งส่งเสริมการสร้างสังคมนิยมภายในประเทศจีนโดยให้มีการพัฒนา "อัตลักษณ์จีน"[10] ซึ่งได้รับคำแนะนำจากนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของจีนโดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาตนเองและพัฒนาระบบสังคมนิยม ทฤษฎีของเขาไม่ได้เสนอการปรับปรุงหรือพัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบปิดของจีน แต่กลับเสนอให้ล้มล้างระบบเศรษฐกิจที่มีอยู่เพื่อนำไปสู่ระบบที่เปิดกว้างมากขึ้น[11]

เติ้งมองว่าเสถียรภาพภายในประเทศเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ - "ในประเทศจีน สิ่งจำเป็นที่สุดคือเสถียรภาพ หากไร้ซึ่งสภาพแวดล้อมที่มั่นคง เราจะไม่สามารถทำอะไรให้สำเร็จได้เลย และอาจเสียสิ่งที่เราเคยได้รับมาแล้วด้วยซ้ำ" เขายังเสริมอีกว่า "เสถียรภาพคือหลักการพื้นฐานสำหรับการปฏิรูปและการพัฒนา หากไม่มีเสถียรภาพก็จะไม่มีอะไรที่สำเร็จได้"[12] ในช่วงการปฏิรูปและเปิดประเทศ เติ้งวิพากษ์วิจารณ์ผู้ที่เขาเห็นว่าเป็นนักอุดมการณ์ในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรมว่ากำลังแสวงหา "สังคมนิยมแบบยากจน" และ "คอมมิวนิสต์แบบยากจน" และเชื่อว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เป็น "เรื่องทางจิตวิญญาณ"[13] ใน ค.ศ. 1979 เติ้งกล่าวว่า "สังคมนิยมจะดำรงอยู่ไม่ได้หากยังคงยากจน ถ้าเราต้องการยืนหยัดในลัทธิมากซ์และสังคมนิยมในการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างประเทศ เราต้องแสดงให้เห็นว่าระบบความคิดของลัทธิมากซ์นั้นเหนือกว่าระบบอื่นทั้งหมด และระบบสังคมนิยมก็เหนือกว่าทุนนิยม"[14]

จีนส่วนใหญ่มีหนี้บุญคุณต่อเติ้ง เสี่ยวผิงในเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เขาให้ความสำคัญกับการผลิตทางเศรษฐกิจ ภายใต้ทฤษฎีของพลังการผลิต – เป็นทฤษฎีย่อยของลัทธิมากซ์ในศตวรรษที่ 20 ในมุมมองของเติ้ง ภารกิจที่ผู้นำของจีนต้องเผชิญมีสองประการคือ (1) ส่งเสริมความทันสมัยของเศรษฐกิจจีน และ (2) รักษาความเป็นเอกภาพทางอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) และการควบคุมการปฏิรูปที่ยากลำบากซึ่งจำเป็นต่อความทันสมัย[15] เติ้งเชื่อว่า "การพัฒนาพลังการผลิตอย่างต่อเนื่องเท่านั้นที่จะทำให้ประเทศค่อย ๆ แข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรือง พร้อมกับยกระดับมาตรฐานการครองชีพให้สูงขึ้นได้"[16]

เติ้งโต้แย้งว่าเนื่องจากจีนถูกโดดเดี่ยวจากระเบียบระหว่างประเทศในขณะนั้นและมีเศรษฐกิจที่ด้อยพัฒนาอย่างมาก เพื่อที่จีนจะบรรลุความเป็นสังคมนิยมและลดช่องว่างระหว่างจีนกับทุนนิยมตะวันตก จีนจะต้องนำองค์ประกอบบางอย่างของตลาดและแง่มุมของทุนนิยมมาใช้ในเศรษฐกิจของตน[17] อย่างไรก็ตาม เขายังเสนอว่าการนำสิ่งเหล่านี้มาใช้จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ หลักการที่ยืมมาเหล่านี้ ในความคิดของเติ้ง ทำให้การตีความการพัฒนาจีนให้ทันสมัยไปสู่รัฐสังคมนิยมมีความยืดหยุ่นมากขึ้น นี่รวมถึงลักษณะทางการตลาด เช่น การวางแผน การผลิต และการจัดจำหน่ายที่สามารถตีความได้ว่าเป็นสังคมนิยม[18] ความพยายามในการพัฒนาให้ทันสมัยนั้นสรุปได้ด้วยแนวคิดเรื่องสี่ทันสมัย ซึ่งโจว เอินไหลเสนอไว้ใน ค.ศ. 1963 และฮฺว่า กั๋วเฟิงสานต่อหลัง ค.ศ. 1976 เพื่อพัฒนาเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การป้องกันประเทศ และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในจีน[19] ผู้สนับสนุนเติ้งยังคงเชื่อว่าการเป็นเจ้าของที่ดิน ธนาคาร วัตถุดิบ และอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์สำคัญโดยรัฐนั้นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยสามารถจัดสรรสิ่งเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของประเทศโดยรวมได้ แต่ในขณะเดียวกันก็อนุญาตและส่งเสริมการเป็นเจ้าของโดยเอกชนในอุตสาหกรรมสินค้าสำเร็จรูปและบริการ[20][21][22] ตามทฤษฎีของเติ้ง เจ้าของเอกชนในอุตสาหกรรมเหล่านั้นไม่ใช่กระฎุมพี เพราะตามทฤษฎีมาร์กซิสต์แล้ว กระฎุมพีเป็นผู้ที่ครอบครองที่ดินและวัตถุดิบ ในทฤษฎีของเติ้ง เจ้าของบริษัทเอกชนถูกเรียกว่าวิสาหกิจที่บริหารโดยพลเรือน[23]

เพื่อรักษาความเป็นเอกภาพทางอุดมการณ์ ทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิงได้กำหนด "สี่หลักการสำคัญ"[24] ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะต้องยึดถือ ได้แก่:[25]

ใน ค.ศ. 1992 สิบสี่ปีหลังที่เติ้งขึ้นเป็นผู้นำของจีน เขาได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมที่ทางตอนใต้ของจีน (南巡)[26] ในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เขากล่าววลีที่โด่งดังของเขาว่า: "เปิดออก" (开放) คำว่า "เปิดออก" กลายเป็นรากฐานสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนมาจนถึงทุกวันนี้

กลุ่มผู้สนับสนุนเติ้งมีจุดยืนแข็งกร้าวในการต่อต้านลัทธิบูชาบุคคลทุกรูปแบบซึ่งเคยเกิดขึ้นในสหภาพโซเวียตสมัยสตาลิน ในคิวบาและในเกาหลีเหนือปัจจุบัน[27][28]

ความสัมพันธ์กับลัทธิเหมา

[แก้]

ทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิงลดทอนความสำคัญของการต่อสู้ทางชนชั้นตามแนวทางของลัทธิเหมาโดยให้เหตุผลว่าการต่อสู้ดังกล่าวจะกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน[29] ทฤษฎีนี้ยังคงยืนยันว่าจะรักษาลัทธิคอมมิวนิสต์ เผด็จการโดยชนกรรมาชีพ การนำโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ลัทธิมากซ์–เลนิน และความคิดของเหมา เจ๋อตง[29] ภายใต้มุมมองนี้ การยึดถือความคิดของเหมา เจ๋อตงไม่ได้หมายถึงการเลียนแบบการกระทำของเหมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักอย่างที่เห็นในรัฐบาลของฮฺว่า กั๋วเฟิง และการทำเช่นนั้นจะ "ขัดต่อความคิดของเหมา เจ๋อตง"[30] ตามที่นักวิชาการ ริชาร์ด บอม กล่าวไว้ มีหลักฐานเพียงเล็กน้อยที่แสดงว่าแนวทางของเหมายังคงหลงเหลืออยู่ในสมัยเติ้ง[31][ต้องการเลขหน้า]

มรดก

[แก้]

ทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิงมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนจีนจากเศรษฐกิจแบบสั่งการที่รัฐเป็นเจ้าของแต่เดิมไปสู่เศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยม ซึ่งส่งผลให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วภายในประเทศ หรือที่รู้จักในชื่อ "ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของจีน"[32]

สิ่งนี้ได้เพิ่มอัตราการเติบโตของ GDP ของจีนให้สูงกว่า 8% ต่อปีเป็นเวลาสามสิบปีและปัจจุบันจีนมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกเมื่อพิจารณาจาก GDP ตามราคาตลาด ด้วยอิทธิพลของลัทธิเติ้ง เวียดนามและลาวก็ยังรับเอาความเชื่อและนโยบายที่คล้ายกันไปใช้ ทำให้ลาวสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของ GDP ที่แท้จริงได้ถึง 8.3%[33] ขณะที่คิวบาก็กำลังเริ่มยอมรับแนวคิดดังกล่าวเช่นกัน[ต้องการอ้างอิง]

ทฤษฎีของเติ้งจะได้รับการสืบทอดโดยเจียง เจ๋อหมิน พร้อมกับแง่มุมต่าง ๆ ของความคิดของเหมา เจ๋อตง และลัทธิมากซ์–เลนิน กลายเป็นทฤษฎีสังคม-การเมืองที่รู้จักในชื่อ "สามตัวแทน"[34] ทฤษฎีนี้ได้ถูกเพิ่มลงในธรรมนูญพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 2002[35]

ทฤษฎีนี้ทำหน้าที่เป็นแนวทางนโยบายที่สำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาตั้งแต่การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 11 ใน ค.ศ. 1978 และได้รับการบรรจุเป็นอุดมการณ์ชี้นำในธรรมนูญพรรคคอมมิวนิสต์ใน ค.ศ. 1997 รวมถึงได้รับการเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในเวลาต่อมาด้วย:

นับตั้งแต่การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 11 เป็นต้นมา คอมมิวนิสต์จีน ซึ่งมีสหายเติ้ง เสี่ยวผิงเป็นตัวแทนหลัก ได้สรุปบทเรียนทั้งในแง่บวกและแง่ลบที่ได้รับมานับตั้งแต่การก่อตั้งจีนใหม่ ได้นำหลักการปลดปล่อยความคิดและแสวงหาความจริงจากข้อเท็จจริงมาใช้ ได้เปลี่ยนจุดเน้นการทำงานของพรรคไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ ได้นำการปฏิรูปและการเปิดประเทศมาใช้ ได้นำเข้าสู่ยุคใหม่แห่งการพัฒนาอุดมการณ์สังคมนิยม ได้ค่อย ๆ ก่อร่างแนวทาง หลักการ และนโยบายในการสร้างสังคมนิยมอัตลักษณ์จีน ได้อธิบายประเด็นพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง การรวมเข้าด้วยกัน และการพัฒนาสังคมนิยมในจีน และได้สร้างทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิงขึ้น ทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิงเป็นผลผลิตจากการบูรณาการทฤษฎีพื้นฐานของลัทธิมากซ์–เลนินเข้ากับการปฏิบัติของจีนสมัยใหม่และลักษณะเฉพาะของสมัยปัจจุบัน เป็นการสืบทอดและพัฒนาความคิดของเหมา เจ๋อตงภายใต้เงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ใหม่ เป็นระยะใหม่ของการพัฒนาลัทธิมากซ์ในจีน เป็นลัทธิมากซ์ของจีนสมัยใหม่ และเป็นผลึกแห่งปัญญาร่วมกันของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งชี้นำภารกิจการสร้างความทันสมัยแบบสังคมนิยมของจีนให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง[36]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Nathan, Andrew J. (1999). Dilemmas of Reform in Jiang Zemin's China (ภาษาอังกฤษ). Lynne Rienner Publishers. pp. 34–36, 39, 46. ISBN 978-1-55587-851-1 โดยทาง Google Books.
  2. Tang, Wenfang (2005). Public Opinion and Political Change in China (ภาษาอังกฤษ). Stanford University Press. pp. 73, 75, 213. ISBN 978-0-8047-5220-6 โดยทาง Google Books.
  3. 1 2 Guo, Dingping (2011). "Marxism". ใน Badie, Bertrand; Berg-Schlosser, Dirk; Morlino, Leonardo (บ.ก.). International Encyclopedia of Political Science. Vol. 5. SAGE Publications. pp. 1495–1501. doi:10.4135/9781412994163. ISBN 9781412959636.
  4. "The Years of Hardship and Danger". Peoples Daily China. 14 กันยายน 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 ตุลาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 24 ตุลาคม 2017.
  5. Zhang, Wei-Wei (2020) [1996]. Ideology and Economic Reform under Deng Xiaoping, 1978–1993. Abingdon, Oxon: Routledge. ISBN 978-0-7103-0526-8.
  6. Deng, Xiaoping (10 ตุลาคม 1978). "Carry out the policy of opening to the outside world and learn advanced science and technology from other countries". China Daily. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 พฤศจิกายน 2024. สืบค้นเมื่อ 4 มกราคม 2009.
  7. "Ideological Foundation". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 มกราคม 2009. สืบค้นเมื่อ 4 มกราคม 2009.
  8. Bader, Jeffrey A. (กุมภาพันธ์ 2016). "How Xi Jinping Sees the World… and Why" (PDF). Order from Chaos: Foreign Policy in a Troubled World. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 21 มิถุนายน 2021.
  9. Changqiu, Zeng (2005). "Lièníng de xīn jīngjì zhèngcè yǔ dèngxiǎopíng de gǎigé kāifàng zhī bǐjiào" 列宁的新经济政策与邓小平的改革开放之比较 [Comparison of Lenin's New Economic Policy and Deng Xiaoping's Reform and Opening]. Qinghai Social Sciences (ภาษาจีน) (2): 9–13. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 ธันวาคม 2020.
  10. Peters, Michael A. (2019). "The Chinese Dream: Xi Jinping Thought on Socialism with Chinese Characteristics for a New Era". The Chinese Dream: Educating the Future. London: Routledge. doi:10.4324/9780429329135-3. ISBN 9780429329135. S2CID 211643969.
  11. Wang, Guidong (2016). "Joint Integration of Deng Xiaoping' Reform Theory and Chinese Reform". Proceedings of the 2016 2nd International Conference on Social Science and Technology Education (ICSSTE 2016) (ภาษาอังกฤษ). Guangzhou, China: Atlantis Press. pp. 433–436. doi:10.2991/icsste-16.2016.80. ISBN 978-94-6252-177-3.
  12. Wong, Kam C. (2011). Police Reform in China. New York: Routledge. p. 242. doi:10.1201/b11378. ISBN 978-0-429-24595-4.
  13. Chatwin 2024, p. xiv.
  14. Chatwin 2024, p. xvi.
  15. Kang, Liu (1996). "Is there an alternative to (capitalist) globalization? The debate about modernity in China". Boundary 2. 23 (3): 193–218. doi:10.2307/303642. JSTOR 303642. S2CID 164040788.
  16. Lu, Yang (2016). China-India Relations in the Contemporary: World Dynamics of National Identity and Interest. London: Routledge. p. 53. doi:10.4324/9781315651835. ISBN 9781315651835.
  17. Le Monde (21 มกราคม 2004). "La construction de l'économie socialiste de marché" [The construction of the socialist market economy]. Le Monde (ภาษาฝรั่งเศส).
  18. Moak, Ken; Lee, Miles W. N. (2015). "Deng Xiaoping Theory". China's Economic Rise and Its Global Impact (ภาษาอังกฤษ). New York: Palgrave Macmillan US. pp. 91–115. doi:10.1057/9781137535580_6. ISBN 978-1-349-55604-5.
  19. Uhalley Jr., Stephen (1988). A History of the Chinese Communist Party. Stanford: Hoover Institution Press. p. 180.
  20. "Selected Works of Deng Xiaopeng Volume 1 (1938–1965)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 พฤษภาคม 2008.
  21. "Selected Works of Deng Xiaopeng Volume 2 (1975–1982)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 เมษายน 2008.
  22. "Selected Works of Deng Xiaopeng Volume 3 (1982–1992)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 มีนาคม 2008.
  23. "Lìyǐníng: Mínyíng qǐyè jiā bùshì jiù zhōngguó zīběnjiā de yánxù shāngyè píndào" 厉以宁:民营企业家不是旧中国资本家的延续 商业频道 [Li Yining: Private entrepreneurs are not a continuation of the old Chinese capitalists]. biz.163.com (ภาษาจีน). 1 มีนาคม 2005. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 พฤษภาคม 2005. สืบค้นเมื่อ 3 ตุลาคม 2020.
  24. Shambaugh, David (2000). The Modern Chinese State. Cambridge University Press. p. 184. ISBN 9780521776035.
  25. "'Four Cardinal Principles'". China Internet Information Center. 22 มิถุนายน 2011 [March 1979]. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 มีนาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 10 มกราคม 2021.
  26. Zhao, Suisheng (1993). "Deng Xiaoping's southern tour: elite politics in post-Tiananmen China". Asian Survey. 33 (8): 739–756. doi:10.2307/2645086. JSTOR 2645086.
  27. "(Wǔ) dèngxiǎopíng duì gèrén chóngbài de pīpàn" (五) 邓小平对个人崇拜的批判 [(5) Deng Xiaoping's Criticism of Personality Cult]. book.people.com.cn (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 พฤษภาคม 2019.
  28. "Dèngxiǎopíng bādà fāyán: Jiānchí mínzhǔ jízhōng zhì fǎnduì gèrén chóngbài" 邓小平八大发言:坚持民主集中制 反对个人崇拜 [Deng Xiaoping's speech at the Eighth National Congress of the Communist Party of China: Adhere to Democratic Centralism and Oppose the Cult of Personality]. m.sohu.com (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 มีนาคม 2021.
  29. 1 2 Marquis, Christopher; Qiao, Kunyuan (2022). Mao and Markets: The Communist Roots of Chinese Enterprise. New Haven: Yale University Press. p. 50. doi:10.2307/j.ctv3006z6k. ISBN 978-0-300-26883-6. JSTOR j.ctv3006z6k. OCLC 1348572572. S2CID 253067190.
  30. Xiaoping, Deng (16 กันยายน 1978). "Hold high the banner of Mao Zedong Thought and adhere to the principle of seeking truth from facts". People's Daily. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 มกราคม 2015. สืบค้นเมื่อ 4 มกราคม 2009.
  31. Baum, Richard (1996). Burying Mao: Chinese politics in the age of Deng Xiaoping. Princeton University Press. ISBN 9780691036373.
  32. Harrison, Virginia; Palumbo, Daniele (1 ตุลาคม 2019). "China anniversary: How the country became the world's 'economic miracle'". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 ตุลาคม 2021. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2021.
  33. "The World Factbook — Central Intelligence Agency". www.cia.gov. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 มิถุนายน 2007.
  34. Backer, Larry Catá (7 พฤศจิกายน 2021). "The Communist Party as Polity and the Chinese Party-State Constitutional Order". Handbook of Constitutional Law in Greater China (ภาษาอังกฤษ). Rochester, NY. SSRN 3958293.
  35. Huang, Yibing, บ.ก. (2020). An Ideological History of the Communist Party of China. Qian Zheng, Guoyou Wu, Xuemei Ding, Li Sun, Shelly Bryant (1st English ed.). Montreal, Quebec: Royal Collins. ISBN 978-1-4878-0425-1. OCLC 1165409653.
  36. "Constitution of the Communist Party of China". China Internet Information Center. 18 กันยายน 1997.

ผลงานอ้างอิง

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]

แม่แบบ:เติ้ง เสี่ยวผิง