ตำบลยม
ตำบลยม | |
---|---|
การถอดเสียงอักษรโรมัน | |
• อักษรโรมัน | Tambon Yom |
![]() | |
คำขวัญ: สร้างท้องถิ่นให้ก้าวหน้า พัฒนาคนให้ก้าวไกล ความสุขของประชาชนยิ่งใหญ่ คือหัวใจของ ... อบต.ยม | |
ประเทศ | ไทย |
จังหวัด | น่าน |
อำเภอ | ท่าวังผา |
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 32.48 ตร.กม. (12.54 ตร.ไมล์) |
ประชากร (2564)[1] | |
• ทั้งหมด | 4,545 คน |
• ความหนาแน่น | 141.37 คน/ตร.กม. (366.1 คน/ตร.ไมล์) |
รหัสไปรษณีย์ | 55140 |
รหัสภูมิศาสตร์ | 550604 |
![]() |
ยม เป็นตำบลหนึ่งในอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของตัวอำเภอ
ประวัติการก่อตั้งเมือง[แก้]
ตำบลยม หรือ เมืองยมในสมัยพญาภูคาคือพื้นที่บริเวณเมืองย่างหรือเมืองล่าง (ปัจจุบันครอบคลุมพื้นที่ ตำบลยม , ตำบลจอมพระ อำเภอท่าวังผา และตำบลศิลาเพชร , ตำบลอวน อำเภอปัว) โดยพบบริเวณชุมชนโบราณเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำย่างและลำน้ำบั่ว
ตามประวัติการก่อตั้งกล่าวว่าเมื่อปี พ.ศ. 1820 พญาภูคา พร้อมด้วยราชเทวีคือ พระนางจำปาชายา (นางแก้วฟ้า) และราษฎรประมาณ 220 คน ได้เดินทางมาจากเมืองเงินยาง มาพักอยู่ที่บริเวณบ้านเฮี้ย (ตำบลศิลาแลง) จากนั้นได้ออกสำรวจหาพื้นที่สำหรับที่จะตั้งบ้านเมือง จนได้พบเมืองร้างลุ่มแม่น้ำย่างที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงดอยภูคา ซึ่งเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ มีชื่อว่า "บ้านกำปุง" หรือ "บ่อตอง" (ปัจจุบันคือ บ้านป่าตอง ตำบลศิลาเพชร อำเภอปัว) ราษฎรที่อาศัยเดิมอยู่นั่นเป็นชาวลัวะ บริเวณชุมชนมีวัดร้างอยู่วัดหนึ่งชื่อ "วัดมณี" อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้านกำปุง
พญาภูคาเห็นว่าบริเวณที่ได้สำรวจนี้เหมาะสมที่จะตั้งเมือง จึงได้พาราษฎรอพยพจากบ้านเฮี้ยมาสร้างบ้านเรือนอยู่ติดกับบ้านกำปุงทางทิศเหนือ และเนื่องด้วยพญาภูคาเป็นผู้มีความเมตตาโอบอ้อมอารี ราษฎรจึงได้ยกย่องขึ้นเป็นเจ้าเมืองล่าง เมื่อเดือน 3 เหนือ ขึ้น 2 ค่ำ พ.ศ. 1840 นับว่าท่านได้เป็นต้นกำเนิดของราชวงศ์ภูคา
เมื่อชาวเมืองเชียงแสนและเมืองใกล้เคียงได้ทราบข่าวว่าพญาภูคาได้ตั้งและได้ปกครองเมืองล่าง ก็พากันอพยพถิ่นฐานมาอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ตลอดจนชาวไทยลื้อสิบสองปันนาก็ได้อพยพมาอยู่เพิ่มขึ้นอีก จึงทำให้เกิดการตั้งชุมชนขนาดใหญ่ขึ้นบริเวณลุ่มน้ำย่างและน้ำบั่ว ครอบคลุมบริเวณตำบลศิลาเพชร ตำบลยม ตำบลจอมพระ ตำบลอวนในปัจจุบัน
พญาภูคามีราชบุตรกับนางจำปา 2 องค์ องค์โตชื่อ ขุนนุ่น องค์เล็กชื่อ ขุนฟอง เมื่อขุนนุ่นอายุได้ประมาณ 18 ปี พญาภูคาจึงให้ขุนนุ่นพาราษฎรจำนวนหนึ่งไปหาที่ตั้งเมืองใหม่ ขุนนุ่นจึงไปหาพญาเถรแตงที่ดอยติ้ว ดอยวาว (เขตติดต่อระหว่างอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน กับอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยาปัจจุบัน)
พญาเถรแตงจึงได้พาขุนนุ่นข้ามแม่น้ำโขงไปทางฝั่งตะวันออกไปสร้างเมืองหลวงพระบางและปกครองอยู่ที่นั่น ส่วนขุนฟองผู้น้องให้ไปสร้างเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อว่า "วรนคร" อยู่ทางทิศเหนือของเมืองล่าง (ปัจจุบันคือตำบลวรนคร) ขุนฟองท่านมีราชบุตร 1 องค์ชื่อ เจ้าเก้าเกื่อน พญาภูคาปกครองเมืองล่างได้ 40 ปี ก็ถึงอนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. 1890
เจ้าเก้าเกื่อนซึ่งมีศักด์เป็นหลานได้ปกครองเมืองล่างสืบแทน ในสมัยนั้นพญางำเมือง เจ้าเมืองพะเยา ได้ยกทัพมาตีเมืองวรนคร เจ้าเก้าเกื่อนได้ช่วยพ่อคือขุนฟองปราบข้าศึกจนพ่ายแพ้ไป ในครั้งนั้นได้รับสนับสนุนกองกำลังจากกรุงสุโขทัย ก่อนที่จะชิงเมืองคืนนั้นได้จัดทำสนามไว้สำหรับชุมชนช้างม้าที่เป็นพาหนะออกทำศึกในที่ดอนแห่งหนึ่ง (ปัจจุบันอยู่ในเขตบ้านดอนไชย) มีการสร้างคูเมืองและป้อมปราการเมืองเพื่อป้องกันข้าศึกมากมาย บริเวณข้างพระธาตุจอมพริกและบนสันดอยม่อนหลวง (บ้านลอมกลางปัจจุบัน)
เมื่อได้รับชัยชนะต่อพญางำเมืองแล้ว เจ้าเก้าเกื่อนปกครองเมืองล่างอยู่นั้น ท่านได้พาราษฎรสร้างเจดีย์ขึ้นที่ม่อนพักหรือม่อนป่าสัก (ปัจจุบันอยู่ในเขตบ้านดอนมูล) และได้สร้างองค์พระธาตุจอมพริกบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับมอบจากกรุงสุโขทัยคราวไปขอกำลังเพื่อชิงเมืองจากพญางำเมือง เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่รบชนะพญางำเมือง และเจ้าเก้าเกื่อนได้นำต้นโพธิ์ที่ได้รับมาจากสุโขทัย มาปลูกไว้ใกล้กับบ้านบ่อตองทางทิศตะวันตก พร้อมทั้งสร้างเจดีย์องค์เล็ก ๆ 1 องค์ใกล้กับต้นโพธิ์ นำเอาเพชรนิลจินดาแก้วแหวนเงินทองของมีค่าต่าง ๆ บรรจุไว้ในเจดีย์ ปัจจุบันไม่ปรากฏเจดีย์ให้เห็น เนื่องจากต้นโพธิ์โตขึ้นครอบเจดีย์องค์เล็กจมหายลงไปในดินนานนับหลายร้อยปีแล้ว คงเหลือแต่ต้นโพธิ์ใหญ่ที่สุดในตำบลศิลาเพชร
พ.ศ. 1921 ต่อจากนั้นเมืองล่างจึงไปขึ้นกับเมืองวรนคร อยู่ในความปกครองของพญาผานองซึ่งเป็นราชวงค์ภูคาด้วยกัน พญาผานองได้เปลี่ยนชื่อเมืองล่าง เป็น "เมืองย่าง" โดยเรียกตามลำน้ำย่างที่ไหลผ่าน แล้วได้แต่งตั้งเจ้าผาฮ่องขึ้นปกครองเมืองย่างซึ่งปกครองได้ไม่นานก็สุรคต
ต่อมาพญากานเมือง กษัตริย์วรนครองค์ที่ 5 แห่งราชวงค์ภูคาได้ย้ายเมืองวรนครไปตั้งที่เมืองภูเพียงแช่แห้ง เมื่อ พ.ศ. 1902 ราษฎรเมืองย่างบางส่วนได้อพยพตามพญากานเมืองไปอยู่ที่ภูเพียงแช่แห้งด้วย เมืองย่างจึงอยู่ในความปกครองของกษัตริย์เมืองน่าน
ปี พ.ศ. 2246 สมัยพระเมืองราชาได้มีการฟื้นม่าน (ต่อต้านพม่า) แต่สุดท้ายพ่ายแพ้แก่กองทัพพม่า เมืองน่านทั้งเมืองถูกเผา และเมืองย่างก็เช่นกัน ถูกพม่าทำลายจนย่อยยับ ราษฏรถูกพม่าจับกุมและนำไปคุมขังไว้ที่ห้วยต้อและห้วยมัดเป็นจำนวนมาก (ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ตำบลอวน) ในครั้งนั้นเจ้าเมืองเล็นถูกพม่ายกทัพมาตีเมือง เจ้าเมืองเล็นทราบข่าวจึงพาชาวเมืองหลบหนีมาอยู่ที่เมืองล่างที่บ้านหัวทุ่ง ปัจจุบันคือบ้านนาคำ ตำบลศิลาเพชร และเจ้าเมืองเล็นได้เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองล่างนับแต่นั้นมา
ในสมัยนั้นเมืองย่างมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีการสร้างวัดวาอาราม และศาสนสถานต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก อีกทั้งสร้างเหมืองฝายต่าง ๆ บริเวณน้ำบั่ว เมื่อเจ้าเมืองเล็นได้ถึงแก่กรรม เจ้าเมืองน่านแต่งตั้งแสนปั๋นขึ้นปกครองเมืองย่าง สมัยนั้นเมืองน่านสงบสุข แสนปั๋นกับชาวเมืองได้สร้างเหมืองฝาย สร้างนาเหล่าหม่อนเปรต (หม่อนเผด บ้านดอนมูล) บูรณะองค์พระธาตุจอมพริก บริเวณบนดอยสันจ้าง บนวัดทุ่งฆ้อง (ปัจจุบันพระธาตุจอมพริกอยู่ในเขตบ้านเสี้ยว)
ครั้นถึงสมัยที่มีการฟื้นม่านเมื่อราวปี พ.ศ. 2330 เกิดนโยบายเก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมืองของเจ้ากาวิละ กองทัพเจ้าเจ็ดตน กองทัพเมืองน่านโดยเจ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าเมืองแพร่ เจ้าเมืองลำปาง สยาม และหลวงพระบาง เจ้าจอมหงแห่งเชียงตุง ได้นำกองทัพขึ้นไปโจมตีหัวเมืองไทลื้อแถบสิบสองปันนา ทำให้หัวเมืองลื้อทั้งหมดพ่ายแพ้แก่กองทัพล้านนาและสยาม จึงเป็นเหตุให้มีการอพยพชาวไทลื้อ เมืองยอง เมืองยู้ เมืองเชียงลาบ จำนวนมากมาอยู่ในจังหวัดน่าน
ปี พ.ศ. 2345 แสนปั๋น เจ้าเมืองย่างถึงแก่กรรม เมืองย่างเกิดน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่ โดยครั้งนั้นพญาอัตถวรปัญโญ เจ้าผู้ครองนครน่านได้มาตรวจสภาพพื้นที่เมืองย่าง เห็นว่ามีพื้นดินอุดมสมบูรณ์ดี มีพื้นที่ราบกว้างขวาง ประกอบกับในบริเวณเมืองย่างนั้นมีชาวไทลื้อที่เจ้าเมืองเล็นอพยพผู้คนมาตั้งบ้านเรือนบางส่วน อีกทั้งมีชาวไทลื้อที่อพยพมาในสมัยพญาภูคามาตั้งบ้านเรือนอยู่แล้วนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการปกครอง จึงพิจารณาเห็นสมควรโปรดให้ชาวไทลื้อที่ได้อพยพมาจากเมืองยอง เมืองยู้ เมืองเชียงลาบ ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งริมสองฟากฝั่งแม่น้ำย่าง โดยโปรดให้นำช่างปั้นหม้อชาวไทลื้อให้ตั้งบ้านเรือนที่บ้านดอนไชย (ปัจจุบันขึ้นกับตำบลศิลาเพชร) เมืองเชียงลาบให้ตั้งบ้านเรือนที่บริเวณลุ่มน้ำย่างใกล้พระธาตุจอมพริก ลื้อเมืองยองให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้พระธาตุจอมนาง และลื้อเมืองยู้ให้ตั้งบ้านเรือนที่ท้ายแม่น้ำย่าง
ในครั้งนั้นเจ้าอัตถวรปัญโญได้แต่งตั้งให้แสนจิณปกครองเมืองย่างสืบต่อจากแสนปั๋น
แต่ภายหลังเมื่อมีการจัดระเบียบหัวเมืองการปกครองนครน่านใหม่ในสมัยของพระเจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดชฯ จึงแยกเมืองยมออกจากเมืองย่าง โดยให้ท้าวเมืองยมเป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองยม และจัดระเบียบเมืองยมขึ้นอยู่กับแขวงน้ำปัว ซึ่งประกอบด้วยหัวเมืองต่าง ๆ ได้แก่ เมืองปัว เมืองริม เมืองอวน เมืองยม เมืองย่าง (ภายหลังเมืองย่างเปลี่ยนชื่อเป็นตำบลศิลาเพชร) เมืองแงง เมืองบ่อ ให้มีที่ว่าการแขวงตั้งที่เมืองปัว
พ.ศ. 2486 ทางการได้มีประกาศยุบเลิกตำบลศิลาเพชรให้ไปขึ้นอยู่กับการปกครองของตำบลยม อำเภอปัวในขณะนั้น ซึ่งมีนายอิทธิ อิ่นอ้าย เป็นกำนัน และให้ตำบลศิลาเพชร เป็นตำบลยม 2 อำเภอปัว
พ.ศ. 2490 จึงมีประกาศจากทางราชการให้กลับมาเป็นตำบลศิลาเพชรเหมือนเดิม
ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2505 ทางราชการประกาศจัดตั้งกิ่งอำเภอท่าวังผา โดยแยกตำบลยม อำเภอปัว ให้มาขึ้นกับกิ่งอำเภอท่าวังผา
ในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2524 ได้ประกาศแยกตำบลยมออกเป็นอีกหนึ่งตำบล คือ ตำบลจอมพระ
ปัจจุบันตำบลยมแบ่งการปกครองออกเป็น 10 หมู่บ้าน ดังนี้
- บ้านก๋ง
- บ้านสบบั่ว
- บ้านลอมกลาง
- บ้านเชียงยืน
- บ้านทุ่งฆ้อง
- บ้านเสี้ยว
- บ้านหนอง
- บ้านพร้าว
- บ้านน้ำไคร้
- บ้านนานิคม
สภาพทั่วไป[แก้]
สภาพภูมิศาสตร์มีภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขา แม่น้ำย่าง และลำน้ำบั่ว ลำน้ำหมู ลำน้าฮาว ลำน้ำไคร้ และภูเขาสูง คือดอยภูคา มีการประกอบอาชีพด้านการเกษตรเป็นส่วนใหญ่
อาณาเขต[แก้]
- ทิศเหนือ ติดกับตำบลป่ากลาง อำเภอปัว จังหวัดน่าน
- ทิศใต้ ติดกับตำบลอวน อำเภอปัว จังหวัดน่าน
- ทิศตะวันออก ติดกับตำบลศิลาเพชร อำเภอปัว จังหวัดน่าน
- ทิศตะวันตก ติดกับตำบลจอมพระ อำเภอท่าวังผา และ ตำบลตาลชุม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน [2]
ประชากร[แก้]
จำนวนประชากรในเขตองค์การบริหารส่วนตำบล 4,545 คน และจำนวนหลังคาเรือน 1,558 หลังคาเรือน[3]
หมู่ที่ | ชื่อหมู่บ้าน | ประชากรชาย | ประชากรหญิง | ประชากรทั้งหมด | จำนวนครัวเรือน |
---|---|---|---|---|---|
1 | บ้านก๋ง | 506 | 532 | 1,038 | 366 |
2 | บ้านสบบั่ว | 231 | 239 | 470 | 154 |
3 | บ้านลอมกลาง | 189 | 191 | 380 | 125 |
4 | บ้านเชียงยืน | 192 | 193 | 385 | 134 |
5 | บ้านทุ่งฆ้อง | 228 | 219 | 447 | 146 |
6 | บ้านเสี้ยว | 169 | 150 | 319 | 110 |
7 | บ้านหนอง | 174 | 194 | 378 | 125 |
8 | บ้านพร้าว | 312 | 325 | 637 | 230 |
9 | บ้านน้ำใคร้ | 191 | 160 | 351 | 113 |
10 | บ้านนานิคม | 72 | 82 | 154 | 55 |
รวม | 2,259 | 2,286 | 4,545 | 1,558 |
กลุ่มชาติพันธุ์[แก้]
ประชากรในเขตพื้นที่ตำบลยม สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มชาติพันธุ์ ดังนี้
- กลุ่มชาติพันธุ์ไทยวนเชียงแสน ประกอบด้วย 5 หมู่บ้าน ดังนี้
- บ้านก๋ง หมู่ที่ 1
- บ้านสบบั่ว หมู่ที่ 2
- บ้านพร้าว หมู่ที่ 8
- บ้านน้ำใคร้ หมู่ที่ 9
- บ้านนานิคม หมู่ที่ 10
- กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ ประกอบด้วย 5 หมู่ ดังนี้
- บ้านลอมกลาง หมู่ที่ 3
- บ้านเชียงยืน หมู่ที่ 4
- บ้านทุ่งฆ้อง หมู่ที่ 5
- บ้านเสี้ยว หมู่ที่ 6
- บ้านหนอง หมู่ที่ 7
อาชีพ[แก้]
อาชีพหลัก ทำนา ทำสวน/ ทำไร่
สถานที่สำคัญ[แก้]
สถานที่สำคัญที่ตั้งอยู่ภายในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลยม มีดังนี้
- สำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบลยม (บ้านสบบั่ว หมู่ 2)
- โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยม (บ้านก๋ง หมู่ 1)
- โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยม (บ้านพร้าว หมู่ 8)
- พระธาตุลอมตั้ง (สะดือเมืองยม) (บ้านพร้าว หมู่ 8)
- เสาหลักเมืองยม (บ้านพร้าว หมู่ 8)
- พระธาตุจอมพริก (บ้านเสี้ยว หมู่ 6)
- อ่างเก็บน้ำชลสิงห์ (บ้านเสี้ยว หมู่ 6)
- น้ำตกน้ำไคร้ (บ้านน้ำไคร้ หมู่ 9)
- คือเมืองย่าง (บ้านเสี้ยว หมู่ 6)
- คือเมืองย่าง (บ้านลอมกลาง หมู่ 3)
- อ่างเก็บน้ำห้วยเมี่ยง (บ้านลอมกลาง หมู่ 3)
ศาสนสถาน[แก้]
ตำบลยม มีศาสนสถานที่สำคัญ ประกอบด้วยวัด 9 แห่ง และโบสถ์คริสตจักร 1 แห่ง ดังนี้
- วัดศรีมงคล : บ้านก๋ง หมู่ 1
- วัดโพธิ์ไทร : บ้านสบบั่ว หมู่ 2
- วัดลอมกลาง : บ้านลอมกลาง หมู่ 3
- วัดเชียงยืน : บ้านเชียงยืน หมู่ 4
- วัดทุ่งฆ้อง : บ้านทุ่งฆ้อง หมู่ 5
- วัดพระธาตุจอมพริก : บ้านเสี้ยว หมู่ 6
- วัดหนองช้างแดง : บ้านหนอง หมู่ 7
- วัดสันติการาม : บ้านพร้าว หมู่ 8
- วัดน้ำใคร้ : บ้านน้ำใคร้ หมู่ 9
- โบสถ์คริสตจักรพันธสัญญา : บ้านนานิคม หมู่ 10
สถานศึกษา[แก้]
สถานศึกษาในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลยม มีดังนี้
- ระดับชั้น : มัธยมศึกษา มี 1 แห่ง ดังนี้
- โรงเรียนเมืองยมวิทยาคาร : บ้านสบบั่ว หมู่ที่ 2 (โรงเรียนมัธยมประจำตำบลยม)
- ระดับชั้น : ประถมศึกษา มี 4 แห่ง ดังนี้
- โรงเรียนบ้านก๋งมงคลประชารังสรรค์ : บ้านก๋ง หมู่ที่ 1
- โรงเรียนไตรราษฎร์วิทยา : บ้านทุ่งฆ้อง หมู่ที่ 5
- โรงเรียนบ้านเสี้ยว : บ้านเสี้ยว หมู่ที่ 6
- โรงเรียนบ้านพร้าว : บ้านพร้าว หมู่ที่ 8
- โรงเรียนพระปริยัติธรรม (แผนกสามัญศึกษา) มี 1 แห่ง ดังนี้
- โรงเรียนวัดน้ำใคร้นันทชัยศึกษา : บ้านน้ำใคร้ หมู่ที่ 9