ฟักเขียว
ฟักเขียว | |
---|---|
สัณฐานวิทยาของฟักเขียว | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Plantae |
หมวด: | Magnoliophyta |
ชั้น: | Magnoliopsida |
อันดับ: | Cucurbitales |
วงศ์: | Cucurbitaceae |
วงศ์ย่อย: | Cucurbitoideae |
สกุล: | Benincasa |
สปีชีส์: | B. hispida |
ชื่อทวินาม | |
Benincasa hispida Thunb. |
ฟักเขียว หรือ ฟักแฟง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Benincasa hispida; อังกฤษ: winter melon) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า "ฟัก" เป็นผักพื้นบ้านพืชล้มลุกจำพวกไม้เถาตระกูลแตงลำ ใบสีเขียวลักษณะหยักหยาบ ดอกมีสีเหลือง ผลกลมยาวมีนวลขาว ปลูกกันมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียใต้
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
[แก้]ฟักเขียวเป็นพืชอายุสั้น มีลำต้นสีเขียวมีขนขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วลำต้น แตกกิ่งก้านสาขามากมาย ใบมีลักษณะเป็นหยักคล้ายฝ่ามือขอบใบแยกออกเป็น 5–7 แฉก ปลายแฉกแหลมใบหยาบเรียงสลับกันตามข้อต้น ใบกว้างประมาณ 5–15 เซนติเมตร มีขนปกคลุม ก้านใบยาวประมาณ 10 เซนติเมตร มีดอกเดี่ยว (Solitary Flower) สีเหลือง ดอกเพศผู้มีลักษณะเป็นหลอดยาว 5–10 เซนติเมตร ปลายดอกแยกออกเป็น 5 กลีบ มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ส่วนดอกเพศเมียก้านดอกจะสั้นกว่าดอกเพศผู้ ปลายดอกแยกออกเป็น 3 แฉก มีรังไข่อยู่ภายในดอก ผลมีลักษณะเป็นรูปกลมยาวกว้างประมาณ 20–30 เซนติเมตร ยาว 30–60 เซนติเมตร เปลือกแข็งสีเขียวเนื้อในสีขาว เนื้อแน่น ฉ่ำน้ำ มีเมล็ดอยู่ภายในจำนวนมากสีขาวออกเหลือง
การปลูก
[แก้]ฟักเขียวขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ปลูกได้ดีในดินร่วนปนทรายโดยการนำเมล็ดที่เตรียมไว้หยอดลงหลุมลึกประมาณ 3–5 เซนติเมตร ประมาณ 2–3 เมล็ด กลบหลุมและรดน้ำสม่ำเสมอทุกวันโดยเฉพาะช่วงติดดอกและผลมิฉะนั้นอาจทำให้ดอกและผลที่ติดหลุดร่วงได้ ในช่วงเวลา 15 วัน ก่อนการเก็บเกี่ยวควรหยุดการให้น้ำเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในช่วง 35–60 วัน
คุณค่าทางโภชนาการ
[แก้]คนไทยมักนำผลฟักเขียวมาประกอบอาหารในประเภท ต้ม ผัด แกงหรือนำมาทำขนมหวานในเทศกาล เมนูยอดนิยมของฟักเขียวที่รู้จักกันดี คือ แกงจืดฟักต้มกับไก่ แกงเขียวหวานไก่ฟักเขียว แกงเลียง ฟักเขียวผัดกับหมูใส่ไข่ ฟักเชื่อม และยอดอ่อนลวกหรือต้มกะทิรับประทานทานคู่กับน้ำพริก ทั่วโลกนิยมนำผลฟักเขียวมาบริโภคทั้งแบบดิบและสุก เช่น ฟักเขียวดอง แกงเผ็ด หรือกวนแยม ฟักเขียวสามารถบริโภคได้ทั้งผลอ่อนและผลแก่ โดยผลอ่อนรสชาติจะเข้มกว่าผลแก่ มีน้ำมาก ใบอ่อนและตาดอก นำไปนึ่งหรือใส่ในแกงจืดเพิ่มรสชาติ ส่วนเมล็ดอุดมไปด้วยน้ำมันและโปรตีนโดยทำให้สุกสามารถกินได้ แต่มีข้อควรระวังสำหรับคนที่มีปัญหาทางด้านการขับถ่าย และมีอาการแน่นหน้าอก ไม่ควรรับประทาน
- ตารางคุณค่าทางโภชนาการของฟักต่อผลสด 100 กรัม(g.)
พลังงาน ( Energy ) | 13 cal. |
โปรตีน ( Protein ) | 0.4 g |
ไขมัน ( Fat ) | 0.2 g |
คาร์โบไฮเดรต ( Carbohydrate ) | 3 g |
ใยอาหาร( Fiber) | 0.4 g |
แคลเซียม ( Calcium ) | 19 mg |
ฟอสฟอรัส ( Phosphorus ) | 19 mg |
ธาตุเหล็ก ( Iron ) | 0.4 mg |
โซเดียม ( Sodium ) | 6 mg |
โพแทสเซียม ( Potassium ) | 111 mg |
วิตามินบี 1 ( Thiamin ) | 4 mg |
วิตามินบี 2 ( Riboflavin ) | 0.11 mg |
ไนอะซิน ( Niacin ) | 0.4 mg |
วิตามินซี ( Vitamin C ) | 13 mg |
สรรพคุณทางยา
[แก้]- ใบ – แก้ฟกช้ำ แก้พิษผึ้งต่อย ช่วยรักษาบาดแผล แก้โรคบิด แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้บวมอักเสบมีหนอง
- ผล – ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไอ แก้ธาตุพิการ แก้โลหิตเป็นพิษ บวมน้ำ หลอดลมอักเสบ
- เมล็ด – ลดไข้ แก้ริดสีดวงทวาร แก้โรคทางเดินปัสสาวะ แก้ไตอักเสบ บำรุงผิว ละลายเสมหะ
- ราก – แก้ไข้ แก้กระหายน้ำ ถอนพิษ
- เถาสด – รสขมเย็น ใช้รักษาริดสีดวงทวาร มีไข้สูง
- เปลือก – บำบัดอาการบวมน้ำ ขับปัสสาวะ แก้ท้องเสีย แผลบวมอักเสบมีหนอง
การเลือกฟักเขียว
[แก้]วิธีการเลือกฟักเขียว ควรเลือกฟักเขียวที่มีเนื้อแข็ง เพราะจะมีรสหวานและกรอบเมื่อนำมาปรุงอาหาร ลักษณะภายในของฟักเขียวที่ดีนั้นควรจะมีขอบของเนื้อเป็นสีเขียวเข้มแล้วค่อย ๆ จางเป็นสีขาวจนถึงตรงกลาง ฟักเขียวสามารถเก็บรักษาได้นานเป็นเดือนหรือค่อนปีโดยมีแว็กซ์หรือขี้ผึ้งเคลือบภายนอก
ชื่อท้องถิ่น
[แก้]ในประเทศไทยมีชื่อเรียกตามท้องถิ่นต่างกันไป เช่น
- ภาคเหนือ – ฟักขี้หมู, ฟักจิง, มะฟักขม, มะฟักหม่น, มะฟักหม่นขม
- ภาคอีสาน – บักฟัก,บักโต่น
- ภาคกลาง – ฟักขาว, ฟักเขียว, ฟักจีน, แฟง
- ภาคใต้ – ขี้พร้า
- แม่ฮ่องสอน – มะฟักหอม
- ชาวกะเหรี่ยง/แม่ฮ่องสอน – ดีหมือ, ลุ่เค้ส่า
- จีนแต้จิ๋ว – ตังกวย, ตี่จือ
อ้างอิง
[แก้]- ครูบ้านนอก ฟักช่วยย่อยอาหารบำรุงร่างกาย
- ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดเชียงใหม่ (พืชสวน)
- ข้อมูลพื้นฐาน ฟักเขียว เก็บถาวร 2012-07-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ ฟักเขียว
- (อังกฤษ) ฟักเขียวในภาษาต่าง ๆ, Multilingual Multiscript Plant Name Database.