ข้ามไปเนื้อหา

ด้วยรักและมิตรภาพ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ด้วยรักและมิตรภาพ
กำกับสตีเวน สปีลเบิร์ก
บทภาพยนตร์
เนื้อเรื่อง
อำนวยการสร้าง
นักแสดงนำ
กำกับภาพ
ตัดต่อ
ดนตรีประกอบ
บริษัทผู้สร้าง
ผู้จัดจำหน่าย
วันฉาย
  • 18 มิถุนายน ค.ศ. 2004 (2004-06-18)
ความยาว128 นาที
ประเทศ
ภาษา
ทุนสร้าง60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[1]
ทำเงิน219.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[1]

ด้วยรักและมิตรภาพ เป็นภาพยนตร์อเมริกันแนวคอเมดี้-ดราม่า ออกฉายปี ค.ศ. 2004 กำกับและอำนวยการสร้างโดย สตีเวน สปีลเบิร์ก นำแสดงโดย ทอม แฮงค์ส, แคเธอรีน ซีตา-โจนส์ และ สแตนลีย์ ทุชชี ภาพยนตร์เล่าเรื่องของชายชาวยุโรปตะวันออกคนหนึ่งที่ติดอยู่ในอาคารผู้โดยสารของสนามบินนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี ในนครนิวยอร์ก เมื่อเขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศสหรัฐอเมริกา และไม่สามารถกลับประเทศบ้านเกิดได้เนื่องจากเกิดรัฐประหารทางทหาร

เนื้อเรื่องบางส่วนได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของ เมห์ราน คาริมี นาสเซรี ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในอาคารผู้โดยสารที่ 1 ของสนามบินนานาชาติชาร์ล เดอ โกล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1988 ถึง 2006[2]

หลังจากจบผลงานเรื่อง จับให้ได้ถ้านายแน่จริง (2002) สปีลเบิร์กตัดสินใจสร้าง ด้วยรักและมิตรภาพ เพราะเขาต้องการทำภาพยนตร์ “ที่ทำให้เราหัวเราะ ร้องไห้ และรู้สึกดีเกี่ยวกับโลกใบนี้” เนื่องจากไม่มีสนามบินใดยินยอมให้ใช้สถานที่ถ่ายทำ จึงมีการสร้างฉากสนามบินขึ้นใหม่ทั้งหมดในโรงเก็บเครื่องบินขนาดใหญ่ที่สนามบินแอลเอ/พาล์มเดล โดยฉากภายนอกหลายฉากถ่ายทำที่สนามบินนานาชาติมอนทรีออล–มิราเบล[3]

ภาพยนตร์เข้าฉายในอเมริกาเหนือเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 2004 ได้รับเสียงวิจารณ์ในเชิงบวกโดยทั่วไป และประสบความสำเร็จในด้านรายได้ โดยกวาดรายได้ทั่วโลกไปถึง 219 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เรื่องย่อ

[แก้]

วิกเตอร์ นาวอร์สกี นักเดินทางจากประเทศคราโคเชีย เดินทางมาถึงนครนิวยอร์กที่ท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี และพบว่าขณะเขาอยู่บนเครื่องบิน ได้เกิดการรัฐประหารในประเทศของเขา ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่รับรองรัฐบาลใหม่ของคราโคเชีย ส่งผลให้พาสปอร์ตของเขาไม่สามารถใช้งานได้ และเขาไม่สามารถเดินทางเข้าสหรัฐฯ หรือกลับประเทศของตนได้ เจ้าหน้าที่ศุลกากรยึดหนังสือเดินทางและตั๋วเดินทางกลับของเขาไว้จนกว่าจะมีการแก้ไขสถานการณ์ โดยเขายังคงเหลือเพียงสัมภาระและกระป๋องถั่ว Plantersติดตัวอยู่

แฟรงก์ ดิกสัน เจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำท่าอากาศยานซึ่งดำรงตำแหน่งรักษาการ สั่งให้วิกเตอร์อาศัยอยู่ในพื้นที่รอเปลี่ยนเครื่องชั่วคราว แต่เขาก็พยายามจะกำจัดวิกเตอร์โดยพยายามให้เขาเดินออกจากสนามบินอย่างผิดกฎหมาย และพยายามชักชวนให้วิกเตอร์ยื่นขอลี้ภัย แต่วิกเตอร์ปฏิเสธเพราะไม่กลัวที่จะกลับประเทศ

วิกเตอร์พบพื้นที่ก่อสร้างภายในสนามบินและใช้เป็นที่พัก เขาค่อย ๆ เรียนรู้ภาษาอังกฤษจากหนังสือคู่มือท่องเที่ยวนิวยอร์กที่แปลเป็นภาษาของเขา เขาสร้างมิตรภาพกับกุปตะ ราจาน ภารโรงสูงวัยที่ในตอนแรกไม่ค่อยเป็นมิตร ต่อมาวิกเตอร์ก็กลายเป็นเพื่อนกับโจ มัลรอย พนักงานขนสัมภาระผู้ชอบเล่นโป๊กเกอร์โดยใช้ของจากสัมภาระหายเป็นเดิมพัน และเอนริเก้ ครูซ พนักงานส่งอาหารที่ให้วิกเตอร์แลกอาหารฟรีกับการช่วยเขาจีบเจ้าหน้าที่ศุลกากรชื่อโดโลเรส ตอร์เรส

เมื่อแสดงฝีมือในการปรับปรุงกำแพงภายในสนามบิน ผู้รับเหมาจึงเข้าใจว่าวิกเตอร์เป็นแรงงานชั่วคราวและจ่ายค่าแรงให้เขาแบบไม่เป็นทางการ เขาเริ่มมีความสัมพันธ์กับแอร์โฮสเตสชื่ออมีเลีย ซึ่งกำลังคบหากับเจ้าหน้าที่รัฐที่แต่งงานแล้ว

ในระหว่างที่ผู้บังคับบัญชาของดิกสันมาตรวจเยี่ยม เขาขอให้วิกเตอร์ช่วยแปลให้กับชายชาวรัสเซียที่กำลังพยายามนำยากลับไปให้พ่อที่ป่วยหนัก ดิกสันตั้งใจจะปฏิเสธชายคนนั้นเนื่องจากเอกสารไม่ครบ แต่วิกเตอร์กลับช่วยเขาฝ่ากฎ ทำให้ดิกสันโกรธแค้นและอับอายต่อหน้าผู้บังคับบัญชา ซึ่งกลายเป็นเหตุให้เพื่อนร่วมงานเคารพวิกเตอร์มากยิ่งขึ้น

ดิกสันจับตัวอมีเลียมาไต่สวน เธอจึงไปหาวิกเตอร์และรู้ความจริงว่าในกระป๋อง Planters ของเขานั้นเก็บภาพถ่ายชื่อ "A Great Day in Harlem" ซึ่งเป็นภาพนักดนตรีแจ๊ส 57 คนในปี 1958 พ่อของเขาเป็นแฟนแจ๊สที่ตั้งใจจะสะสมลายเซ็นของนักดนตรีทุกคนในภาพ แต่เสียชีวิตไปก่อนจะได้ครบ เหลือเพียงลายเซ็นของเบนนี โกลสัน วิกเตอร์จึงตั้งใจจะมาตามหาลายเซ็นสุดท้ายที่นิวยอร์ก อมีเลียจูบเขาหลังจากได้ฟังเรื่องราว

เก้าเดือนต่อมา สงครามในคราโคเชียยุติลง อมีเลียบอกว่านายทหารที่เธอคบอยู่ได้จัดการให้วิกเตอร์ได้รับวีซ่าฉุกเฉิน 1 วันเพื่อทำภารกิจของเขาให้สำเร็จ แต่เธอก็ตัดสินใจกลับไปคืนดีกับคนรักเก่า

เมื่อวิกเตอร์นำวีซ่าไปแสดงที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ดิกสันต้องเป็นผู้ลงนาม แต่เนื่องจากหนังสือเดินทางของวิกเตอร์ใช้ได้แล้ว ดิกสันพยายามเนรเทศเขากลับประเทศ โดยขู่ว่าหากเขาไม่ยอมกลับ จะสั่งจับเพื่อน ๆ ในสนามบิน รวมถึงเนรเทศกุปตะกลับอินเดียเพื่อลงโทษจากคดีทำร้ายเจ้าหน้าที่ วิกเตอร์จึงยอมขึ้นเครื่อง แต่กุปตะกลับวิ่งตัดหน้าเครื่องบินจนถูกจับกุม ทำให้วิกเตอร์ได้เวลา

วิกเตอร์ตัดสินใจเดินออกจากสนามบิน พนักงานหลายคนมาส่งเขา ดิกสันพยายามสั่งห้ามแต่เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ไม่ยอมขัดขวาง เขาจึงเปลี่ยนใจและสั่งให้เจ้าหน้าที่กลับไปทำงานตามปกติ วิกเตอร์เดินทางไปยังโรงแรมที่โกลสันแสดงอยู่และได้รับลายเซ็นสุดท้าย ก่อนจะเรียกแท็กซี่กลับสนามบินเพื่อเดินทางกลับบ้าน

นักแสดง

[แก้]

การผลิต

[แก้]

ไอเดียสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้อาจมีต้นกำเนิดจากเรื่องราวของเมฮ์รอน แครีมี นอเซรี หรือที่รู้จักในชื่อ เซอร์อัลเฟรด ชายอิหร่านที่เป็นผู้ลี้ภัย ซึ่งอาศัยอยู่ในอาคารผู้โดยสารที่หนึ่งของสนามบินชาร์ล เดอ โกลในปารีส ตั้งแต่ปี 1988 ถึง 2006[2][4] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2003 หนังสือพิมพ์ เดอะนิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า สตีเวน สปีลเบิร์ก ได้ซื้อลิขสิทธิ์เรื่องราวชีวิตของนัสเซรีมาเป็นพื้นฐานสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ และในเดือนกันยายน ค.ศ. 2004 หนังสือพิมพ์ เดอะการ์เดียน ก็ระบุว่านัสเซอรีได้รับเงินหลายพันดอลลาร์จากทีมผู้สร้าง[5][6] อย่างไรก็ตาม เอกสารประชาสัมพันธ์ของสตูดิโอไม่ได้กล่าวถึงเรื่องของนัสเซอรีว่าเป็นแรงบันดาลใจของภาพยนตร์ และเนื้อเรื่องก็ไม่มีความคล้ายคลึงกับประสบการณ์ของเขา ภาพยนตร์ฝรั่งเศสปี 1993 เรื่อง Lost in Transit ก็มีพื้นฐานจากเรื่องนี้เช่นกัน ในการตัดสินใจสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ สปีลเบิร์กกล่าวว่า หลังจากกำกับเรื่อง จับให้ได้ถ้านายแน่จริง แล้ว “ผมอยากสร้างภาพยนตร์อีกเรื่องที่ทำให้เราหัวเราะ ร้องไห้ และรู้สึกดีกับโลกใบนี้ ... ตอนนี้คือช่วงเวลาที่เราต้องยิ้มให้มากขึ้น และภาพยนตร์ฮอลลีวูดก็ควรเป็นสิ่งที่ทำหน้าที่นี้ให้กับผู้คนในช่วงเวลาที่ยากลำบาก”[7]

สปีลเบิร์กเดินทางไปทั่วโลกเพื่อหาสนามบินจริงที่อนุญาตให้ถ่ายทำได้ตลอดระยะเวลาการผลิต แต่ไม่พบ จึงสร้างฉากภาพยนตร์ขึ้นภายในอู่เครื่องบินขนาดยักษ์ที่สนามบิน LA/Palmdale Regional อู่แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Plant 42 ของกองทัพอากาศสหรัฐ ซึ่งเคยใช้สร้างเครื่องบินทิ้งระเบิด Rockwell B-1B ฉากภาพยนตร์ถูกสร้างตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยจากแผ่นดินไหว และออกแบบตามสนามบินดึสเซลดอร์ฟ รูปทรงของอาคารในฉากเมื่อมองด้านข้างจะเป็นลักษณะคล้ายปีกเครื่องบิน ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องแรกที่ใช้Spidercam ซึ่งมักใช้ในงานถ่ายทอดสดกีฬา ทำให้สปีลเบิร์กสามารถเก็บภาพมุมกว้างได้ทั่วฉาก การออกแบบฉากภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากจากภาพยนตร์คลาสสิกเรื่อง PlayTime ของฌาค ตาตี ตามคำวิจารณ์ของRoger Ebert และคำกล่าวของสปีลเบิร์กในบทสัมภาษณ์กับนิตยสาร Empire[8]

ทอม แฮงส์ สร้างบุคลิกของตัวละคร วิกเตอร์ นาวอร์สกี จากคุณพ่อภรรยาของเขา อัลลัน วิลสัน ผู้อพยพชาวบัลแกเรียที่สามารถพูดได้ทั้งภาษารัสเซีย, ตุรกี, โปแลนด์, กรีก, อิตาลีนิดหน่อย และฝรั่งเศสนิดหน่อย นอกเหนือจากภาษาบัลแกเรียที่เป็นภาษาแม่ของเขา[9] แฮงส์ยังได้รับความช่วยเหลือจากล่ามภาษาบัลแกเรียด้วย[10]

คราโคเชีย

[แก้]

คราโคเชีย (Кракожия) เป็นประเทศสมมติที่สร้างขึ้นในภาพยนตร์ โดยมีลักษณะคล้ายอดีตรัฐของสหภาพโซเวียตหรือรัฐในกลุ่มยุโรปตะวันออก

สถานที่ตั้งที่แน่นอนของคราโคเชียในภาพยนตร์ถูกทำให้คลุมเครือ อย่างไรก็ตามในฉากหนึ่ง แผนที่ของคราโคเชียได้ปรากฏบนหน้าจอโทรทัศน์ของสนามบินในระหว่างรายงานข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้ง แสดงพรมแดนที่ตรงกับมาซิโดเนียเหนือในปัจจุบัน (ซึ่งขณะนั้นรู้จักกันในชื่อ สาธารณรัฐมาซิโดเนียแห่งยูโกสลาเวียเดิม) อย่างไรก็ตามในอีกฉากหนึ่ง วิกเตอร์แสดงใบขับขี่ที่ออกโดยเบลารุส โดยมีชื่อเป็นภาษาชาวอุซเบกิสถาน

จอห์น วิลเลียมส์ ผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์ ได้แต่งเพลงชาติของคราโคเชียด้วย[11]

ตัวละครของแฮงส์พูดภาษาบัลแกเรียเป็นหลักในฐานะภาษาประจำชาติของคราโคเชีย อย่างไรก็ตามในฉากหนึ่งที่เขาช่วยผู้โดยสารชาวรัสเซียเกี่ยวกับปัญหาด้านศุลกากร เขาพูดภาษาสลาฟที่ประดิษฐ์ขึ้นซึ่งมีลักษณะคล้ายภาษาบัลแกเรียและภาษารัสเซีย[12][13] เมื่อวิกเตอร์ซื้อหนังสือคู่มือนิวยอร์กทั้งฉบับภาษาอังกฤษและภาษาแม่ของเขาเพื่อเปรียบเทียบและเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม หนังสือที่เขาใช้ศึกษาเขียนเป็นภาษารัสเซีย

ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงกระบวนการการเรียนรู้ภาษาที่สองอย่างเป็นธรรมชาติได้อย่างแม่นยำพอสมควร ตามคำกล่าวของนักภาษาศาสตร์มาร์ธา ยัง-โชลเท่น[14]

การตอบรับ

[แก้]

รายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศ

[แก้]

ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ 77.9 ล้านดอลลาร์ในอเมริกาเหนือ และ 141.2 ล้านดอลลาร์ในพื้นที่อื่น ๆ รวมรายได้ทั่วโลกอยู่ที่ 219.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ[1]

ในสุดสัปดาห์เปิดตัว ภาพยนตร์ทำรายได้ไป 19.1 ล้านดอลลาร์ ติดอันดับสองในบ็อกซ์ออฟฟิศ และทำรายได้เพิ่มอีก 13.1 ล้านดอลลาร์ในสุดสัปดาห์ถัดมา โดยลดลงมาอยู่อันดับสาม

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 1.2 ด้วยรักและมิตรภาพ ที่บ็อกซ์ออฟฟิศโมโจ
  2. 2.0 2.1 Gilsdorf, Ethan (June 21, 2004). "Behind 'The Terminal, ' a true story". The Christian Science Monitor. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 2, 2015. สืบค้นเมื่อ December 5, 2010.
  3. "The Terminal (2004) - Filming & Production". IMDb.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-09. สืบค้นเมื่อ 2022-11-08.
  4. Duncan Walker, "Life in the lounge" เก็บถาวร 2009-02-21 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, BBC News Online Magazine, August 17, 2004.
  5. Matthew Rose, "Waiting For Spielberg" เก็บถาวร 2009-02-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, The New York Times, September 21, 2003. Retrieved June 12, 2008.
  6. Berczeller, Paul (September 6, 2004). "The man who lost his past". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 9, 2007. สืบค้นเมื่อ May 5, 2007.
  7. Total Film (September 1, 2004). "The Total Film Interview – Steven Spielberg". GamesRadar+. Future. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 16, 2018. สืบค้นเมื่อ March 16, 2018.
  8. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Ebert
  9. "Season 12 Episode 9". Inside the Actors Studio. Bravo. 14 May 2016. Television.
  10. "Tom Hanks' character in The Terminal speaks Bulgarian" เก็บถาวร 2021-03-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, YouTube.
  11. Clemmensen, Christian (June 10, 2004). The Terminal. เก็บถาวร 2021-07-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน soundtrack review at Filmtracks.com
  12. "Learn Bulgarian with Tom Hanks". 16 February 2020. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-04-08. สืบค้นเมื่อ 2025-05-25 – โดยทาง YouTube.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  13. "plot explanation – What does Viktor Navorski say to Milodragovich in Bulgarian?". Movies & TV Stack Exchange. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-11-05. สืบค้นเมื่อ 2021-01-27.
  14. Young-Scholten, Martha. "Hollywood: smarter than you think? Maybe". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 27, 2011. สืบค้นเมื่อ December 25, 2007. Abstract for talk given at the University of Leeds Department of Linguistics and Phonetics, April 26, 2006.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]