ด้วยรักและมิตรภาพ
ด้วยรักและมิตรภาพ | |
---|---|
กำกับ | สตีเวน สปีลเบิร์ก |
บทภาพยนตร์ | |
เนื้อเรื่อง | |
อำนวยการสร้าง | |
นักแสดงนำ | |
กำกับภาพ | |
ตัดต่อ | |
ดนตรีประกอบ | |
บริษัทผู้สร้าง |
|
ผู้จัดจำหน่าย | |
วันฉาย |
|
ความยาว | 128 นาที |
ประเทศ | |
ภาษา | |
ทุนสร้าง | 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[1] |
ทำเงิน | 219.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[1] |
ด้วยรักและมิตรภาพ เป็นภาพยนตร์อเมริกันแนวคอเมดี้-ดราม่า ออกฉายปี ค.ศ. 2004 กำกับและอำนวยการสร้างโดย สตีเวน สปีลเบิร์ก นำแสดงโดย ทอม แฮงค์ส, แคเธอรีน ซีตา-โจนส์ และ สแตนลีย์ ทุชชี ภาพยนตร์เล่าเรื่องของชายชาวยุโรปตะวันออกคนหนึ่งที่ติดอยู่ในอาคารผู้โดยสารของสนามบินนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี ในนครนิวยอร์ก เมื่อเขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศสหรัฐอเมริกา และไม่สามารถกลับประเทศบ้านเกิดได้เนื่องจากเกิดรัฐประหารทางทหาร
เนื้อเรื่องบางส่วนได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของ เมห์ราน คาริมี นาสเซรี ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในอาคารผู้โดยสารที่ 1 ของสนามบินนานาชาติชาร์ล เดอ โกล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1988 ถึง 2006[2]
หลังจากจบผลงานเรื่อง จับให้ได้ถ้านายแน่จริง (2002) สปีลเบิร์กตัดสินใจสร้าง ด้วยรักและมิตรภาพ เพราะเขาต้องการทำภาพยนตร์ “ที่ทำให้เราหัวเราะ ร้องไห้ และรู้สึกดีเกี่ยวกับโลกใบนี้” เนื่องจากไม่มีสนามบินใดยินยอมให้ใช้สถานที่ถ่ายทำ จึงมีการสร้างฉากสนามบินขึ้นใหม่ทั้งหมดในโรงเก็บเครื่องบินขนาดใหญ่ที่สนามบินแอลเอ/พาล์มเดล โดยฉากภายนอกหลายฉากถ่ายทำที่สนามบินนานาชาติมอนทรีออล–มิราเบล[3]
ภาพยนตร์เข้าฉายในอเมริกาเหนือเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 2004 ได้รับเสียงวิจารณ์ในเชิงบวกโดยทั่วไป และประสบความสำเร็จในด้านรายได้ โดยกวาดรายได้ทั่วโลกไปถึง 219 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เรื่องย่อ
[แก้]วิกเตอร์ นาวอร์สกี นักเดินทางจากประเทศคราโคเชีย เดินทางมาถึงนครนิวยอร์กที่ท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี และพบว่าขณะเขาอยู่บนเครื่องบิน ได้เกิดการรัฐประหารในประเทศของเขา ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่รับรองรัฐบาลใหม่ของคราโคเชีย ส่งผลให้พาสปอร์ตของเขาไม่สามารถใช้งานได้ และเขาไม่สามารถเดินทางเข้าสหรัฐฯ หรือกลับประเทศของตนได้ เจ้าหน้าที่ศุลกากรยึดหนังสือเดินทางและตั๋วเดินทางกลับของเขาไว้จนกว่าจะมีการแก้ไขสถานการณ์ โดยเขายังคงเหลือเพียงสัมภาระและกระป๋องถั่ว Plantersติดตัวอยู่
แฟรงก์ ดิกสัน เจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำท่าอากาศยานซึ่งดำรงตำแหน่งรักษาการ สั่งให้วิกเตอร์อาศัยอยู่ในพื้นที่รอเปลี่ยนเครื่องชั่วคราว แต่เขาก็พยายามจะกำจัดวิกเตอร์โดยพยายามให้เขาเดินออกจากสนามบินอย่างผิดกฎหมาย และพยายามชักชวนให้วิกเตอร์ยื่นขอลี้ภัย แต่วิกเตอร์ปฏิเสธเพราะไม่กลัวที่จะกลับประเทศ
วิกเตอร์พบพื้นที่ก่อสร้างภายในสนามบินและใช้เป็นที่พัก เขาค่อย ๆ เรียนรู้ภาษาอังกฤษจากหนังสือคู่มือท่องเที่ยวนิวยอร์กที่แปลเป็นภาษาของเขา เขาสร้างมิตรภาพกับกุปตะ ราจาน ภารโรงสูงวัยที่ในตอนแรกไม่ค่อยเป็นมิตร ต่อมาวิกเตอร์ก็กลายเป็นเพื่อนกับโจ มัลรอย พนักงานขนสัมภาระผู้ชอบเล่นโป๊กเกอร์โดยใช้ของจากสัมภาระหายเป็นเดิมพัน และเอนริเก้ ครูซ พนักงานส่งอาหารที่ให้วิกเตอร์แลกอาหารฟรีกับการช่วยเขาจีบเจ้าหน้าที่ศุลกากรชื่อโดโลเรส ตอร์เรส
เมื่อแสดงฝีมือในการปรับปรุงกำแพงภายในสนามบิน ผู้รับเหมาจึงเข้าใจว่าวิกเตอร์เป็นแรงงานชั่วคราวและจ่ายค่าแรงให้เขาแบบไม่เป็นทางการ เขาเริ่มมีความสัมพันธ์กับแอร์โฮสเตสชื่ออมีเลีย ซึ่งกำลังคบหากับเจ้าหน้าที่รัฐที่แต่งงานแล้ว
ในระหว่างที่ผู้บังคับบัญชาของดิกสันมาตรวจเยี่ยม เขาขอให้วิกเตอร์ช่วยแปลให้กับชายชาวรัสเซียที่กำลังพยายามนำยากลับไปให้พ่อที่ป่วยหนัก ดิกสันตั้งใจจะปฏิเสธชายคนนั้นเนื่องจากเอกสารไม่ครบ แต่วิกเตอร์กลับช่วยเขาฝ่ากฎ ทำให้ดิกสันโกรธแค้นและอับอายต่อหน้าผู้บังคับบัญชา ซึ่งกลายเป็นเหตุให้เพื่อนร่วมงานเคารพวิกเตอร์มากยิ่งขึ้น
ดิกสันจับตัวอมีเลียมาไต่สวน เธอจึงไปหาวิกเตอร์และรู้ความจริงว่าในกระป๋อง Planters ของเขานั้นเก็บภาพถ่ายชื่อ "A Great Day in Harlem" ซึ่งเป็นภาพนักดนตรีแจ๊ส 57 คนในปี 1958 พ่อของเขาเป็นแฟนแจ๊สที่ตั้งใจจะสะสมลายเซ็นของนักดนตรีทุกคนในภาพ แต่เสียชีวิตไปก่อนจะได้ครบ เหลือเพียงลายเซ็นของเบนนี โกลสัน วิกเตอร์จึงตั้งใจจะมาตามหาลายเซ็นสุดท้ายที่นิวยอร์ก อมีเลียจูบเขาหลังจากได้ฟังเรื่องราว
เก้าเดือนต่อมา สงครามในคราโคเชียยุติลง อมีเลียบอกว่านายทหารที่เธอคบอยู่ได้จัดการให้วิกเตอร์ได้รับวีซ่าฉุกเฉิน 1 วันเพื่อทำภารกิจของเขาให้สำเร็จ แต่เธอก็ตัดสินใจกลับไปคืนดีกับคนรักเก่า
เมื่อวิกเตอร์นำวีซ่าไปแสดงที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ดิกสันต้องเป็นผู้ลงนาม แต่เนื่องจากหนังสือเดินทางของวิกเตอร์ใช้ได้แล้ว ดิกสันพยายามเนรเทศเขากลับประเทศ โดยขู่ว่าหากเขาไม่ยอมกลับ จะสั่งจับเพื่อน ๆ ในสนามบิน รวมถึงเนรเทศกุปตะกลับอินเดียเพื่อลงโทษจากคดีทำร้ายเจ้าหน้าที่ วิกเตอร์จึงยอมขึ้นเครื่อง แต่กุปตะกลับวิ่งตัดหน้าเครื่องบินจนถูกจับกุม ทำให้วิกเตอร์ได้เวลา
วิกเตอร์ตัดสินใจเดินออกจากสนามบิน พนักงานหลายคนมาส่งเขา ดิกสันพยายามสั่งห้ามแต่เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ไม่ยอมขัดขวาง เขาจึงเปลี่ยนใจและสั่งให้เจ้าหน้าที่กลับไปทำงานตามปกติ วิกเตอร์เดินทางไปยังโรงแรมที่โกลสันแสดงอยู่และได้รับลายเซ็นสุดท้าย ก่อนจะเรียกแท็กซี่กลับสนามบินเพื่อเดินทางกลับบ้าน
นักแสดง
[แก้]- ทอม แฮงส์ รับบท วิกเตอร์ นาวอร์สกี
- แคเธอรีน ซีตา-โจนส์ รับบท แอร์โฮสเตส อมีเลีย วอร์เรน
- สแตนลีย์ ทุชชี รับบท แฟรงก์ ดิกสัน รักษาการผู้อำนวยการด่านศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐ
- แบร์รี ชาบากา เฮนลีย์ รับบท เจ้าหน้าที่ศุลกากร จั๊ดจ์ เธอร์แมน
- คูมาร์ พัลลานา รับบท ภารโรง คุปตะ ราจัน
- ดีเอโก ลูนา รับบท พนักงานส่งอาหาร เอ็นริเก้ ครูซ
- ชี แมคไบรด์ รับบท พนักงานขนสัมภาระ โจ มัลรอย
- โซอี ซัลดานา รับบท เจ้าหน้าที่ศุลกากร โดโลเรส ตอร์เรส
- เอ็ดดี โจนส์ รับบท คอมมิชชันเนอร์ ริชาร์ด ซาลชัก
- จูด ซิคโคเลลลา รับบท คาร์ล ไอเวอร์สัน
- คอรีย์ เรย์โนลด์ส รับบท เจ้าหน้าที่ศุลกากร เวย์ลิน
- กิเยร์โม ดิแอซ รับบท บ็อบบี อลิมา
- รีนี เบลล์ รับบท นาเดีย
- วาเลรี นิโคลาเยฟ รับบท มิโลดราโกวิช
- ไมเคิล นูรี รับบท แม็กซ์
- เบนนี โกลสัน รับบท ตัวเขาเอง
- สก็อตต์ แอดซิต รับบท คนขับแท็กซี่
- มาร์ก อิวาเนียร์ รับบท โกแรน
- แดน ฟินเนอร์ตี รับบท คลิฟฟ์
- สตีเฟน เมนเดล รับบท สจ๊วตชั้นเฟิร์สคลาส
การผลิต
[แก้]ไอเดียสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้อาจมีต้นกำเนิดจากเรื่องราวของเมฮ์รอน แครีมี นอเซรี หรือที่รู้จักในชื่อ เซอร์อัลเฟรด ชายอิหร่านที่เป็นผู้ลี้ภัย ซึ่งอาศัยอยู่ในอาคารผู้โดยสารที่หนึ่งของสนามบินชาร์ล เดอ โกลในปารีส ตั้งแต่ปี 1988 ถึง 2006[2][4] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2003 หนังสือพิมพ์ เดอะนิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า สตีเวน สปีลเบิร์ก ได้ซื้อลิขสิทธิ์เรื่องราวชีวิตของนัสเซรีมาเป็นพื้นฐานสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ และในเดือนกันยายน ค.ศ. 2004 หนังสือพิมพ์ เดอะการ์เดียน ก็ระบุว่านัสเซอรีได้รับเงินหลายพันดอลลาร์จากทีมผู้สร้าง[5][6] อย่างไรก็ตาม เอกสารประชาสัมพันธ์ของสตูดิโอไม่ได้กล่าวถึงเรื่องของนัสเซอรีว่าเป็นแรงบันดาลใจของภาพยนตร์ และเนื้อเรื่องก็ไม่มีความคล้ายคลึงกับประสบการณ์ของเขา ภาพยนตร์ฝรั่งเศสปี 1993 เรื่อง Lost in Transit ก็มีพื้นฐานจากเรื่องนี้เช่นกัน ในการตัดสินใจสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ สปีลเบิร์กกล่าวว่า หลังจากกำกับเรื่อง จับให้ได้ถ้านายแน่จริง แล้ว “ผมอยากสร้างภาพยนตร์อีกเรื่องที่ทำให้เราหัวเราะ ร้องไห้ และรู้สึกดีกับโลกใบนี้ ... ตอนนี้คือช่วงเวลาที่เราต้องยิ้มให้มากขึ้น และภาพยนตร์ฮอลลีวูดก็ควรเป็นสิ่งที่ทำหน้าที่นี้ให้กับผู้คนในช่วงเวลาที่ยากลำบาก”[7]
สปีลเบิร์กเดินทางไปทั่วโลกเพื่อหาสนามบินจริงที่อนุญาตให้ถ่ายทำได้ตลอดระยะเวลาการผลิต แต่ไม่พบ จึงสร้างฉากภาพยนตร์ขึ้นภายในอู่เครื่องบินขนาดยักษ์ที่สนามบิน LA/Palmdale Regional อู่แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Plant 42 ของกองทัพอากาศสหรัฐ ซึ่งเคยใช้สร้างเครื่องบินทิ้งระเบิด Rockwell B-1B ฉากภาพยนตร์ถูกสร้างตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยจากแผ่นดินไหว และออกแบบตามสนามบินดึสเซลดอร์ฟ รูปทรงของอาคารในฉากเมื่อมองด้านข้างจะเป็นลักษณะคล้ายปีกเครื่องบิน ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องแรกที่ใช้Spidercam ซึ่งมักใช้ในงานถ่ายทอดสดกีฬา ทำให้สปีลเบิร์กสามารถเก็บภาพมุมกว้างได้ทั่วฉาก การออกแบบฉากภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากจากภาพยนตร์คลาสสิกเรื่อง PlayTime ของฌาค ตาตี ตามคำวิจารณ์ของRoger Ebert และคำกล่าวของสปีลเบิร์กในบทสัมภาษณ์กับนิตยสาร Empire[8]
ทอม แฮงส์ สร้างบุคลิกของตัวละคร วิกเตอร์ นาวอร์สกี จากคุณพ่อภรรยาของเขา อัลลัน วิลสัน ผู้อพยพชาวบัลแกเรียที่สามารถพูดได้ทั้งภาษารัสเซีย, ตุรกี, โปแลนด์, กรีก, อิตาลีนิดหน่อย และฝรั่งเศสนิดหน่อย นอกเหนือจากภาษาบัลแกเรียที่เป็นภาษาแม่ของเขา[9] แฮงส์ยังได้รับความช่วยเหลือจากล่ามภาษาบัลแกเรียด้วย[10]
คราโคเชีย
[แก้]คราโคเชีย (Кракожия) เป็นประเทศสมมติที่สร้างขึ้นในภาพยนตร์ โดยมีลักษณะคล้ายอดีตรัฐของสหภาพโซเวียตหรือรัฐในกลุ่มยุโรปตะวันออก
สถานที่ตั้งที่แน่นอนของคราโคเชียในภาพยนตร์ถูกทำให้คลุมเครือ อย่างไรก็ตามในฉากหนึ่ง แผนที่ของคราโคเชียได้ปรากฏบนหน้าจอโทรทัศน์ของสนามบินในระหว่างรายงานข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้ง แสดงพรมแดนที่ตรงกับมาซิโดเนียเหนือในปัจจุบัน (ซึ่งขณะนั้นรู้จักกันในชื่อ สาธารณรัฐมาซิโดเนียแห่งยูโกสลาเวียเดิม) อย่างไรก็ตามในอีกฉากหนึ่ง วิกเตอร์แสดงใบขับขี่ที่ออกโดยเบลารุส โดยมีชื่อเป็นภาษาชาวอุซเบกิสถาน
จอห์น วิลเลียมส์ ผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์ ได้แต่งเพลงชาติของคราโคเชียด้วย[11]
ตัวละครของแฮงส์พูดภาษาบัลแกเรียเป็นหลักในฐานะภาษาประจำชาติของคราโคเชีย อย่างไรก็ตามในฉากหนึ่งที่เขาช่วยผู้โดยสารชาวรัสเซียเกี่ยวกับปัญหาด้านศุลกากร เขาพูดภาษาสลาฟที่ประดิษฐ์ขึ้นซึ่งมีลักษณะคล้ายภาษาบัลแกเรียและภาษารัสเซีย[12][13] เมื่อวิกเตอร์ซื้อหนังสือคู่มือนิวยอร์กทั้งฉบับภาษาอังกฤษและภาษาแม่ของเขาเพื่อเปรียบเทียบและเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม หนังสือที่เขาใช้ศึกษาเขียนเป็นภาษารัสเซีย
ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงกระบวนการการเรียนรู้ภาษาที่สองอย่างเป็นธรรมชาติได้อย่างแม่นยำพอสมควร ตามคำกล่าวของนักภาษาศาสตร์มาร์ธา ยัง-โชลเท่น[14]
การตอบรับ
[แก้]รายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศ
[แก้]ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ 77.9 ล้านดอลลาร์ในอเมริกาเหนือ และ 141.2 ล้านดอลลาร์ในพื้นที่อื่น ๆ รวมรายได้ทั่วโลกอยู่ที่ 219.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ[1]
ในสุดสัปดาห์เปิดตัว ภาพยนตร์ทำรายได้ไป 19.1 ล้านดอลลาร์ ติดอันดับสองในบ็อกซ์ออฟฟิศ และทำรายได้เพิ่มอีก 13.1 ล้านดอลลาร์ในสุดสัปดาห์ถัดมา โดยลดลงมาอยู่อันดับสาม
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 ด้วยรักและมิตรภาพ ที่บ็อกซ์ออฟฟิศโมโจ
- ↑ 2.0 2.1 Gilsdorf, Ethan (June 21, 2004). "Behind 'The Terminal, ' a true story". The Christian Science Monitor. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 2, 2015. สืบค้นเมื่อ December 5, 2010.
- ↑ "The Terminal (2004) - Filming & Production". IMDb.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-09. สืบค้นเมื่อ 2022-11-08.
- ↑ Duncan Walker, "Life in the lounge" เก็บถาวร 2009-02-21 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, BBC News Online Magazine, August 17, 2004.
- ↑ Matthew Rose, "Waiting For Spielberg" เก็บถาวร 2009-02-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, The New York Times, September 21, 2003. Retrieved June 12, 2008.
- ↑ Berczeller, Paul (September 6, 2004). "The man who lost his past". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 9, 2007. สืบค้นเมื่อ May 5, 2007.
- ↑ Total Film (September 1, 2004). "The Total Film Interview – Steven Spielberg". GamesRadar+. Future. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 16, 2018. สืบค้นเมื่อ March 16, 2018.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อEbert
- ↑ "Season 12 Episode 9". Inside the Actors Studio. Bravo. 14 May 2016. Television.
- ↑ "Tom Hanks' character in The Terminal speaks Bulgarian" เก็บถาวร 2021-03-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, YouTube.
- ↑ Clemmensen, Christian (June 10, 2004). The Terminal. เก็บถาวร 2021-07-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน soundtrack review at Filmtracks.com
- ↑ "Learn Bulgarian with Tom Hanks". 16 February 2020. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-04-08. สืบค้นเมื่อ 2025-05-25 – โดยทาง YouTube.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "plot explanation – What does Viktor Navorski say to Milodragovich in Bulgarian?". Movies & TV Stack Exchange. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-11-05. สืบค้นเมื่อ 2021-01-27.
- ↑ Young-Scholten, Martha. "Hollywood: smarter than you think? Maybe". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 27, 2011. สืบค้นเมื่อ December 25, 2007. Abstract for talk given at the University of Leeds Department of Linguistics and Phonetics, April 26, 2006.