ข้ามไปเนื้อหา

ฌ็อง เดอ ลัทร์ เดอ ตาซีญี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ฌ็อง เดอ ลัทร์ เดอ ตาซีญี
นายพล เดอ ลัทร์ ในปี ค.ศ. 1946
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
ฌ็อง โฌแซ็ฟ มารี กาเบรียล เดอ ลัทร์ เดอ ตาซีญี

2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1889(1889-02-02)
Mouilleron-en-Pareds, ฝรั่งเศส
เสียชีวิต11 มกราคม ค.ศ. 1952(1952-01-11) (62 ปี)
ปารีส, ฝรั่งเศส
ญาติBernard de Lattre de Tassigny
รางวัลเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์
ชื่อเล่นLe Roi Jean ("King John")
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง
รับใช้ ฝรั่งเศส
 ฝรั่งเศสเขตวีชี
 ฝรั่งเศสเสรี
ประจำการ1911–1952
ยศจอมพลแห่งฝรั่งเศส (posthumous)
พลเอกทหารบก
บังคับบัญชา
ผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
Rif War
สงครามโลกครั้งที่สอง
สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง

ฌ็อง โฌแซ็ฟ มารี กาเบรียล เดอ ลัทร์ เดอ ตาซีญี (ฝรั่งเศส: Jean Joseph Marie Gabriel de Lattre de Tassigny) เป็นพลเอกทหารบกฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง, สงครามโลกครั้งที่สอง และ สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง เขาได้รับยศจอมพลแห่งฝรั่งเศสภายหลังจากได้เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1952

ในฐานะเจ้าหน้าที่นายทหาร(officer) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้ต่อสู้ในการรบในสมรภูมิต่าง ๆ รวมทั้งที่แวร์เดิง และได้รับบาดเจ็บถึงห้าครั้ง มีการกล่าวถึงว่าเขาได้รอดชีวิตจากสงครามถึงแปดครั้ง ทำให้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ และ Military Cross ในสมัยระหว่างสงคราม เขาเข้าร่วมในสงครามริฟ(Rif War) ในโมร็อกโก ซึ่งเขาได้รับบาดเจ็บในการรบอีกครั้ง เขาได้เข้าทำงานในกระทรวงสงครามและเสนาธิการทหารแห่งสภาสงครามสูงสุด, (Conseil supérieur de la guerre, CSG) ทำงานภายใต้รองประธาน พลเอกทหารบก Maxime Weygand

ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง จากเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 เขาได้เป็นนายพลฝรั่งเศสที่อายุน้อยที่สุด เขาได้นำกองพลในช่วงยุทธการที่ฝรั่งเศส ในสมรภูมิที่ Rethel, Champagne-Ardenne, และ Loire และจนกระทั่งการสงบศึก 22 มิถุนายน ค.ศ. 1940 ในช่วงระบอบวิชี เขายังคงอยู่ในกองทัพสงบศึก(Armistice Army) ครั้งแรกในหน้าที่กองบัญชาการระดับภูมิภาค จากนั้นก็เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในตูนิเซีย ภายหลังกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรได้ยกพลขึ้นบกในแอฟริกาเหนือ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1942 เยอรมันได้เข้ารุกรานเขตเสรี เดอ ลัทร์ ผู้บัญชาการทหารกองพลทหารที่ 16 ที่เมืองมงเปอลีเยได้ขัดคำสั่งไม่ให้ต่อสู้กับฝ่ายเยอรมัน และเป็นนายพลที่แข็งกร้าวเพียงคนเดียวที่ออกคำสั่งให้กองกำลังทหารทำการต่อต้านผู้รุกราน เขาถูกจับกุมแต่หลบหนีมาได้และแปรพักตร์ให้กับฝรั่งเศสเสรีของชาร์ล เดอ โกล เมื่อปลายปี ค.ศ. 1943 ตั้งแต่ ค.ศ. 1943 ถึง ค.ศ. 1945 เขาได้เป็นหนึ่งในผู้นำระดับอาวุโสของกองทัพปลดปล่อย โดยทำหน้าที่บัญชาการกองกำลังที่กำลังยกพลขึ้นบกทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1944 จากนั้นก็ได้เข้าต่อสู้รบไปจนถึงแม่น้ำไรน์และดานูบ เขาได้บัญชาการกองกำลังทหารอเมริกันจำนวนมาก เมื่อกองทัพน้อยสหรัฐที่ 21 ได้รับมอบหมายให้เป็นกองทัพที่ 1 ของเขาในช่วงสมรภูมิรบที่กอลมาร์พ็อกเกต เขายังได้เป็นผู้แทนฝรั่งเศสในการลงนามตราสารยอมจำนนของเยอรมนีในกรุงเบอร์ลิน เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1945

เขาได้กลายเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองกำลังฝรั่งเศสในเยอรมนีใน ค.ศ. 1945 จากนั้นได้เป็นผู้ตรวจการกองทัพ และหัวหน้าคณะเสนาธิการแห่งกองทัพฝรั่งเศส ในเดือนมีนาคม ค.ศ. เขาได้กลายเป็นรองประธานของ CSG ตั้งแต่ ค.ศ. 1948 ถึง ค.ศ. 1950 เขาได้ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองกำลังสหภาพตะวันตก(Western Union) ใน ค.ศ. 1951 เขาได้เป็นข้าหลวงใหญ่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในอินโดจีนและผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพน้อยรบนอกประเทศตะวันออกไกลของฝรั่งเศส สามารถเอาชนะสงครามกับพวกเหวียตมิญมาหลายครั้ง ลูกชายเพียงคนเดียวของเขาก็ถูกสังหารที่นั่น จากนั้นก็ได้ล้มป่วยลงทำให้เขาต้องเดินทางกลับไปยังปารีสซึ่งเขาได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งใน ค.ศ. 1952 เขาได้รับยศเป็นจอมพลแห่งฝรั่งเศสหลังมรณกรรมใน ค.ศ. 1952 ในช่วงพิธีงานศพของเขา