ซัลวาโตเร สกิลลาชี
ข้อมูลส่วนตัว | |||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | ซัลวาโตเร่ สกิลลาชี[1] | ||||||||||||||||
วันเกิด | 1 ธันวาคม ค.ศ. 1964[2] | ||||||||||||||||
สถานที่เกิด | ปาแลร์โม, อิตาลี | ||||||||||||||||
วันเสียชีวิต | 18 กันยายน ค.ศ. 2024 | (59 ปี)||||||||||||||||
สถานที่เสียชีวิต | ปาแลร์โม, อิตาลี | ||||||||||||||||
ส่วนสูง | 1.75 เมตร (5 ฟุต 9 นิ้ว) | ||||||||||||||||
ตำแหน่ง | กองหน้า | ||||||||||||||||
สโมสรเยาวชน | |||||||||||||||||
1981 | AMAT Palermo | ||||||||||||||||
สโมสรอาชีพ* | |||||||||||||||||
ปี | ทีม | ลงเล่น | (ประตู) | ||||||||||||||
1982–1989 | เมสซีนา | 219 | (61) | ||||||||||||||
1989–1992 | ยูเวนตุส | 90 | (26) | ||||||||||||||
1992–1994 | อินเตอร์มิลาน | 30 | (11) | ||||||||||||||
1994–1997 | จูบิโล อิวาตะ | 78 | (56) | ||||||||||||||
รวม | 417 | (154) | |||||||||||||||
ทีมชาติ | |||||||||||||||||
1989 | อิตาลี รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี | 1 | (0) | ||||||||||||||
1989 | อิตาลี บี[3] | 1 | (0) | ||||||||||||||
1990–1991 | อิตาลี | 16 | (7) | ||||||||||||||
เกียรติประวัติ
| |||||||||||||||||
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น |
ซัลวาโตเร่ สกิลลาชี OMRI (อิตาลี: Salvatore Schillaci, 1 ธันวาคม 1964 – 18 กันยายน 2024), รู้จักกันทั่วไปในชื่อ โตโต้ สกิลลาชี,[4][5] เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวอิตาลี ซึ่งเล่นในตำแหน่งกองหน้า ในช่วงอาชีพของเขา เขาเคยเล่นให้กับเมสซีนา (1982–1989), ยูเวนตุส (1989–1992), อินเตอร์มิลาน (1992–1994) และจูบิโล อิวาตะ (1994–1997)[6]
ในระดับทีมชาติ สกิลลาชีคือดาวเซอร์ไพรส์ใน ฟุตบอลโลก 1990 โดยเขาช่วยให้ทีมชาติอิตาลี จบอันดับที่ 3 ในบ้านเกิด สกิลลาชีลงเล่นเป็นตัวสำรองในเกมแรกของอิตาลี และยิงไป 6 ประตูตลอดการแข่งขันโดยคว้ารางวัลรองเท้าทองคำในฐานะผู้ทำประตูสูงสุด [7] และคว้ารางวัลลูกบอลทองคำ ในฐานะผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์[8] แซงหน้าโลทาร์ มัทเทอุส และดิเอโก มาราโดนา ซึ่งได้อันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ ในปีนั้น เขายังได้อันดับที่สองในรางวัลบาลงดอร์ 1990 ตามหลังมัทเทอุส[6]
ระดับสโมสร
[แก้]สกิลลาชีเกิดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 1964 ในเมืองปาแลร์โม ประเทศอิตาลี[2] จากครอบครัวที่ยากจน สกิลลาชีเริ่มเล่นให้กับทีมสมัครเล่นในบ้านเกิดของเขาอย่าง อามัต ปาแลร์โม ซึ่งเป็นทีมฟุตบอลของบริษัทขนส่งในท้องถิ่นที่มีชื่อเดียวกัน[9] จากนั้นเขาก็เซ็นสัญญากับสโมสรเมสซีนาในปี 1982 โดยเขาเล่นอยู่ที่นั่นจนถึงปี 1989 และได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำประตู โดยที่โดดเด่นที่สุดคือการคว้ารางวัลผู้ทำประตูสูงสุดของเซเรียบีในฤดูกาล 1988–89 ด้วยจำนวน 23 ประตูจากนั้นเขาก็ย้ายไปร่วมทีมยูเวนตุส และประเดิมสนามในเซเรียอาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 1989[10] ยูเวนตุส “หญิงชรา” ของวงการฟุตบอลอิตาลี กำลังประสบกับความแตกแยกหลังจากที่เคยครองวงการฟุตบอลอิตาลีในช่วงทศวรรษ 1980 ภายใต้การคุมทีมของโจวันนี ตราปัตโตนี การมาถึงของสกิลลาชีเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่ทีมกำลังฟื้นตัวกลับมาสู่ฟอร์มที่ดีภายใต้การนำของดิโน ซอฟฟ์ อดีตผู้รักษาประตูในตำนานของยูเวนตุส เขาได้ลงเล่นอย่างโดดเด่นให้กับสโมสรจากตูรินในฤดูกาลนั้น โดยทำประตูในลีกได้ 15 ประตูและ 21 ประตูในทุกรายการในปีที่ยอดเยี่ยมซึ่งสิ้นสุดลงด้วยการที่ยูเวนตุสคว้าแชมป์ทั้งโกปปาอีตาเลียและยูฟ่าคัพ เนื่องจากสไตล์การรุกที่ชาญฉลาด สร้างสรรค์ และก้าวร้าวของเขา เขาจึงได้รับเลือกจาก Azeglio Vicini หัวหน้าโค้ชของอิตาลีให้ลงเล่นในฟุตบอลโลก 1990 ซึ่งอิตาลีเป็นเจ้าภาพเอง แม้ว่าเขาจะเป็นหน้าใหม่ในสนามแข่งขันระดับทีมชาติก็ตาม[4][6][9]
หลังจากฟุตบอลโลก 1990 สิ้นสุดลง สกิลลาชีได้ลงเล่นให้กับยูเวนตุสอีก 2 ปี ร่วมกับโรแบร์โต บัจโจ เพื่อนร่วมทีมชาติอิตาลี ก่อนจะย้ายไปร่วมทีม อินเตอร์มิลาน[11] ท้ายที่สุด สกิลลาชีก็ไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังของแฟน ๆ อินเตอร์รวมไปถึงแฟนบอลยูเวนตุสได้ เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่เขาได้รับหลังจากฤดูกาล 1990 ในปี 1994 เขาย้ายไปร่วมทีมจูบิโล อิวาตะของญี่ปุ่น กลายเป็นผู้เล่นชาวอิตาลีคนแรกที่ได้เล่นในเจลีก และคว้าแชมป์เจลีกร่วมกับสโมสรในปี 1997[4][12] เขาเลิกเล่นในปี 1999[9]
ระดับทีมชาติ
[แก้]สกิลลาชีลงเล่นให้กับทีมชาติอิตาลีรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 1990 และได้ลงเล่นให้กับทีมชาติอิตาลี ชุดใหญ่ครั้งแรกภายใต้การคุมทีมของอาเซกลิโอ วิชินี ในเกมกระชับมิตรที่เอาชนะสวิตเซอร์แลนด์ ไป 1–0 ที่เมืองบาเซิล[13] ต่อมาเขาถูกเรียกตัวให้ติดทีมชาติอิตาลีไปแข่งขันฟุตบอลโลก 1990 ที่จัดขึ้นในประเทศบ้านเกิด[14]
ในฟุตบอลโลก 1990 สกิลลาชีลงมาแทนที่อันเดรีย คาร์เนวาเล ในนัดแรกของอิตาลีที่พบกับ ออสเตรีย[15] เขายิงประตูสำคัญช่วยให้อิตาลีชนะไปด้วยสกอร์ 1–0[16] ในเกมที่พบกับเชโกสโลวาเกียเขาประสานงานร่วมกับโรแบร์โต บัจโจ อิตาลีชนะ 2–0 โดยบัจโจและสกิลลาชียิงประตูได้ทั้งคู่[17] สกิลลาชีลงสนามเคียงข้างบัจโจในสองนัดถัดมาของอิตาลีในรอบ 16 ทีมสุดท้าย และยังเป็นผู้ทำประตูแรกในรอบ 16 ทีมสุดท้ายและรอบก่อนรองชนะเลิศเมื่อพบกับอุรุกวัย[18] และสาธารณรัฐไอร์แลนด์ตามลำดับ[19] และยังจ่ายบอลให้อัลโด เซเรน่าทำประตูใส่อุรุกวัย[20]
สำหรับรอบรองชนะเลิศที่เจอกับแชมป์เก่าอย่างอาร์เจนตินา จันลูกา วีอัลลีได้ลงเล่นแทนบัจโจในตัวจริง ขณะที่สกิลลาชียังคงรักษาตำแหน่งของเขาในชุดตัวจริงไว้ได้ การแข่งขันจบลงด้วยผล 1–1 โดยสกิลลาชียิงประตูที่ 5 ของเขาในทัวร์นาเมนต์นี้แต่สุดท้ายอิตาลีก็ตกรอบด้วยการดวลจุดโทษ ซึ่งเขาปฏิเสธที่จะยิงจุดโทษโดยอ้างว่าได้รับบาดเจ็บ
หลังจากบัจโจยิงประตูขึ้นนำแล้ว สกิลลาชีก็ยิงประตูชัยให้อิตาลีชนะอังกฤษ 2–1 ในนัดชิงอันดับที่ 3 จากการดวลจุดโทษ[21] และคว้ารางวัลรองเท้าทองคำ[7] ด้วยจำนวน 6 ประตู รวมถึงรางวัลลูกบอลทองคำ สำหรับผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์[8] โดยรวมแล้ว เขาทำได้ 7 ประตูจากการลงเล่น 16 นัดให้กับทีมชาติอิตาลีระหว่างปี 1990 ถึง 1991 โดยยิงประตูได้เพียงประตูเดียวให้กับทีมชาติอิตาลีในเกมเยือนที่พ่าย 2–1 ให้กับนอร์เวย์ในปี 1991 ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1992 รอบคัดเลือก[22]
รูปแบบการเล่น
[แก้]สกิลลาชีเป็นกองหน้าตัวเล็ก มีความเร็ว แข็งแกร่ง และคล่องตัว มีสายตาที่มุ่งมั่นและมีเทคนิคที่ยอดเยี่ยม สกิลลาชีเป็นผู้เล่นที่ทำประตูได้มากมาย เชื่อถือได้ และฉวยโอกาส เขาเป็นที่รู้จักโดยเฉพาะในเรื่องการคาดการณ์ ปฏิกิริยา และความรู้สึกในตำแหน่งที่ยอดเยี่ยม ซึ่งควบคู่ไปกับการเร่งความเร็วทำให้เขาสามารถวิ่งเข้าโจมตีเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้เพื่อแย่งบอลในพื้นที่ได้ ทำให้เขามีชื่อเสียงว่ามักจะ "อยู่ถูกที่ในเวลาที่เหมาะสม"[23] เขามีความสามารถในการจบสกอร์ได้ดีทั้งในและนอกกรอบเขตโทษ ตลอดจนการวอลเลย์ด้วยลูกยิงที่ทรงพลัง และทำประตูได้ทั้งหัวและเท้าแม้ว่าจะไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษในลูกกลางอากาศ นอกจากนี้ เขายังมีความแม่นยำในลูกตั้งเตะและการยิงจุดโทษอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย แม้ว่าเขาจะเป็นที่รู้จักในเรื่องรูปแบบการเล่นที่เห็นแก่ตัวและตามสัญชาตญาณ แต่เขายังสามารถเล่นร่วมกับเพื่อนร่วมทีมได้ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนจ่ายบอลที่โดดเด่นเป็นพิเศษก็ตาม เนื่องจากความสามารถในการทำประตูของเขา ฟรานเชสโก สโกลิโอ อดีตผู้จัดการทีมเมสซีนาได้บรรยายถึงเขาโดยกล่าวว่า "เขาไม่เคยเห็นผู้เล่นคนไหนที่อยากทำประตูได้มากเท่าเขามาก่อน"[4][6][24][25][26][27][28]
เลิกเล่น
[แก้]สกิลลาชีเลิกเล่นในปี 1999 เขาเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของเขาที่เมืองปาแลร์โม ซึ่งเขาเป็นเจ้าของสถาบันสอนฟุตบอลเยาวชน
เขาปรากฏตัวเป็นแขกรับเชิญในรายการ Craig Doyle Live ระหว่างการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012[29] สตีเวน พีนาร์อดีตกัปตันทีมชาติแอฟริกาใต้ได้รับฉายาว่า ชิลโล ตามชื่อของสกิลลาชี[30]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Schillaci Sig. Salvatore" [Schillaci Mr. Salvatore]. Quirinale (ภาษาอิตาลี). Presidenza della Repubblica Italiana. สืบค้นเมื่อ 13 December 2020.
- ↑ 2.0 2.1 "Salvatore Schillaci". FBref.com.
- ↑ Courtney, Barrie (22 May 2014). "England – International Results B-Team – Details". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. สืบค้นเมื่อ 21 April 2017.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 Bedeschi, Stefano (1 December 2013). "Gli eroi in bianconero: Salvatore SCHILLACI" (ภาษาอิตาลี). Tutto Juve. สืบค้นเมื่อ 23 July 2015.
- ↑ "Salvatore Schillaci: A story that will burn forever in memory of those who experienced it". BBC Sport. 18 September 2024.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 "Salvatore Schillaci". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-12. สืบค้นเมื่อ 12 November 2014.
- ↑ 7.0 7.1 "World Cup 1990 – Scorers' list". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 May 2011. สืบค้นเมื่อ 20 December 2015.
- ↑ 8.0 8.1 Pierrend, José Luis (12 February 2015). "FIFA Awards: FIFA World Cup Golden Ball Awards". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 January 2016. สืบค้นเมื่อ 20 December 2015.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 Clemente Angelo Lisi (2011). "A History of the World Cup, 1930–2010". p. 220. Scarecrow Press, 2011.
- ↑ "Ciao Totò Schillaci, the wide-eyed dreamer who stole Italian hearts". Guardian. 19 September 2024. สืบค้นเมื่อ 19 September 2024.
- ↑ "e' ufficiale: Schillaci all' Inter per 9 miliardi". Corriere della Sera (ภาษาอิตาลี). 26 June 1992. p. 1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 August 2011.
- ↑ "Schillaci, Accoglienza Da Star in Giappone – La Repubblica". Ricerca.repubblica.it (ภาษาอิตาลี). 15 April 1994.
- ↑ "31 Marzo 1990, la prima "notte magica" di Schillaci: l'esordio con l'Italia" [31 March 1990, Schillaci's first "magical night": his debut with Italy]. TuttoSport (ภาษาอิตาลี). 31 March 2020.
- ↑ McNulty, Phil. "'Schillaci's story will burn forever in memory of all who experienced it'". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 18 September 2024.
- ↑ Vecsey, George. "Italy Edges Austria". New York Times. สืบค้นเมื่อ 18 September 2024.
- ↑ McNulty, Phil. "'Schillaci's story will burn forever in memory of all who experienced it'". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 18 September 2024.
- ↑ "Italia 2–0 Cecoslovacchia: E lo Stadio urlò: è nato il genio che ci farà felici". Storie di Calcio (ภาษาอิตาลี). สืบค้นเมื่อ 26 June 2014.
- ↑ "Italia 2–0 Uruguay: Un Serena per amico". Storie di Calcio (ภาษาอิตาลี). สืบค้นเมื่อ 26 June 2014.
- ↑ "Italia 1–0 Eire: Schillaci ci prende gusto". Storie di Calcio (ภาษาอิตาลี). สืบค้นเมื่อ 26 June 2014.
- ↑ "Italy Reaches Semifinals". The New York Times. 1 July 1990. สืบค้นเมื่อ 18 June 2013.
- ↑ "Schillaci: "Vi racconto la mia avventura interista" | Palermo Calcio". Mediagol.It (ภาษาอิตาลี). 29 October 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 July 2011.
- ↑ "FIGC – Nazionale in cifre: Schilacci, Salvatore". figc.it (ภาษาอิตาลี). FIGC. สืบค้นเมื่อ 22 April 2015.
- ↑ Horncastle, James (30 May 2014). "World Cup 2014: Ciro Immobile is primed and ready to be Italy's new Toto Schillaci". The Telegraph. สืบค้นเมื่อ 4 January 2016.
- ↑ "Salvatore SCHILLACI". Il Pallone Racconta (ภาษาอิตาลี). 1 December 2014. สืบค้นเมื่อ 23 July 2015.
- ↑ O'Callaghan, Eoin (19 June 2015). "'Don't wake me up, let me enjoy the dream': The eternal sadness of Toto Schillaci". The 42. สืบค้นเมื่อ 23 July 2015.
- ↑ "Totò Schillaci" (ภาษาอิตาลี). 12 August 2013. สืบค้นเมื่อ 23 July 2015.
- ↑ Hunt, Chris (4 June 2014). "Salvatore Schillaci on Italia 90: 'When Italy went out I spent two hours smoking and crying'". Four Four Two. สืบค้นเมื่อ 4 January 2016.
- ↑ Badolato, Franco (6 January 1994). "Lo zar: di Van Basten ce n'è uno". La Stampa (ภาษาอิตาลี). p. 26. สืบค้นเมื่อ 17 November 2018.
- ↑ "Schillaci set to join Craig Doyle tonight". RTÉ. 8 June 2012. สืบค้นเมื่อ 8 June 2012.
- ↑ Landheer, Ernest (11 June 2008). "Pienaar: "South Africa Must Create A Family Unit"". mtnfootball.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 December 2013. สืบค้นเมื่อ 22 December 2012.