ข้ามไปเนื้อหา

ซัมปอต

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ซัมปอต[1] หรือ สมปัต[2] หรือ สมพต[3] (เขมร: សំពត់, อักษรโรมัน: saṃba't เสียงอ่านภาษาเขมร: [sɑmpɔt], ไทย: สมปัก, ถมปัก, สองปัก, ถกเขมร[3][4][2], อังกฤษ: Sampot[5], ฝรั่งเศส: Langouti[6]) เป็นชุดประจำชาติของประเทศกัมพูชาที่ได้รับอิทธิพลมาจากผ้าปาโตลาของอินเดีย[7][8] มีหลายแบบแตกต่างกันไปตามชนชั้นทางสังคมของชาวกัมพูชา ทำจากไหมหรือฝ้ายหรือทั้งสองชนิดรวมกัน ใช้สวมคาดทับเสื้อบริเวณเอวคล้ายกับผ้าในประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งผ้านุ่งในประเทศไทยและลาว โสร่งมาเลย์ ผ้าโลนจี (longyi) ในพม่า ผ้าลุงกี้ (lungi) และผ้าโธตี (dhoti) ในอินเดีย[9]

นางรำชาวเขมรสวมใส่ซัมปอต (รูปแบบในสมัยที่อยู่ภายใต้การปกครองของสยาม)

ศัพทมูลวิทยา

[แก้]

คำว่า ซัมปอต (เขมร: សំពត់, อักษรโรมัน: saṃba't, /sɑmpʊət/)[10] เป็นคำเขมรสมัยใหม่[11] หมายถึง ผ้าเตี่ยว ผ้านุ่งสะโพก ผ้านุ่งสั้นเหนือเข่าหรือโสร่ง[12][13][14] มีรากศัพท์เดิมว่า *bat, *vat (บิด งอ) → ba't /bɔt → puǝt/ (ทำให้เป็นวงกลม ล้อมรอบ) → *sbata /sbɔt/ (คาด พัน ห่อหุ่มลำตัว)[11] แล้วแผลงเป็นคำสมัยหลังเมืองพระนครว่า sabvata, saṃbata, saṃbata, saṃbūta, sambata, sambattha, saṃmbuta /sɔṃbǝt, saṃput, saṃbat/ → saṃba't, sampot[10] แปลว่า ผ้านุ่งโสร่ง พบในกลุ่มจารึกนครวัดสมัยหลังเมืองพระนคร (Inscription Modern Angkor Wat: IMA) อายุคริสต์ศตวรรษที่ 16–18 ดังนี้

  • sabvatasaṃba't, sampot พบในจารึกหลักที่ IMA 4C บรรทัดที่ 21 อายุ ค.ศ. 1599[10]
  • saṃbata, saṃbatasaṃba't, sampot พบในจารึกหลักที่ IMA 4C บรรทัดที่ 21 อายุ ค.ศ. 1599 และหลักที่ IMA 39 บรรทัดที่ 68 อายุ ค.ศ. 1747[10]
  • saṃbūtasaṃba't, sampot พบในจารึกหลักที่ IMA 4B บรรทัดที่ 23 อายุ ค.ศ. 1599[10]
  • sambatasaṃba't, sampot พบในจารึกหลักที่ IMA 10 บรรทัดที่ 18 อายุ ค.ศ. 1628[10]
  • sambatthasaṃba't, sampot พบในจารึกหลักที่ IMA 31B บรรทัดที่ 6 อายุ ค.ศ. 1684[10]
  • saṃmbutasaṃba't, sampot พบในจารึกหลักที่ IMA 37 บรรทัดที่ 8 อายุ ค.ศ. 1701[10]

คำว่า ซัมปอต (ซอมป็วต สมปต สํพต)[15][16] ตรงกับคำภาษาไทยว่า สมปัก[17] หรือ ถมปัก[4] ซึ่งเป็นคำยืมมาจากภาษาเขมร[18]

อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏคำ ซัมปอต ในจารึกสมัยก่อนเมืองพระนคร (สมัยฟูนันและเจนละ) มีเพียงคำว่า canlek, caṅlek, caṃnlek, canlyak แปลว่า ผ้า ผ้าคลุมส่วนล่างหรือโสร่ง แผลงเป็นคำเขมรสมัยเมืองพระนครว่า canlyak, canlyāk, canlyākk แล้วแผลงเป็นคำเขมรสมัยใหม่ว่า Saṃliak[19] (เขมร: សេលៀក)

รามันลาล นาการ์จี เมห์ธา (R.N. Mehta) นักโบราณคดีชาวอินเดียตั้งข้อสังเกตว่า ซัมปอต โฮล (sampat-hol) ในภาษาเขมรใช้เรียกกรรมวิธีการทออย่างผ้าปาโตลาอาจเทียบได้กับคำสันสกฤตว่า สัมปาโตลา (sam-patola) แปลว่า "เหมือนอย่างปาโตลา" หากคำเขมรดังกล่าวมาจากภาษาสันสกฤตก็มีแนวโน้มสูงว่าวิธีการทออาจมาจากที่นั่นโดยผู้อพยพชาวฮินดูระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3–4 มาแล้ว[20]

ประวัติ

[แก้]

สมัยฟูนัน (68—550)

[แก้]
คณะทูตจากอาณาจักรฟูนันประจำราชวงศ์เหลียงสวมชุดซัมปอต-โจงกระเบน โดยจิตรกรกูเต๋อเฉียนแห่งราชวงศ์ถังใต้ (คริสต์ศักราช 937–976)

ผ้านุ่งในสมัยฟูนันปรากฏใน จดหมายเหตุจีนสมัยราชวงศ์ฮั่น กล่าวถึงคณะราชทูตจีนคังไถ (Kang Tai) กับจูยิง (Chu Ying) เดินทางไปอาณาจักรฟูนานในรัชสมัยพระเจ้าฟันซุน (Fan Hsun) คังไถพยายามโน้มน้าวพระเจ้าฟันซุน กษัตริย์อาณาจักรฟูนานให้ทรงตรากฤษฎีกาสั่งให้ผู้ชายสวมเสื้อผ้าและรับผ้าเอาไปนุ่งรอบเอวซึ่งต่อมาบัดนี้คือชุดซัมปอดชาวเขมรในปัจจุบัน[21] แม็กเวลล์ (Maxwell) กล่าวว่า แม้ไม่สามารถชี้ชัดว่าเป็นผ้าของชาวฮั่นแต่ประเพณีการสวมใส่เสื้อผ้าจำพวกไหมนั้นมาจากดินแดนตอนเหนืออย่างไม่ต้องสงสัย[22]

สมัยเจนละ (550—802)

[แก้]

จิลเลียน กรีน (Gillian Green) นักวิชาการด้านสิ่งทอและภัณฑารักษ์กล่าวว่าประวัติผ้านุ่งของเขมรสืบย้อนกลับไปได้ถึงสมัยเจนละ[23] และตาม บันทึกว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของเจนละ ของโจว ต๋ากวาน นักการทูตชาวจีนสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1279–1368) ซึ่งเดินทางมายังเจนละในรัชสมัยพระเจ้าศรีนทรวรมันที่ 1 (อินทรวรมันที่ 3) โจว ต๋ากวานเขียนบันทึกผ้านุ่งของราชสำนักเจนละเมื่อ ค.ศ. 1296–7 ไว้ว่า:–

ตั้งแต่กษัตริย์เจนละลงมาตลอดจนทั้งชายและหญิงต่างก็รวบผมเป็นปมและเปลือยกายถึงเอว มีเพียงผ้านุ่งห่อตัวเท่านั้น เมื่อพวกเขาออกไปด้านนอกก็จะพันผ้าชิ้นใหญ่ทับผ้าชิ้นเล็กล้วนมีหลายประเภท วัสดุบางอย่างที่กษัตริย์ทรงสวมใส่ล้วนสง่างามและงดงามมาก ประดับด้วยทองคำอันล้ำค่าหนักสามหรือสี่ออนซ์ต่อชิ้น ถึงแม้ว่าในท้องถิ่นจะมีการทอผ้าแต่ผ้านุ่งก็ยังมาจากสยามและจามปาด้วย[24]

— โจว ต๋ากวาน

จิลเลียน กรีน ระบุว่าการทอผ้าในแว่นแคว้นเจนละเป็นฝีมือของกลุ่มชาติพันธุ์ขแมร์ลือ (เขมรบนหรือเขมรสูง) ซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่บนภูเขาในพื้นที่ห่างไกลจากจังหวัดรัตนคีรี ประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน[11] ทว่าการวิเคราะห์ของจิลเลียน กรีน แตกต่างออกไปจากบันทึกของโจว ต๋ากวาน ซึ่งบันทึกว่าผ้าไหมต่าง ๆ นำเข้าและแปรรูปโดยชาวสยามตั้งแต่สมัยเมืองพระนครแล้ว[25] ส่วนประวัติศาสตร์ฝ่ายเขมรอ้างว่าชาวจังหวัดตาแก้วในประเทศกัมพูชามีการทอผ้าไหมเรียกว่า ซอต (Sot silk) (เขมร: សោត) และจากหลักฐานบันทึกร่วมสมัยของโจว ต๋ากวาน รวมไปถึงจำหลักภาพนูนต่ำต่าง ๆ ชี้ให้เห็นว่าชาวตาแก้วใช้กี่ทอผ้าซัมปอตมาตั้งแต่สมัยโบราณย้อนไปถึงสมัยอาณาจักรฟูนาน[8]

อย่างไรก็ตามบันทึกของโจว ต๋ากวาน บันทึกแตกต่างออกไปว่า:–

ชาวพื้นเมือง (ขอม) ไม่ชอบเลี้ยงตัวไหมหรือปลูกหม่อน ผู้หญิงก็ไม่รู้จักการเย็บผ้าการตัดเสื้อหรือปะชุน เขารู้จักแต่เพียงการทอผ้าด้วยฝ้ายและไม่รู้จักการปั่นด้ายด้วยล้อหมุน สําหรับด้ายนั้นเขาก็ทําด้วยแกนซึ่งหมุนด้วยมือพวกนี้ไม่รู้จักเครื่องทอผ้า และเขาก็มักผูกด้านหนึ่งของเส้นด้ายเข้ากับเข็มขัดของเขา และทอด้วยมือมาจากอีกด้านหนึ่ง (เข้าใจว่าคงจะเป็นกี่เอว) สําหรับกระสวยเขาก็ใช้ชิ้นไม้ไผ่[26]

— โจว ต๋ากวาน

ผ้านุ่งในสมัยเจนละตามที่ปรากฏในจารึกสมัยก่อนเมืองพระนครเรียกว่า canlek หรือ caṃnlek[19] ปรากฏในจารึกภาษาสันสกฤตปะปนกับเขมรเก่าอายุร่วมสมัยฟูนันและเจนละ เช่น จารึกปราสาทปรำโลเวง (หลักที่ K.7 บรรทัด 7 อายุ ค.ศ. 578–777) จังหวัดด่งทับ ประเทศเวียดนาม จารึกวัดจำนวม (หลักที่ K.30 บรรทัด 24 อายุ ค.ศ. 578–677) จารึกตวลอังโตนต (หลักที่ K.561 บรรทัด 37 อายุ ค.ศ. 681) จังหวัดตาแก้ว ประเทศกัมพูชา และจารึกอื่น ๆ อีกหลายหลัก[19] แต่ไม่ปรากฏจารึกที่เรียกผ้านุ่งว่า ซัมปอต ในสมัยนั้น

สมัยเมืองพระนคร (802—1432)

[แก้]
พระเจ้าสูรยวรรมันที่ 2 ผู้สร้างนครวัด

ทับหลังและจำหลักภาพนูนต่ำปราสาทสมัยเมืองพระนคร อายุคริสต์ศตวรรษที่ 9–12[11] พบว่าชาวเมืองพระนครทั้งชายและหญิงเกือบทุกชนชั้นต่างก็สวมใส่ผ้านุ่งปกปิดส่วนล่างแต่เปลือยเปล่าร่างกายส่วนบนยกเว้นนักรบที่สวมเสื้อปิดส่วนบนด้วย ผ้านุ่งชาวเมืองพระนครทำจากผ้าผืนสี่เหลี่ยมใช้พันรอบเอวโดยริมผ้าด้านหนึ่งเป็นขอบเอวและอีกด้านเป็นขอบชายเสื้อ จำแนกโดยพิจารณาจากทับหลังและจำหลักนูนต่ำบนปราสาทนครวัดสมัยเมืองพระนคร ดังนี้[11]

  • ซัมปอตจงกฺบุน (Sampot chawng kbun) จัดเป็นผ้าพื้นเมืองของชาวเมืองพระนคร มีความยาวเฉลี่ย 3 เมตร สวมใส่ได้ทั้งชายและหญิง[13] จำแนกเป็น 2 กลุ่มย่อย[11] คือ กลุ่มชนชั้นปกครอง เทพเจ้าหรือกษัตริย์ นุ่งซัมปอตอย่างโอ่อ่า ใช้ผ้าที่มีลักษณะกว้างกว่านุ่งปิดร่างกายและผูกปมรอบเอวสำหรับยึดผ้าไว้ จากนั้นจัดวางผ้าที่ปลายด้านหนึ่งของผ้า โดยอาจม้วนผ้าเข้าด้วยกันแล้วมัดผ้าสอดระหว่างขาและปลายผ้าไว้ใต้ขอบเอวหรือเข็มขัดที่ด้านหลังเพื่อยึดผ้าให้เข้าที่หรืออาจสอดผ้าด้านหนึ่งจากด้านหน้าไปด้านหลังโดยขอบผ้าจะอยู่ที่เอวมีลักษณะคล้ายกับการพับกระเป๋าขนาดเล็ก ปรากฏบนจำหลักระเบียงนครวัด-นครธม และกลุ่มชนชั้นนักรบ ทหาร นักบวช ทาสและเชลย นุ่งซัมปอตทำจากผ้าที่มีลักษณะแคบราว 20 เซนติเมตร นำมาผูกปมที่เอวอย่างง่าย ให้ปลายข้างหนึ่งห้อยลงมาตรงกลางด้านหน้า ที่ปลายอีกด้านพาดระหว่างขาไปด้านหลังปล่อยให้ห้อยลงมาตรงกลาง ปรากฏบนจำหลักปราสาทบายน
  • ซัมปอตแบบกระโปรง (Sampot)

ผ้านุ่งแบบโสร่งห้อยจากเอวทอดยาวถึงข้อเท้าลักษณะคล้ายกับกระโปรง รูปแบบดังกล่าวพบบนทับหลังสลักภาพอุมาที่ปราสาทบากอง อายุคริสต์ศตวรรษที่ 9 และภาพสลักนางอัปสราที่ปราสาทบันทายสรี อายุคริสต์ศตวรรษที่ 10 ภาพจำหลักปราสาทบายน อายุคริสต์ศตวรรษที่ 12 เป็นต้น เช่น ซัมปอตซาระปัพกาตกฺบาลเนียก (Sampot sarabap ka’at kbal neak) และซัมปอตซัมลอย (Sampot samloy)[13]

ภาพสลักนูนสูงรูปนางอัปสรฟ้อนรำ

สมัยหลังเมืองพระนคร (1431–1863)

[แก้]
ผ้าปาโตลา (Patola sari) จากอินเดียอายุคริสต์ศตวรรษที่ 18–19

คริสต์ศตวรรษที่ 16 ผ้าปาโตลา (Patola sari) เป็นผ้าหมัดหมี่จากอินเดีย[27] เข้ามาสู่ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะต่าง ๆ เป็นครั้งแรก[28] มีการนำเข้าผ้าปาโตลาจากอินเดียโดยราชสำนักหลายแว่นแคว้น เมืองพระนครเรียกว่า สมปัต (sambata) ปรากฏคำจารึกตามกลุ่มจารึกนครวัดสมัยหลังเมืองพระนคร (Inscription Modern Angkor Wat: IMA) อายุคริสต์ศตวรรษที่ 16–18[10] ไทพวน (ลาวพวน) ที่เมืองพวนและปากเซ เรียกว่า ผ้าตีนกาบ (phaa tiin kap)[28][29] และอยุธยาเรียกว่า สมปัก ถมปัก หรือ สมปักเชิงปูม (ใน ตำราพระราชพิธีตรุศสำหรับเมืองนครศรีธรรมราช เรียกว่า สองปัก)[4] หรือเรียกทับศัพท์ว่า ปะโตลา ปรากฏชื่อผ้าใน จดหมายของตัวแทนการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ (VOC) ลงวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1662[30] ซึ่งราชสำนักอยุธยาส่งไปถึงโรงงานที่เมืองสุรัตในอินเดียว่า "สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงพระประสงค์ให้บริษัทจัดหาผ้าปะโตลาไปถวาย"[31] เนื่องจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงจัดตั้งโรงงานทอผ้าไว้ที่เมืองสุรัตในอินเดีย[32] ในจดหมายยังระบุให้โรงงานที่สุรัตอินเดียทอตามแบบลวดลายของราชสำนักอยุธยาที่ส่งไปให้อีกด้วย[30]

บันทึกของนีกอลา แฌร์แวซ (Nicolas Gervaise) มิชชันนารีชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาในสยามระหว่าง ค.ศ. 1681–86 บรรยายผ้านุ่งของขุนนางราชสำนักสยามว่าผ้านุ่งของขุนนางราชสำนักสยามแต่งอย่างครบองค์และหรูหรากว่าผ้านุ่งอื่น ๆ ทำจากผ้าเงินหรือผ้าทอง (ผ้าตาด) หรือทำจากผ้าอินเดียเรียกว่า ผ้าฉีก ชิต หรือ ชินต์[33] (chitte, chintz) ที่มาจากมะจิลีปัตนัม[30] ส่วนบันทึกของกี ตาชาร์กล่าวว่าพระเจ้ากรุงสยามทรงยืนกรานว่าผ้าทอนำเข้าจากอินเดียสงวนไว้สำหรับราชสำนักอยุธยาสำหรับข้าราชบริพารและใช้เป็นของกำนัลของราชวงศ์[30] ความต้องการของสิ่งทอจากอินเดียไม่เพียงแค่ในอยุธยาซึ่งเป็นเป็นศูนย์กลางทางการค้าของดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[32] แต่ยังมีการส่งกลับ (Re-export) จากอยุธยาไปยังดินแดนข้างเคียงรวมทั้งจีนและญี่ปุ่นอีกด้วยนับตั้งแต่ ค.ศ. 1680 เป็นต้นมา[32] จากบันทึกร่วมสมัยชี้ให้เห็นว่าผ้าสมปัต (sambata) สมัยหลังเมืองพระนครอาจได้รับแบบอย่างจากอินเดียโดยผ่านราชสำนักอยุธยา

ส่วนชื่อผ้าสมปักนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงพบในหนังสือเขมรเขียนแล้วทรงนำคำดังกล่าวไปตรัสที่หอพระสมุดวชิรญาณ ยอร์ช เซเดส์กล่าวว่าเขมรเรียกผ้าดังกล่าวว่า ซอมป๊วต[4]

ผ้าสมปัต (sambata) หรือสมปักของเมืองพระนครได้รับอิทธิพลมาจากผ้าปาโตลา (Patola sari)[8] ต่อมามีการพัฒนาลวดลายและกรรมวิธีการทอให้เป็นแบบเขมร[8] วิบูลย์ ลี้สุวรรณ ราชบัณฑิต (สาขาวิจิตรศิลป์) อธิบายว่าการวางลายผ้าปาโตลากับผ้าสมปัก (ผ้าปูมเขมร) ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมาคล้ายคลึงกันมาก[34]: 202  คือ การวางลายสามรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือส่วนกลางผ้าเป็นสีพื้น มีลายเป็นขอบล้อมรอบ มีลายเชิงผ้าทั้งสองข้าง รูปแบบการวางลวดลายแบบนี้พบในผ้ามัดหมี่ตามหมู่เกาะของประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย นอกจากนี้ยังพบลวดลายงูและนาคตามคติของศาสนาพราหมณ์[34]: 202  ราชสำนักเขมรมีการให้พระวงศานุวงศ์และขุนนางเขมรนุ่งสมปักเข้าเฝ้า เช่น ในรัชสมัยพระบรมราชาที่ 7 (ค.ศ. 1602–18) ปรากฏใน พงศาวดารละแวก ฉบับแปล จ.ศ. 1170 (พ.ศ. 2351) ว่า:–

พระองค์จึงมีพระราชบัญญัติตามกฎหมายเหตุไว้สำหรับกษัตริย์แต่ก่อน สั่งข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย พระวงศานุวงศ์ พระราชนิกุล ชุนหมื่น ทุกหมู่ทุกกรม กรมฝ่ายหน้าฝ่ายในหัวเมืองใหญ่น้อย ทหาร พลเรือน ให้แต่งตัวนุ่งสมปัก ใส่เสื้อครุยเข้าเฝ้า[35]

ขณะที่ราชสำนักสยามของอยุธยาได้รับแบบผ้าสมปักมาจากเขมรมาใช้นุ่งเป็นผ้าโจงกระเบน[34] ซึ่งเขมรส่งเข้ามาสยามเป็นส่วนหนึ่งของส่วยและเครื่องบรรณาการ[36] โดยพระเจ้าแผ่นดินจะพระราชทานผ้าสมปักแก่ขุนนางที่จะเข้าเฝ้าเพื่อแสดงยศและฐานะ[34] เช่น สมปักลาย สำหรับขุนนางแต่งเต็มยศ และ สมปักไหม สำหรับขุนนางนุ่งเข้าเผ้าตามปกติ ใน คำให้การขุนหลวงประดู่ทรงธรรม เอกสารจากหอหลวง ยังระบุว่า "ย่านท่าทรายมีร้านชำขายผ้าสมปักเชิงปูม"[37] ซึ่งเป็นย่านขายสินค้าในกรุงศรีอยุธยาอีกด้วย ราชสำนักสยามมีการใช้ผ้าสมปักมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้นุ่งผ้าม่วงแทน[34]

ระหว่างปี ค.ศ. 1858–60 อ็องรี มูโอ (Henri Mouhot) นักสำรวจชาวฝรั่งเศสเดินทางมายังดินแดนคาบสมุทรอินโดจีนและได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ของราชสำนักเขมร มูโอเขียนบันทึกพระภูษาของพระองค์ไว้ว่า:–

บริเวณทางเข้ามีเก้าอี้คล้ายกับพระราชอาสน์ของกษัตริย์ตั้งอยู่ใกล้พระองค์ พระองค์มักจะไม่ทรงพระภูษาอะไรเลยนอกจากลังกูตี (langouti) ซึ่งเป็นชุดพื้นเมืองเฉกเช่นเดียวกับพสกนิกรของพระองค์ พระภูษาทอด้วยไหมสีเหลือง คาดเข็มขัดทองคำประดับด้วยอัญมณีล้ำค่ารอบเอว[38]

— Henri Mouhot (1858–60).

ในปี ค.ศ. 1874 แฟรงก์ วินเซนต์ (Frank Vincent) นักสำรวจชาวอเมริกันซึ่งเดินทางเข้าพบเจ้าเมืองเสียมราฐ ประเทศสยามในสมัยนั้นปรากฏนามว่า พระยาอนุภาพไตรภพ[39] (? – ค.ศ. 1890)[40] เป็นเจ้าเมืองเสียมราฐ ขุนนางชาวสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 และเป็นผู้ดูแลนครวัด-นครธม วาระปี ค.ศ. 1866–76[39] วินเซนต์สังเกตว่าบุคคลสำคัญที่เขาพบเจอนั้นล้วนสวมชุดไหมสมปักโจงกระเบนกับเสื้อแจ็กเก็ตแบบตะวันตก[11]: 186  ปรากฏในบันทึกเรื่อง The Land of the White Elephant Sights and Scenes in South-Eastern Asia (1873) ของวินเซนต์ว่า:–

เจ้าเมืองเสียมราฐ [...] สวมเสื้อกั๊กสีขาว คอตั้งติดกระดุมสีขาว ชุดผ้าไหมสีเหลืองและชุดคลุมผ้าไหมสีเขียว สมุหนายกสวมเพียงชุดคลุมผ้าฝ้าย มีทหารม้าคุ้มกัน สวมเสื้อแจ็คเก็ตสีดำรัดรูปและชุดคลุมผ้าไหม [...] ในการประชุมคราวต่อมา พระเจ้ากรุงสยามปรากฏพระองค์ในเสื้อกั๊กสีขาวสไตล์มาร์กเซย (Marseilles) ติดกระดุมสีทอง เสื้อคลุมผ้าสีดำ และชุดคลุมผ้าไหมสีแดง[41]

— Frank Vincent (1873).

จิลเลียน กรีน (Gillian Green) กล่าวว่าบันทึกร่วมสมัยของอ็องรี มูโอ และแฟรงก์ วินเซนต์ แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายในสังคมเขมรระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นพื้นเมืองอย่างสุดขั้ว[11]: 186  แม้เสื้อผ้าของชนชั้นสูงในสังคมชาวเขมรสามารถสืบย้อนกลับไปสมัยเมืองพระนคร ปรากฏตามจำหลักนูนต่ำต่าง ๆ แต่บันทึกร่วมสมัยของชาวต่างชาติทั้งสองเผยให้เห็นว่าไม่แปลกใจเลยที่ชาวเขมรนำชุดแต่งกายชนิดอื่นมาใช้ตั้งแต่สมัยนั้น เสื้อผ้าที่สวมใส่ส่วนบนที่ไม่ใด้ประยุกต์ใช้ ในสมัยเมืองพระนครกลับกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการแต่งกายในราชสำนักเขมรและชาวเมืองนับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมาอันเป็นผลจากอิทธิพลของสยามตั้งแต่สมัยหลังเมืองพระนคร[11]: 186 

สมัยอาณานิคมฝรั่งเศส (1863—1953)

[แก้]
ซัมปอต คือชุดประจำชาติสยามที่ชาวกัมพูชานำมาใช้มายาวนาน เป็นผ้าผืนสี่เหลี่ยม ม้วนไว้รอบเอวและพับเก็บจากด้านหน้าไปด้านหลังระหว่างขา[42]

เมื่อ ค.ศ. 1911 วารสารสมาคมอินโดจีนศึกษา (Bulletin of Society for Indochinese Studies: BSEI) ฉบับที่ 60 ตีพิมพ์รายงานเรื่อง สถิติและการบริหารของของอินโดจีน ประจำกรุงไซง่อน บันทึกว่า ประเพณีของชาวจังหวัดกำปงฉนังเหมือนกับแว่นแคว้นอื่นของกัมพูชา ทั้งชายและหญิงไว้ผมสั้น สวมชุดซัมปอตหรือกระโปรงคลุมร่างกายส่วนล่างโดยเปลือยเปล่าช่วงขา ผู้ชายมักสวมหมวกแบบยุโรป สวมรองเท้าแบบฝรั่ง และสวมแจ็คเก็ตสีขาวเหมือนกับพวกอาณานิคมฝรั่งเศส ส่วนเสื้อของผู้หญิงไม่ต่างกับผู้ชายนัก ชุดซัมปอตถึงแม้ว่าทอจากผ้าที่มีราคาแต่ก็คล้ายคลึงกัน สวมเสื้อแจ็คเก็ตสีขาวมีผ้าพันคอสีเหลืองหรือแดง ผู้ชายที่เคยสวมชุดซัมปอตและแจ็คเก็ตที่ติดกระดุม 9-10 เม็ด บัดนี้ต่างหันมาสวมแจ็คเก็ตแบบยุโรป ผู้หญิงสวมเสื้อคลุมยาว ผ้าพันคอและชุดซัมปอตพาดยาวลงมาถึงข้อเท้า ปัจจุบันพวกเขาพับปลายทั้งสองข้างขึ้นเหมือนผู้ชายและมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเสื้อคลุมยาวเป็นแจ็คเก็ตสั้นแบบสยามมากขึ้น[43][note 1]

เมื่อ ค.ศ. 1921 จอร์จ โกรส์ลิเยร์ (George Groslier) ชาวฝรั่งเศสที่เติบโตในกัมพูชาและเป็นผู้อำนวยการศิลปากรแห่งกัมพูชาทำการศึกษาวิจัยเรื่อง Recherches sur les Cambodgiens กล่าวถึงชุดซัมปอตว่า:–

คำว่าซัมปอต (sampot) ต้องเป็นคำเก่ามากพอ ๆ กับผ้านุ่งเพราะมีความหมายว่า "ผ้า" และมิใช่ส่วนพิเศษของชุดเขมร แต่เดิมเป็นผ้าคลุมเหมือนกับผ้าแนวนอนตามตำราของจีน ฉะนั้นจึงถือว่าเป็นผ้าคลุมลำตัวอย่างทูนิก จากผ้าฝ้ายกลายเป็นผ้าไหม ประดับประดาด้วยลวดลายหลากสีสันตามที่พวกเราทำการศึกษาวิจัยไว้ในภาคต้น ดูเผิน ๆ เหมือนไม่มีอะไรนอกจากปมบริเวณเอวคล้ายเข็มขัดที่ขยายให้กว้างขึ้น จนกระทั่งในศตวรรษที่ 12 ปมส่วนนี้ดูเหมือนจะแคบกว่าเข็มขัดซัมปอตที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่สวมใส่เฉพาะบุรุษและนักเต้นรำศักดิ์สิทธิ์บางคนเท่านั้น (?) ส่วนสตรีมักนุ่งโสร่ง และเราทราบดีว่าแฟชั่นชุดซัมปอตทั้งบุรุษและสตรีเป็นชุดสมัยใหม่และอาจเป็นนวัตกรรมของชาวสยาม[44][note 2]

— George Groslier (1921).

แฮร์เรียต วินนิเฟรด พอนเดอร์ (Harriet Winifred Ponder) สตรีชาวอังกฤษที่เดินทางท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะแปซิฟิกทางตอนใต้ เขียนบอกเล่าสิ่งที่พบเจอระหว่างเดินทางท่องเที่ยวในกัมพูชาและตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1936 กรุงลอนดอน บรรยายชุดประจำชาติกัมพูชาว่า:–

ชุดประจำชาติกัมพูชาที่แท้จริงนั้นคือลังกูตี (langouti) เป็นผ้านุ่งแบบกระโปรงอย่างหนึ่งคล้ายกับโสร่งของชวา ใช้สวมใส่ทั้งบุรุษและสตรี ส่วนชุดคล้ายกันที่เรียกว่าซัมปอต (sampot) แต่ดึงปลายข้างหนึ่งไว้ระหว่างขากางเกงเพื่อให้ดูเหมือนกางเกงทอดยาวถึงน่องอย่างหลวม ๆ เป็นแฟชั่นที่นำเข้ามาจากสยาม[45][note 3]

— Harriet Winifred Ponder (1936).

จอร์จ เบนจามิน วอล์คเกอร์ (George Benjamin Walker) เรียบเรียงประวัติศาสตร์เรื่อง จักรวรรดินครวัด (Angkor Empire) ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1955 โดยรวบรวมข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์หลายท่าน อาทิ นักประวัติศาสตร์ชาวอินเดีย เช่น ราเมศ จันทรา มาชุมดาร์ (R. C. Majumdar) คาลิดาส นาก (Kalidas Nag) นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ เช่น ควอริชท์ เวลล์ (H.G. Quaritch Wales) เรจินาลด์ เลอ เมย์ (Reginald le May) เจ้าหน้าที่สถานทูตชาวอังกฤษ ประจำกรุงเทพฯ และจอร์ช ชาลส์ โบรเดริก (George Charles Brodrick) แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด รวมทั้งลอเรนซ์ พัลเมอร์ บริกก์ส (Lawrence Palmer Briggs) นักการทูตและนักวิจัยอิสระที่สนใจประวัติศาสตร์เขมรโบราณ เซดริด โดเวอร์ (Cedric Dover) และนักวิชาการของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศ (EFEO) กล่าวถึงชุดซัมปอตว่า:–

ชุดของเธอคือชุดซัมปอต (sampot) ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ต่างกล่าวว่าชุดดังกล่าวมาจากสยาม ไม่มีใครคาดเดาได้ ผู้เชี่ยวชาญต่างบอกเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายจากความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับตำราโบราณและประวัติศาสตร์ของนักประวัติศาสตร์ให้พวกเราฟัง ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสยามในสมัยตอนกลางก็พอพบเห็นหลักฐานมากมายของซัมปอตจากภาพนูนต่ำซึ่งได้รับอิทธิพลจากสยามมาหลายศตวรรษ ชุดซัมปอตมีลักษณะคล้ายกับผ้าลุงกี้ (lungi) ของอินเดียหรือโสร่ง (sarong) ของมาเลย์ซึ่งเป็นผ้าผืนยาวมักมีสีสันสดใสผูกไว้รอบเอวและห้อยลงมาเหมือนกับกระโปรง บางครั้งก็รวบไว้ระหว่างขาและรัดไว้ด้านหลังเหมือนผ้าโธตี (dhoti) ตามแบบแฟชั่นของสตรีในรัฐมหาราษฏระ[46][note 4]

— George B. Walker (1955).

ในประวัติศาสตร์เรื่อง The Last Century of Lao Royalty กล่าวถึงเครื่องแต่งกายของกษัตริย์ลาวล้านช้างในสมัยการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสกล่าวว่า:–

ดูเหมือนว่าเขาจะถูกห้ามไม่ให้แต่งเติมเครื่องแต่งกายแบบยุโรปอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ต้นขาของเขาสวมผ้าซัมปอตซึ่งเป็นผ้าที่ทั้งชายและหญิงสวมใส่ในสยามและประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของสยาม[47]

ในระหว่างสมัยอาณานิคมฝรั่งเศสหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายงานว่าชนชั้นสูงในเขมรเริ่มนำชุดซัมปอตแบบพื้นเมืองกลับมาสวมใส่เพื่อแสดงเอกลักษณ์ของชาวเขมรรวมถึงเป็นการแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านและประท้วงจากถูกกดขี่ภายใต้การปกครองอาณานิคมของฝรั่งเศส[48]: 111  ในปี ค.ศ. 1940 พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุทรงส่งเสริมการทอผ้าไหม ทรงประกาศกำหนดให้ชุดซัมปอตเป็นชุดเอกลักษณ์ประจำชาติของสตรีชาวเขมร ส่งผลให้การทอชุดซัมปอตขยายจำนวนมากแต่ต่อมาก็ถูกพรรคคอมมิวนิสต์ (เขมรแดง) กวาดล้างทำให้ซัมปอตซบเซาลง[48]: 115 

สมัยฟื้นฟูสันติภาพกัมพูชาของสหประชาชาติ (อันแทก)

[แก้]

หลังสิ้นสุดรัฐบาลพล พต (Pol Pot) ชุดซัมปอตกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980[48]: 116  ทั้งยังมีพ่อค้าชายแดนกัมพูชาจัดหาสินค้าหัตถกรรมของไทยและลาวไปยังกรุงพนมเปญ มีทั้งชุดซัมปอต ผ้าขาวม้า และโสร่งทอพื้นเมือง ชุดซัมปอตในสมัยนั้นนับว่ามีค่ามากแม้แต่ชุดซัมปอตมือสองก็สามารถแปลกเปลี่ยนทองคำได้อย่างคุ้มค่า[48]: 116  คำให้การของเจ้าของร้าน ลา เมซ็ง เดอ ลา ซัว (La Maison de la Soie) เมื่อปี ค.ศ. 2005 เล่าว่า:–

หลังจากสงครามพลพตสิ้นสุดลง ฉันซื้อหัตถกรรมจากลาวและไทยและขายให้กับเจ้าหน้าที่สาธาณภัยชาวรัสเซีย ในตอนแรกไม่มีใครขายซัมปอต ต่อมาเมื่อพ่อค้าถามฉันว่ามีซัมปอตขายหรือไม่ ฉันจึงเริ่มมองหาพวกเขา พ่อค้าเหล่านี้เป็นชาวกัมพูชาจากปอยเปต โพธิสัตว์ และพระตะบอง เดินทางมาโดยจักรยานหรือบางคนเดินทางไปพนมเปญ ฉันไม่รู้ว่าทำไมแต่พ่อค้าเหล่านี้ซื้อซัมปอตมือสองและจ่ายเงินเป็นจำนวนมาก ในช่วง UNTAC ธุรกิจซัมปอต เริ่มทำกำไรได้มาก […] เมื่อชาวเขมรอเมริกันกลับบ้าน พวกเขาก็ซื้อซัมปอตจำนวนมากจากร้านผ้าไหมของภรรยาฉัน ต่อมาเมื่อสีหนุกลับมากัมพูชา ผู้หญิงกัมพูชาเริ่มซื้อซัมปอตโฮลอีกทั้งเป็นเพราะกษัตริย์ทรงสั่งให้สวมชุดซัมปอตโฮลในวันชาติกัมพูชาด้วย[48]: 116 

ประเภท

[แก้]

ผ้าซัมปอตเขมรในปัจจุบันมีดังนี้

  • ซัมปอตผ้าม่วง[17] (Sampot Phamuong)[8] (เขมร: សំពត់ផាមួង) มีจำนวน 52 สี มีหลายลวดลายแต่นิยมใช้ลวดลายดอกไม้และลวดลายทรงเรขาคณิต ซัมปอตผ้ามูงไหมสีเหลืองจัดว่าเป็นซัมปอตที่มีคุณภาพมากกว่าแบบอื่น
  • ซัมปอตโฮล หรือ ไหมมัดย้อม[17] (Sampot hol)[8] (เขมร: សំពត់ហូល) เป็นผ้าทอพื้นเมืองดั้งเดิมมี 2 ลวดลาย คือ ลายช้างเกียตและลายทแยง เดิมได้รับอิทธิพลจากผ้าปาโตลาจากแคว้นคุชราต ประเทศอินเดียแล้วต่อมาได้รับพัฒนาลวดลายเป็นลายแบบเขมร ปัจจุบันมีมากกว่า 200 ลวดลาย มี 4 ประเภท เช่น ซัมปอตโฮล ซัมปอตโฮลป่อ ซัมปอตโฮลกเบ็นและซัมปอตโฮลกตง นิยมลวดลายดอกไม้ รูปสัตว์และทรงเรขาคณิต
  • ซัมปอตเทพอัปสร[17]

กรรมวิธีการทอลวดลาย

[แก้]

ผ้าซัมปอดเขมรมีกรรมวิธีการทอลวดลายผ้าชั้นสูงของช่างทอผ้าชาวเขมรเรียกว่า โฮล (hol)[11][8]: 184  เป็นกรรมวิธีซับซ้อนเกี่ยวข้องตั้งแต่กระบวนการย้อมลวดลายบนผ้าไหมก่อนการทอ ลดลายผ้าที่ใช้เทคนิคการโฮล เช่น การทอลายมุมทแยงที่ไม่สม่ำเสมอกัน นับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของช่างทอชาวเขมร[11]

ต้นกำเนิดกรรมวิธีการโฮล (hol) ผ้าไหมมาจากซากปรักหักพังของนครวัดแล้วถูกกวาดล้างไปในสมัยคอมมิวนิสต์ (เขมรแดง) นับตั้งแต่ ค.ศ. 1970 จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1990 สถาบันสิ่งทอญี่ปุ่นกับช่างฝีมือชาวฝรั่งเศสที่ดูแลนครวัดก็ได้ร่วมมือกันฟื้นฟูอุตสาหกรรมการทอผ้าไหมของชาวเขมร[48]: 54  แต่ก็มีข้อเท็จจริงบางประการที่ระบุว่ากรรมวิธีการโฮล (hol) เป็นกรรมวิธีที่มาจากชนชาติอื่น เช่น จากชาวจีน[48]: 98, 119  ปรากฏตามบทสัมภาษณ์ชาวเขมรเชื้อสายจีน ชาวแต้จิ๋วและชาวฮกเกี้ยนในกัมพูชา[48]: 77–79  เนื่องจากชาวเขมรแต่เดิมไม่มีกรรมวิธีการเลี้ยงไหมและการทอผ้าไหม[48]: 119  เช่น กรณีชาวจีนที่รู้จักกรรมวิธีการโฮลผ้าไหมในเขมรถูกบังคับให้กลายเป็นชาวเขมรอันเป็นผลพวงจากนโยบายส่งเสริมชาตินิยมและป้องกันการถูกครอบงำกลุ่มชาติพันธุ์เวียดนามและจีนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ[48]: 63  และปัจจุบันก็ถูกปฏิเสธข้อเท็จจริงว่าจีนมีส่วมรวมต่อกรรมวิธีการโฮลผ้าของเขมรอีกด้วย[48]: 119 

ดูเพิ่ม

[แก้]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. ต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส: Les coutumes à traditions de Kompong-Chhnang sont sensiblement les mêmes que dans le reste du Cambodge. Les hommes et les femmes portent les cheveux courts; ils ont un sampot ou espèce de jupe qui leur couvre le bas du corps en laissant à nu les jambes ; les hommes tendent de plus en plus à se coiffer d’un chapeau à l’européenne et à porter une veste blanche comme les coloniaux venant de France. Beaucoup ont des chaussures à la française. Le costume des femmes diffère peu de celui des hommes; le sampot a sensiblement la meme forme quoique d’étoffes de couleurs plus voyantes ; le haut du rorps est recouvert d'une veste de cotonnade blanche qu’elles recouvrent souvent d'une écharpe de couleur jaune ou rouge. Les hommes portaient autrefois le sampot et la veste étroite fermée par 9 à 10 boutons. Aujourd'hui cette veste est remplacée par celle qui a la forme des vestons européens. Les femmes portaient la tunique longue, l'écharpe et le sampot qui traînait jusqu'aux talons. Aujourd'hui elles en relèvent les deux bouts comme le font les hommes et tendent de plus en plus à remplacer les tuniques longues par des vestes courtes à la façon siamoise. Les bonzes se recouvrent le corps d’une pièce d’étoffe jaune.
  2. ต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส: Le mot sampot doit être un bien vieux mot» aussi vieux que le vêtement car il signifie : « étoffe » et non pas une partie spéciale du costume khmer. A l’origine, il était Tunique étoffe comme cette bande de toile horizontale des textes chinois, et donc Tunique vêtement. De coton, il est devenu de soie, s’est orné de dessins polychromes ainsi que nous Tarons étudié au début de ce chapitre. Au prime abord, il n’est pas autre chose que la ceinture élargie et se drape à peu près comme elle. Jusqu’au xue siècle il semble plus étroit que le sampot actuel et n’est porté que par les hommes et certaines danseuses sacrées (?). La femme, elle, se vêt du sarong et nous savons que la mode du sampot commun aux deux sexes est moderne et probablement innovation siamoise.
  3. ต้นฉบับภาษาอังกฤษ: The true national dress of Cambodia was the 'langouti', a sort of skirt, like the Javanese sarong, worn by both men and women. The 'sampot', a similar garment, but with one end pulled through between the legs to give the effect of a baggy pair of knickers, is a fashion imported from Siam.
  4. ต้นฉบับภาษาอังกฤษ: Her dress is the sampot. Authorities say it is from Siam. Why, no one can guess. Authorities tell us all sorts of curious things on the strength of their knowledge of the ancient texts and the historians' histories. It requires no knowledge of mediaeval Siamese history to see plentiful evidence of the sampot in the bas-reliefs, which preceded Siamese influences by centuries. The sampot is like the Indian lungi or the Malayan sarong; a length of cloth, often gaily coloured, tied around the waist and hanging down like a skirt. Sometimes it is caught up between the legs and fixed behind like a dhoti, in the fashion of the women of Maharashtra.

อ้างอิง

[แก้]
เชิงอรรถ
  1. อ้างอิงหลายแหล่ง:
    • พวงผกา คุโรวาท. (2535). คู่มือประวัติเครื่องแต่งกาย. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ: รวมสาส์น. น. 194. ISBN 9789742451288
    • นวรัตน์ มิตรอารีย์. (2561). รอบรู้อาเซียน: เติมความรู้สู่ประชาคมอาเซียน 10 ประเทศ. กรุงเทพฯ: ไพลิน. น. 83. ISBN 9786161516154
  2. 2.0 2.1 มูลนิธิคึกฤทธิ์ 80 ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. (2539). คึกฤทธิ์ ปราโมช. กรุงเทพฯ: มูลนิธิคึกฤทธิ์ 80 ฯ. น. 321. ISBN 9789748364285 :– "ผ้านุ่งที่ไทยเรียกว่าผ้าสองปักนี้ เขมรก็มีใช้เหมือนกันแต่เขียนว่า สมปัต และออกเสียงว่า ซอมป๊อต แต่คำนี้เขมรอาจจะหมายถึงผ้านุ่งทั่วไปก็ได้".
  3. 3.0 3.1 จิรัสสา คชาชีวะ. (2540). พระพิฆเนศวร์ : คติความเชื่อและรูปแบบของพระพิฆเนศวร์ที่พบในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. น. 159. ISBN 9789747929775 "สมพต (Sampot) ผ้านุ่งโจงกระเบนค่อนข้างสั้นแบบที่ไทยเรียกว่าถกเขมร".
  4. 4.0 4.1 4.2 4.3 นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา. (2483, 22 กันยายน). "บันทึกเรื่องพิธีตรุษ ถวายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ," นิตยสารศิลปากร, 14(1)(พฤษภาคม 2513): 12. อ้างใน นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา และดำรงราชานุภาพ, สมเด็จ ฯ กรมพระยา. (2505). สาส์นสมเด็จ เล่ม 19. กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา. น. 237. :— "๔) "สองปัก" (หน้า ๙) เราเรียกกันว่า "ถมปัก" ก็มี "สมปัก" ก็มี ทีหลังพบในหนังสือเขมรเขียน "สมปัต" เห็นใกล้กับคำสมปักจึงตื่นเต้นเก็บเอาไปพูดที่หอพระสมุด ศาสตราจารย์เซเดส์บอกว่าเขมรเขาอ่าน "ซอมป้วต" ดังไถลไปอีกทางหนึ่ง ในตำราพิธีตรุษนครศรีธรรมราชเขียนว่า "สองปักลายถม" คำสองปักจะเป็นสองปักษ์หมายว่าสองปีกหรือสองปากหมายว่าสองชายก็ได้..."
  5. Sos, Kem; Kheang, Lim Hak; and Ehrman, Madeline Elizabeth (2005). Cambodian-English, English-Cambodian Dictionary. (7th ed.). New York, NY: Hippocrene Books. p. 155. ISBN 0870528181
  6. Tandart, S (1911). Dictionnaire FRANÇAIS-CAMBODGIEN: Deuxième Partie [พจนานุกรมภาษาฝรั่งเศส-เขมร: เล่ม 2]. Hong Kong: La Société des Missions-Etrangères. p. 12. OCLC 23280930
  7. Lu, Sylvia Fraser (1988). Handwoven textiles of South-East Asia. Singapore: Oxford University Press. pp. 11–12. ISBN 9780195888706
  8. 8.0 8.1 8.2 8.3 8.4 8.5 8.6 Tiwary, Shiv Shanker, and Kumar, Rajeev (2009). Encyclopaedia of Southeast Asia and Its Tribes Vol. 1. Delhi: Anmol Publications. pp. 184–85. ISBN 9788126138371
  9. วัชรี ไตรเจริญกุลภักดิ์ จงแจ่ม. (2565). ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) (ebook). กรุงเทพฯ: พิมพ์วลี. น. 196.
  10. 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 10.6 10.7 10.8 Jenner, Philip N. and Cooper, Doug (2011). A Dictionary of Middle Khmer. Canberra ACT: The Australian National University, Research School of Pacific and Asian Studies Pacific Linguistics. p. 352. ISBN 9780858836396
  11. 11.00 11.01 11.02 11.03 11.04 11.05 11.06 11.07 11.08 11.09 11.10 Green, Gillian (2003). Traditional textiles of Cambodia : cultural threads and material heritage. Bangkok: River Books. ISBN 9748225399
    • Ibid. pp. 28–34.
    • Ibid. p. 186 "Upper body garments shunned in the Angkorian period, had, as a result of Siamese influence in the post-Angkorian period, become part of urban and court costume by the mid nineteenth century."
    • Ibid. p. 197. "The word sampot is used in modern Khmer vocabulary to mean ' a piece of cloth ' as well as ' woman's skirt'.
    • Ibid. p. 214. See footnote 8, cited in Huffman (1978: 110, 537) and Jenner (1982:1 87, 8).
    • Ibid. p. 303. "Sampot hol literally means ' cloth patterned by the hol method".
  12. อ้างอิงหลายแหล่ง:
    • เพ็ญพรรษ์ ดำรงศิริ และวิสันธนี โพธิสุนทร. (2528). นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี (ฉบับปฐมฤกษ์). กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. น. 16. OCLC 880655369 :– "สมปต (ผ้านุ่งสั้นเหนือเข่า) อย่างเขมร".
    • ศักดิ์ชัย พจน์นันท์วาณิชย์ และสรัญญา สุริยรัตนกร. (2542). นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร. น. 34. ISBN 9789744174505
  13. 13.0 13.1 13.2 Száva, Borbála (2018). Costumes Carved in Stone in Banteay Srei: An Analysis of the Figural Depictions at a Tenth-Century Shaiva Sanctuary. Doctoral dissertation (PhD), University of Pécs, Faculty of Humanities (European Ethnology - Cultural Anthropology Doctoral Programme). pp. 78, 80–81.
    • Ibid. p. 78. A GENERAL DESCRIPTION OF ATTIRE IN ANGKOR.
    • Ibid. p. 78. See footnote 220.
  14. Hendrickson, Mitch; Stark, Miriam T.; and Evans, Damian (2023). An Introduction to the Angkorian World. London; New York, NY: Routledge; Talor & Francis Group. ISBN 9781351128940 doi:10.4324/9781351128940-1 "sampot in Khmer language. The word ‘sampot’ means a ‘length of cloth’ but in this context specifically refers to a hipwrapper."
  15. อนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ), พระยา และสด ประยูรสุข. (2502). บันทึกความรู้ (ภาค 1). (พิมพ์ครั้งที่ 2). พิมพ์เป็นอนุสรณ์งานศพ พันเอก สด ประยูรสุข. พระนคร: รุ่งเรืองรัตนา. น. 26. OCLC 63532173 :— "ส่วนพูดกันมีแต่เรียก สมปัก กับ ถมปัก คำ สมปัก เขียนลงเป็นหนังสือมี ถมปัก ไม่มี หนังสือเขมรเขียน สมปัต โปรเฟสเส้อเซเดส์บอกว่าอ่านออกเสียงเป็น "ซอมป็วต".
  16. วิจิตรา แสงพลสิทธิ์. (2524). ความรู้เรื่องภาษาต่างประเทศในภาษาไทย: ตรงตามหลักสูตรรายวิชาไทย 412 ของสภาการฝึกหัดครู 2519. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. น. 56. OCLC 1465332444 :— "คำเขมร: สมปต (สํพต) / คำไทย: สมปัก, ผ้านุ่ง".
  17. 17.0 17.1 17.2 17.3 วัชรินทร์ ยงศิริ. (2563). The Asean Way: กัมพูชา. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่น; สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. น. 26. ISBN 9786160416790
  18. อ้างอิงหลายแหล่ง:
    • นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา และดำรงราชานุภาพ, สมเด็จ ฯ กรมพระยา. (2505). สาส์นสมเด็จ เล่มที่ 24 ลายพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา. น. 58. :– "คำ "สมปัก" ก็เป็นภาษาเขมร ดูเหมือนเขมรเขายังเรียกผ้านุ่งว่าสมปักอยู่เป็นศัพท์สามัญจนบัดนี้".
    • สรัญญา สุริยรัตนกร. (2535). วิวัฒนาการเครื่องแบบ. กรมศิลปากรจัดพิมพ์ประกอบนิทรรศการพิเศษเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2535 ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร วันที่ 11 มกราคม ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2535. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. น. 5. ISBN 9789744172228 :– "สมปักเป็นภาษาเขมร แปลว่าผ้านุ่ง".
  19. 19.0 19.1 19.2 Jenner, Philip N., and Cooper, Doug (ed.) (2009). A Dictionary of pre-Angkorian Khmer. Canberra: The Australian National University, Pacific Linguistics Research School of Pacific and Asian Studies. p. 119. ISBN 9780858835955 :— "canlek1 /cənˈleːk/ ~ caṅlek ~ caṃnlek /cəŋˈleːk/ ~ canlyak /cənˈliːək/. [Ang. canlyak ~ canlyāk ~ canlyākk /cənˈliːək/; mod. សេលៀក ំ saṃliak /sɑmˈliːək/ “n. clothing worn below the waist (e.g., skirts, pants), lower garment”; ifx /-əɴ-/ + *clek1 /cʰleːk/]. 1. n. That which covers, hides, conceals: clothing, esp. the lower garment, sampot or sarong. 2. n. Cloth for the lower garment; a length of such cloth."
  20. อ้างอิงหลายแหล่ง:
    • Mehta, Ramanlal Nagarji (1949). "Patolas," Bulletin of the Baroda Museum and Picture Gallery, 7(Parts 1–2): 67. :– "In Cambodia the word for textiles in Patola technique is Sampat-hol, which may go back to a Sanskrit equivalent like Sam-Patola, i.e. "like a Patola". If the Cambodian word may be of Sanskrit origin, it is very likely that also the fabric and its technique might have been brought from there by the Hindu immigrants in the 3rd and 4th centuries A.D."
    • The Society Atelier Sarawak, Malaysia (1999). International "Ikat" Weaving Forum, Kuching, Sarawak, Malaysia, 11th–16th June 1999. Sarawak: Sarawak Museum. p. 124. OCLC 44427202
  21. Hall, Daniel George Edward (1965). A History of South-East Asia. London: MacMillan & Co Ltd. p. 26. :— "K'ang T'ai seems to have persuaded Fan Hsun to issue a decree ordering the men to wear clothings and they adopted the piece of cloth wrapped around the waist which is now the Cambodian sampot."
  22. Maxwell, Robyn J. (2003). Textiles of Southeast Asia: Trade, Tradition and Transformation. (Revised ed.). Singapore: Periplus Editions (HK). p 412. ISBN 0794601049 "23 Folk history attributes the introduction of the men's sampot into Funan to the Chinese (Hall, 1968: 28). The garment is not recognizably Han although the silk tradition undoubtedly came from the north."
  23. Green, Gillian. "Textiles at the Khmer court, Angkor: Origins, Innovations and Continuities," Arts of Asia, 30(4): 82–92.
  24. Daguan, Zhou and Harris, Peter (trans.) (2007). "CHAPTER 3 DRESS," A Record of Cambodia: The Land and Its People. Chiang Mai: Silkworm Books. para. 1–2 ISBN 9781628401721 :— "From the king down, the men and women all wear their hair wound up in a knot, and go naked to the waist, wrapped only in a cloth. When they are out and about they wind a larger piece of cloth over the small one. There are very many different grades of cloth. The materials the king wears include some that are extremely elegant and beautiful, and worth three or four ounces of gold a piece. Although cloth is woven domestically, it also comes from Siam and Champa."
  25. Berthon, Magali An (2021). Silk and Post-Conflict Cambodia: Embodied Practices and Global and Local Dynamics of Heritage and Knowledge Transference. Doctoral dissertation (PhD), The Royal College of Art (Doctor of Philosophy in History of Design). p. 97.
  26. อ้างอิงหลายแหล่ง:
    • คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ, คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. (2543). การแต่งกายไทยวิวัฒนาการจากอดีตสู่ปัจจุบัน เล่ม ๑. จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒. น. 101. ISBN 9789747772586 อ้างใน ณัฏฐภัทร จันทวิช. (2535). ถนิมพิมพาภรณ์. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. น. 86. และ ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๔.
    • สุภัทรดิศ ดิศกุล, สมาคมประวัติศาสตร์ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. (2535). ประวัติศาสตร์เอเชียอาคเนย์ ถึง พ.ศ. ๒๐๐๐. กรุงเทพฯ: รุ่งแสงการพิมพ์. น. 217. ISBN 9748873544
  27. อัจฉรา ภาณุรัตน์ และเครือจิต บุนนาค. (2536). ผ้าไหมในวิถีชีวิตไทยกุยและไทยเขมร. สุรินทร์: ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดสุรินทร์. น. 4. OCLC 1465479856
  28. 28.0 28.1 Naenna (Cheesman), Patricia (2004). Lao-Tai Textiles: The Textiles of Xam Nuea and Muang Phuan. Chiang Mai: Studio Naenna. p. 155. ISBN 9789742729158
  29. Green, Gillian and Chakrabongse, Narisa (2008). Pictorial Cambodian Textiles. Bangkok; London: River Books; Thames & Hudson. p. 117. ISBN 9789749863398
  30. 30.0 30.1 30.2 30.3 Chirapravati, M.L. Pattaratorn, and Kim-Ju, Greg Morae. "Refashioning the Identity of Siamese Monarchs: Hybridized Siamese and Indian Dress Styles" in Ghosh, Lipi (2017). India-Thailand Cultural Interactions: Glimpses from the past to present. Singapore: Springer. ISBN 9789811038549
    • Ibid. p. 94. para. 1. "The demand for the distinctive Thai-market Indian clothes can be related to the exercise of royal authority and protocol in Ayutthaya. The monarch insisted that the finest imported Indian textiles be reserved for the court, both for wearing by courtiers and for use as royal gifts. This consolidation of royal authority brought with it the creation of an elaborate system for the granting of favors in recognition of service to the crown (Guy 1998: 127)."
    • Ibid p. 94. para. 4. "An official letter from the English East India Company in Ayutthaya to an official in Surat (India), dated 2 December 1662, not only indicated the demand for Indian textiles, but also specified the design patterns that were sent from Ayutthaya to be produced there." cited in Posrithong, Prapassorn (2013). Indian trade textiles as Thai legacy. p. 332. in Chandra, Satish and Ray, Himanshu Prabha (2013). The SEA, Identity and History: From the Bay of Bengal to the South China Sea. New Delhi: Manohar. ISBN 9788173049866"
    • Ibid p. 94. Footnote 8. "Mr. Baldwell was the officer from the English East India Company who carried the order to Surat."
    • Ibid pp. 94–95. para. 5–6. "The pagne [pha nung] worn by the mandarins is much fuller and richer than any others, being usually silver or cloth of gold or the beautiful painted Indian cloth that is commonly called chitte [chintz] from Masulipatam [sic]" cited in Gervaise 1989, The National and Political History of the Kingdom of Siam, pp. 91–92.
  31. สถานเอกอัครราชทูต ศูนย์วัฒนธรรม สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ประจำประเทศไทย. (2545). "ความสัมพันธ์ 400 ปี ไทย-อิสลาม," สาส์นอิสลาม: สาส์นแห่งการสืบสานอารยธรรม, 1(มิถุนายน-สิงหาคม 2545): 39. ISSN 0859-7162 OCLC 696772877
  32. 32.0 32.1 32.2 Bhatia, Reena (2014). "Brief Historical Record of Saudagiri Textile Trade With South East Asia," Revitalization of Saudagiri: Trade Textile of Gujarat. Department of Clothing and Textiles, Faculty of Family and Community Sciences, The Maharaja Sayajirao University of Baroda, Vadodara. pp. 37–38.
  33. วิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์), ขุน และสมบัติ พลายน้อย. (2509). ภูมิศาสตร์วัดโพธิ์. พระนคร: สาส์นสวรรค์. น. 170. OCLC 857992988
  34. 34.0 34.1 34.2 34.3 34.4 วิบูลย์ ลี้สุวรรณ. (2550). สารานุกรมผ้า เครื่องถักทอ. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. น. 186, 265. ISBN 9789747385083
  35. คณะกรรมการหอสมุดวชิรญาณ. (2512). "พงศาวดารละแวก ฉบับแปล จ.ศ. ๑๑๗๐," ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๔๓ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๙–๗๐) เรื่องเกี่ยวกับกรุงเก่าตอนที่ ๑ เรื่องเมืองนครจำปาศักดิ์และเรื่องขุนบรมราชา. กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา. น. 269.
  36. เผ่าทอง ทองเจือ และธีระวัฒน์ กิตติชัยณรงค์, คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. (2543). การแต่งกายไทย: วิวัฒนาการจากอดีตสู่ปัจจุบัน. กรุงเทพฯ: สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ. น. 214. ISBN 9789747772586
  37. วินัย พงศ์ศรีเพียร. (2551). พรรณนาภูมิสถานพระนครศรีอยุธยา: เอกสารจากหอหลวง (ฉบับความสมบูรณ์). กรุงเทพฯ: อุษาคเนย์. น. 18. ISBN 9789740560838
  38. Mouhot, M. Henri (1986). Travels in the Central Parts of Indo-China (Siam), Cambodia, and Laos, during the years 1858, 1859, and 1860. Bangkok: White Lotus. p. 189. ISBN 9748495116 :– "On our entrance, chairs similar to the king’s were placed for us close to him. Like his subjects, he generally wears nothing but the langouti, the native dress. His was composed of yellow silk, confined at the waist by a magnificent belt of gold studded with precious stones."
  39. 39.0 39.1 ไกรฤกษ์ นานา. "อึ้ง! ๑๕๐ ปี สำรวจนครวัดของฝรั่งนำไปโชว์ที่ปารีส วันนี้ยังไม่ได้คืน," ศิลปวัฒนธรรม, (45)(5)(มีนาคม 2567): 115.
  40. สํานักราชเลขาธิการ. (2514). จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พุทธศักราช 2433. พระนคร: ตีรณสาร. น. 171. OCLC 934560505 :– "ฉบับ ๖ เมืองนครเสียมราฐ ลงวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๑๐๙ ได้แต่งพระภักดีภูวนารถคุมเครื่องยศพระยานุภาพไตรภพที่ถึงแก่กรรม..."
  41. Vincent, Frank (1873). The Land of the White Elephant Sights and Scenes in South-Eastern Asia by Frank Vincent. London: Sampson Low. pp. 205, 277, 295. OCLC 773222278 :– "...the Governor of Siem Reap [sic]...dressed in white undervest, stand up collar with white buttons, a yellow figured silk gown and a green silk panoung...the prime minister...was clad in nought but a cotton panoung...The cavalry escort...[were] clothed in tight black jackets and silk panoungs... At a later meeting... His Majesty appeared...[in a] white Marseilles vest with gold buttons, black cloth frock coat...[and] red silk panoung…"
  42. Groslier, George; Davis, Kent and Rodríguez, Pedro (2012). Cambodian Dancers Ancient & Modern; Based on his original work: Danseuses Cambodgiennes Anciennes et Modernes. (Translated by Pedro Rodríguez). Holmes Beach, FL: DatASIA, Inc. p. 11. ISBN 9781934431122 OCLC 844936572 see footnote 3.
  43. Ardin, C; La Société Des Études Indochinoises (1911, 1st September). "CHAPITRE IV: STATISTIQUE ET ADMINISTRATION: Fonctionnaires. Garnisons militaires. Industriels et colons. Population française & indigène. Races diverses. Coutumes et traditions. Fêtes. Courses annuelles. Langues (dialectes et particularités). Organisation scolaire. Cultes (bonzeries, chrétientés. etc...)," Bulletin de la Société des Études Indochinoises de Saigon No. 60. Saigon: M. Rey. p. 116.
  44. Groslier, George (1921). Recherches sur les Cambodgiens: d'Après les textes et les monuments depuis les premiers siècles de notre ère. Paris: A. Challamel. p. 46.
  45. Ponder, Harriet Winifred (1936). CAMBODIAN GLORY: The Mystery of the Deserted Khmer Cities and their Vanished Splendour; and a Description of Life in Cambodia To-day. London: Thornton Butterworth Ltd. p. 27. OCLC 1016360490
  46. Walker, George B. (1955). ANGKOR EMPIRE. Calcutta: Signet Press. pp. 59–60.
  47. Evans, Grant (2009). The Last Century of Lao Royalty: A Documentary History. Chiang Mai: Silkworm Books. p. 77. ISBN 9789749511664
  48. 48.00 48.01 48.02 48.03 48.04 48.05 48.06 48.07 48.08 48.09 48.10 Horst, John ter (2008). WEAVING INTO CAMBODIA: Trade and Identity Politics in the (post)-Colonial Cambodian Silk Weaving Industry. Doctoral dissertation (PhD), Vrije Universiteit Amsterdam (Doctor of Philosophy in Social Sciences). ISBN 9789090232324