ชินชิยาหางสั้น
ชินชิยาหางสั้น | |
---|---|
![]() | |
ชินชิยาหางสั้นในโขดหินแถบเทือกเขาแอนดีส | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
โดเมน: | Eukaryota |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Mammalia |
อันดับ: | Rodentia |
วงศ์: | Chinchillidae |
สกุล: | Chinchilla |
สปีชีส์: | C. chinchilla |
ชื่อทวินาม | |
Chinchilla chinchilla Lichtenstein, 1829 | |
![]() | |
การกระจายพันธุ์ในอดีตของชินชิยาหางสั้น | |
ชื่อพ้อง | |
|
ชินชิยาหางสั้น (สเปน: chinchilla de cola corta), ชินชิยาเปรู (chinchilla peruana), ชินชิยาที่ราบสูง (chinchilla del altiplano), ชินชิยาเทือกเขา (chinchilla cordillerana, chinchilla de las cordilleras) หรือ ชินชิยาหลวง (chinchilla real) เป็นสัตว์แทะขนาดเล็กชนิดหนึ่งในวงศ์ชินชิยา (Chinchillidae) ซึ่งองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติจัดว่าเป็นชนิดใกล้สูญพันธุ์ ชินชิยาหางสั้นมีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ ในอดีตกระจายพันธุ์อยู่ในเปรู โบลิเวีย ชิลี และอาร์เจนตินา ทุกวันนี้เหลือประชากรในธรรมชาติจำกัดอยู่ในแถบเทือกเขาแอนดีสทางตอนเหนือของชิลี แต่ก็เพิ่งมีการพบประชากรกลุ่มเล็ก ๆ อีกกลุ่มทางตอนใต้ของโบลิเวีย
ลักษณะเด่นของชินชิยาหางสั้นคือขนสีเทาอมฟ้าซึ่งมีความหนาแน่นและนุ่มมาก สัตว์ชนิดนี้จัดอยู่ในสกุลชินชิยา (Chinchilla) ร่วมกับชินชิยาหางยาว เมื่อเทียบกับชนิดหางยาวแล้ว ชนิดหางสั้นจะมีลำตัวใหญ่กว่า คอหนากว่า ไหล่กว้างกว่า หูเล็กและกลมกว่า[4][5] ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ความยาวของหาง โดยชนิดหางสั้นมีหางยาวได้ถึง 100 มิลลิเมตร ในขณะที่ชนิดหางยาวมีหางยาวได้ถึง 130 มิลลิเมตร[6] ชินชิยาทั้งสองชนิดมีหัวกว้างและมีร่องรอยกระพุ้งแก้มเก็บอาหารซึ่งเป็นโครงสร้างที่เหลือค้างมาจากวิวัฒนาการ
มนุษย์ได้จับชินชิยามาใช้ประโยชน์ต่าง ๆ มานานหลายศตวรรษ การล่าชินชิยาหางสั้นเพื่อเอาขนไปใช้ในเชิงพาณิชย์เริ่มจากที่ชิลีใน ค.ศ. 1828 ส่งผลให้ความต้องการขนชินชิยาในยุโรปและสหรัฐเพิ่มสูงขึ้น เมื่อความต้องการขนชินชิยาเพิ่มขึ้น ประชากรชินชิยาก็ลดจำนวนลงจนดูเหมือนว่าพวกมันจะสูญพันธุ์ไปใน ค.ศ. 1917 มีการออกกฎหมายห้ามล่าชินชิยาใน ค.ศ. 1929 แต่ก็ไม่มีการบังคับใช้อย่างเคร่งครัดจนกระทั่ง ค.ศ. 1983[7] แม้จะมีการค้นพบชินชิยาหางสั้นอีกครั้งในธรรมชาติใน ค.ศ. 1953 แต่ประชากรสัตว์ชนิดนี้ก็ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องจนถูกจัดเป็นชนิดใกล้สูญพันธุ์ ชินชิยาหางสั้นมีภัยคุกคามมากมาย เช่น การล่าสัตว์อย่างผิดกฎหมาย การสูญเสียแหล่งที่อยู่ การตัดไม้ทำฟืน การทำเหมือง เป็นต้น[4] ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ชินชิยาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในฐานะสัตว์เลี้ยงแปลกใหม่ ส่งผลให้การล่าและดักจับพวกมันเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Roach, N.; Kennerley, R. (2016). "Chinchilla chinchilla". IUCN Red List of Threatened Species. 2016: e.T4651A22191157. สืบค้นเมื่อ 30 January 2020.
- ↑ "Appendices | CITES". cites.org. สืบค้นเมื่อ 2022-01-14.
- ↑ Domestic specimens of Chinchilla spp. are not subject to the provisions of CITES.
- ↑ 4.0 4.1 "Chinchilla | San Diego Zoo Animals & Plants". animals.sandiegozoo.org. สืบค้นเมื่อ 2022-10-27.
- ↑ "Love My Chinchilla — Short Tailed vs. Long Tailed Chinchillas". lovemychinchilla.com. สืบค้นเมื่อ 2022-11-26.
- ↑ Newman, Shane (2019-03-28). "Short-tailed Chinchilla Facts, Habitat, Diet, Pictures". Animal Spot (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2022-11-06.
- ↑ Jiménez, Jaime E. (1996-07-01). "The extirpation and current status of wild chinchillas Chinchilla lanigera and C. brevicaudata". Biological Conservation (ภาษาอังกฤษ). 77 (1): 1–6. Bibcode:1996BCons..77....1J. doi:10.1016/0006-3207(95)00116-6. ISSN 0006-3207.