ข้ามไปเนื้อหา

ชาวคัมภีร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ชาวคัมภีร์ หรือ อะฮ์ลุลกิตาบ (อาหรับ: أهل الكتاب) เป็นการจำแนกในศาสนาอิสลาม สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาซึ่งชาวมุสลิมถือว่าพวกเขาได้รับการเปิดเผยพระวจนะจากพระเป็นเจ้าในรูปแบบคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนใหญ่แล้วการจำแนกนี้หมายความถึงศาสนาอับราฮัมก่อนหน้าศาสนาอิสลาม[1] ในคัมภีร์อัลกุรอาน ชาวคัมภีร์หมายถึงชาวยิว ชาวคริสต์ และชาวศอบิอ์ รวมถึงชาวโซโรอัสเตอร์ (ตามการตีความบางแหล่ง)[2] ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 8 การจำแนกนี้เริ่มครอบคลุมไปถึงกลุ่มอื่นอย่างชาวสะมาริตัน ซึ่งมีความใกล้ชิดกับชาวยิว[3] และที่เป็นที่ถกเถียง คือ ชาวฮินดู ชาวพุทธ ชาวเชน ชาวซิกข์ และอื่น ๆ อีกด้วย[4] โดยมากแล้ว "ชาวคัมภีร์" เป็นคำที่ชาวมุสลิมใช้เรียกผู้ที่นับถือศาสนายูดาห์และศาสนาคริสต์ ซึ่งมีค่านิยม แนวทาง และหลักการหลายอย่างร่วมกันกับศาสนาอิสลาม

ในอดีต ประเทศและภูมิภาคที่ใช้กฎหมายอิสลาม ถือว่าชุมชนศาสนาที่ชาวมุสลิมยอมรับว่าเป็น "ชาวคัมภีร์" จะอยู่ภายใต้สถานะทางกฎหมายที่เรียกว่า "ษิมมี" (ذمي) ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีสิทธิ์เลือกที่จะจ่ายภาษีพิเศษที่เรียกว่า "ญิซยะฮ์" (جِزْيَة) เพื่อแลกกับสิทธิในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและปกครองชุมชนของตนตามกฎและบรรทัดฐานของศาสนาของตนเอง[3] ภาษีญิซยะฮ์จะเรียกเก็บจากชายวัยผู้ใหญ่ที่ไม่ใช่มุสลิมซึ่งมีสภาพร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์ทุกคน จากชุมชนศาสนาที่ได้รับการยอมรับ ผู้ที่นับถือศาสนาที่ไม่ได้รับการยอมรับไม่ได้รับสิทธิพิเศษนี้เสมอไป แม้ว่ารัฐอิสลามหลายแห่งในยุคหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนุทวีปอินเดีย ได้แก้ไขกฎหมายเพื่อขยายการให้สถานะษิมมีให้ครอบคลุมมากกว่าแค่ชุมชนชาวยิวและชาวคริสต์ที่ถูกกำหนดไว้แต่เดิม[5]

ในคัมภีร์อัลกุรอาน คำนี้ถูกใช้ในบริบทที่หลากหลาย ตั้งแต่การโต้แย้งทางศาสนา ไปจนถึงข้อความที่เน้นย้ำถึงชุมชนของผู้มีศรัทธาในหมู่ผู้ที่นับถือศาสนาที่มีคัมภีร์และเชื่อในหลักเอกเทวนิยม ตรงข้ามกับแนวคิดพหุเทวนิยมหรือความเชื่อรูปแบบอื่น ๆ[6]

การกำหนดความเป็นชาวคัมภีร์ยังสัมพันธ์กับการสมรสแบบอิสลาม ชายที่เป็นมุสลิมได้รับอนุญาตให้แต่งงานกับหญิงที่ไม่ใช่มุสลิมได้ก็ต่อเมื่อเธอเป็นชาวยิวหรือชาวคริสต์เท่านั้น และเขามีหน้าที่ต้องดูแลให้ลูกที่เกิดกับภรรยาชาวยิวหรือชาวคริสต์ได้รับการเลี้ยงดูให้เติบโตในศาสนาอิสลาม ขณะที่หญิงชาวมุสลิมไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งงานกับชายที่ไม่ใช่มุสลิม แม้ว่าเขาจะเป็นชาวยิวหรือชาวคริสต์ก็ตาม[7] ในกรณีของการแต่งงานระหว่างชาวมุสลิมและชาวคริสต์ ซึ่งจะสามารถกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับการอนุญาตจากฝ่ายชาวคริสต์ ข้อตกลงของมุฮัมมัด (العهدة المحمدية) ระบุว่าสามีชาวมุสลิมไม่ได้รับอนุญาตให้ขัดขวางภรรยาชาวคริสต์ของเขาจากการไปโบสถ์เพื่อสวดมนต์และนมัสการ[8][9]

เมื่อไม่นานมานี้ คำนี้ถูกนำกลับมาใช้ใหม่โดยชาวยิวและชาวคริสต์บางส่วน เพื่อเป็นเครื่องมือในการบ่งบอกตัวตนของตัวเองเมื่อเปรียบเทียบกับชาวมุสลิม[10]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Sharon 2004; Madigan 2001.
  2. สำหรับชาวศอบิอ์ ดูที่ De Blois 2004, สำหรับชาวโซโรอัสเตอร์ ดูที่ Darrow 2003; Nasr et al. 2015, p. 834 (verse 22:17).
  3. 1 2 Esposito 2003.
  4. Kimball 2019, p. 195, สำหรับชาวฮินดู ดูเพิ่มที่ Nasr 1972, p. 139.
  5. Desika Char, S. V. (1997). Hinduism and Islam in India: Caste, Religion, and Society from Antiquity to Early Modern Times. Markus Wiener Publishers. p. 127. ISBN 978-1-55876-151-3.
  6. Vajda 1960–2007.
  7. Rahman, Fazlur (July 1980). "A Survey of Modernization of Muslim Family Law" (PDF). Ikhtyar.org. สืบค้นเมื่อ 2 February 2022.
  8. Ahmed, Akbar S. (11 January 2013). Postmodernism and Islam: Predicament and Promise (ภาษาอังกฤษ). Routledge. p. 62. ISBN 978-1-134-92417-2. The Quran speaks favourably of the people of the Book. For example, Surah 3, verse 199, carries a universal message of goodwill and hope to all those who believe, the people of the Book irrespective of their religious label—Christian, Jew or Muslim. Muslims can marry with the people of the Book,
  9. Timani, Hussam S.; Ashton, Loye Sekihata (29 November 2019). Post-Christian Interreligious Liberation Theology (ภาษาอังกฤษ). Springer Nature. p. 196. ISBN 978-3-030-27308-8.
  10. Jeffrey 1996, pp. xi–xiv.