ชาขาว
![]() | ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
ชาขาว | |||||||||||||||||||||
![]() ใบชาไป๋ห่าวหยินเจิน | |||||||||||||||||||||
ภาษาจีน | 白茶 | ||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ความหมายตามตัวอักษร | ชาขาว | ||||||||||||||||||||
|
ชาขาว เป็นชาชนิดหนึ่ง ผลิตจากตูมและยอดอ่อนของต้นชา แหล่งเพาะปลูกชาขาวที่มีชื่อเสียงอยู่ที่มณฑลฝูเจี้ยน ทางตอนใต้ของประเทศจีน กรรมวิธีผลิตชาขาวเริ่มจากการเลือกเก็บยอดอ่อนชาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นนำยอดชาที่เก็บได้มาผ่านกระบวนการทำแห้งในระยะเวลาที่รวดเร็ว ด้วยวิธีธรรมชาติโดยอาศัย ลม แสงแดด หรือความร้อนซึ่งจะแตกต่างจากกรรมวิธีผลิตชาประเภทอื่น ๆ (ชาเขียว ชาดำ ชาแดง ชาอูหลง) ที่ผ่านกระบวนการทำแห้งด้วยความร้อนหรือไอน้ำและผ่านกระบวนการหมักสำหรับชาบางประเภท ทำให้ปริมาณสารต่อต้านอนุมูลอิสระและคุณค่าทางโภชนาการของชาขาวยังคงไว้ได้มาก รวมทั้งกลิ่นและรสชาติของชาขาวที่ยังคงความสดชื่นและนุ่มนวล ชาขาวจึงเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง
ต้นกำเนิดชาขาว
[แก้]
ชา | |
---|---|
![]() | |
ยอดชาขาว | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ ![]() | |
อาณาจักร: | พืช Plantae |
เคลด: | พืชมีท่อลำเลียง Tracheophyta |
เคลด: | พืชดอก Angiosperms |
เคลด: | พืชใบเลี้ยงคู่แท้ Eudicots |
เคลด: | แอสเทอริด Asterids |
อันดับ: | อันดับกุหลาบป่า |
วงศ์: | วงศ์ชา |
สกุล: | Camellia |
สปีชีส์: | Camellia sinensis |
ชื่อทวินาม | |
Camellia sinensis (L.) Kuntze |
ประเทศจีนเป็นแหล่งผลิตดั้งเดิมของใบชา ชาขาวมีชื่อเดิมตามภาษาท้องถิ่นจีนว่า หยินเจิน (แปลว่าเข็มเงิน) ชาวจีนดื่มชาขาวมานานกว่า 1,500 ปี ในปีคริสต์ศักราช 618–907 สมัยราชวงศ์ถังเป็นยุคสมัยของประวัติศาสตร์ชา รูปแบบของชาและวิธีในการเตรียมจะมีความแตกต่างจากปัจจุบัน[1] การผลิตชาขาวในสมัยนั้น ชาขาวจะถูกเก็บตูมชาภายใน 48 ชั่วโมงนับตั้งแต่วินาทีที่ตูมชาแรกผลิออกมา การเก็บเกี่ยวจะต้องทำอย่างพิถีพิถัน โดยจะเก็บเกี่ยวด้วยมือเท่านั้นและเลือกเก็บเฉพาะในช่วงวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นตูมชาจะถูกทำให้แห้งและอัดรวมเป็นก้อน ส่วนการชงชานั้นจะนำใบชาบางส่วนจากก้อนชามาใส่ในน้ำเดือดที่อยู่ในภาชนะเคลือบดินเผาจึงได้น้ำชา ในช่วงสมัยราชวงศ์ซ่ง ระหว่างปี 960–1279 การผลิตและวิธีเตรียมชาทั้งหมดในสมัยนั้นมีการเปลี่ยนแปลง รูปแบบชาในสมัยนั้น ส่วนมากจะอยู่ในลักษณะตูมชาแห้งที่ไม่มีการอัด (loose-leaf styles) [1] และมีการเกิดชารูปแบบใหม่เกิดขึ้น คือ ชาผง กระบวนการผลิตชาเริ่มจากตูมชาจะถูกเก็บและนำมาผ่านกระบวนการอบไอน้ำในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อรักษากลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว หลังจากนั้นผ่านกระบวนการทำแห้งและบดเป็นผงละเอียด ทำให้เกิดเครื่องดื่มลักษณะใส สีเหลืองอ่อน เมื่อดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ในช่วงสมัยราชวงศ์ซ่งนี้ได้จักรพรรดิ Hui Zhong ได้กล่าวว่า “ชาขาวเป็นชาที่ดีที่สุดในบรรดาชาทั้งหมด” และได้เกิดชาขาวขึ้นหลายชนิด เนื่องจากชาขาวเป็นชาที่มีรสชาติเป็นที่พึงพอใจของสังคมชั้นสูง มีกลิ่นหอม รสชาติ และคุณสมบัติดี หายากและมีราคาแพง จึงถือเป็นชาชั้นสูงสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน
แหล่งเพาะปลูกชาขาว
[แก้]ชาเป็นพืชกึ่งร้อน สามารถขึ้นได้ดีในเขตอบอุ่นและมีฝน ชาปลูกได้ดีในพื้นที่สูง (200–2,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล) ความลาดชันไม่เกิน 45 องศา ความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 70–90% ปริมาณน้ำฝน 1,500–2,500 มิลลิเมตร[2] การปลูกชาสามารถปลูกได้ทั่วไปบนภูเขาสูง แต่แหล่งผลิตชาขาวที่มีชื่อเสียงของประเทศจีนอยู่ที่มณฑลฟูเจี้ยน เนื่องจากเป็นพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 400–1,000 เมตร สภาพภูมิอากาศและผืนดินอุดมด้วยแร่ธาตุสมบูรณ์เหมาะสมแก่การปลูกชาขาว สามารถให้ผลผลิตชาขาวที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ยังพบการปลูกชาขาวทางตอนใต้ของจีนที่มณฑลหูหนาน มณฑลกว่างซี และในประเทศญี่ปุ่น ส่วนในประเทศอินเดียและทวีปแอฟริกามีการเพาะปลูกชาขาวได้แต่มีปริมาณน้อย แม้ว่าปริมาณผลผลิตชาขาวจะมีน้อยแต่การดื่มชาขาวกลับได้รับความนิยมในหลายประเทศ โดยการส่งออกชาขาวของประเทศจีนเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1891 และปัจจุบันส่งออกไปยังประเทศเยอรมนี เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ อินโดนีเซีย สิงค์โปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น ฮ่องกง และมาเก๊า [3]
กรรมวิธีในการผลิต
[แก้]ชาขาวเป็นพืชตามฤดูกาลโดยสามารถเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูใบไม้ผลิ การเก็บใบชาเพื่อนำมาทำชาขาวนั้นจะคัดเลือกเฉพาะยอดอ่อนที่มีความสมบูรณ์เต็มที่ในฤดูใบไม้ผลิ ตูมชาที่มีรูปลักษณ์เหมือนเข็มและมีขนสีขาวประกายเงินปกคลุมอยู่ รวมไปถึงยอดอ่อน 2 ยอดแรกของต้นชาจะถูกเก็บ จึงเป็นที่มาของชื่อ “ชาขาว” หลังจากนั้นตูมชาที่ถูกเก็บมาจะถูกทำให้แห้งโดยวิธีธรรมชาติ ด้วยการตากแดดหรือผึ่งให้แห้งสนิท เมื่อชงชาขาวกับน้ำร้อนจะให้สีเหลืองอ่อน รสชาติหวาน นุ่มนวล กลมกล่อมและมีกลิ่นหอมเฉพาะ ชาขาวจึงกลายเป็นของที่หายาก และมีราคาแพง ซึ่งการผลิตสามารถทำได้ในทุกช่วงยกเว้นฤดูหนาว อย่างไรก็ดีชาขาวที่ผลิตในฤดูใบไม้ผลิเป็นชาขาวที่มีคุณภาพดีที่สุด ถัดมาเป็นชาขาวที่ผลิตในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และฤดูร้อนเป็นลำดับสุดท้าย [3] ชาส่วนใหญ่ในโลกนี้มาจากต้นชาตระกูลเดียวกัน คือ สกุล Camellia แต่ต่างกันในขั้นตอน กรรมวิธีการผลิต และอายุของใบชา[4]
ประเภทชาขาว
[แก้]เนื่องจากความแตกต่างของมาตรฐานการเก็บและคัดสรรใบชา รวมทั้งความแตกต่างของสายพันธุ์และถิ่นที่ปลูก สามารถแยกประเภทของชาขาวได้ ดังนี้
- ไป๋เหาอิ๋นเจิน แปลว่า "เข็มเงิน" ทำจากตูมชาที่มีรูปลักษณ์เหมือนเข็มซึ่งปกคลุมด้วยขนเล็ก ๆ สีขาว เป็นชาขาวที่มีคุณภาพดีที่สุด ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บอยู่ระหว่าง 15 มีนาคมถึง 10 เมษายนของทุกปี และจะต้องเก็บด้วยมือภายในระยะเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง[5] แหล่งเพาะปลูกที่มณฑลฟูเจี้ยน ประเทศจีน
- ชาไป๋หมู่ตาน (白牡丹茶) แปลว่า ดอกโบตั๋นขาว ชาไป๋มู่ตานมีคุณภาพเป็นอันดับสอง รองลงจากชาไป๋ห่าวหยินเจิน เนื่องจากผลิตจากยอดและใบอ่อนชา แหล่งเพาะปลูกที่มณฑลฟูเจี้ยน ประเทศจีน
- ชาก้งเหมยย์ (貢眉) แปลว่า คิ้วบรรณาการ ตามลักษณะของใบชา ชากงเหมย ผลิตจากใบอ่อนชามีคุณภาพเป็นอันดับสาม รองลงจากชาไป๋มู่ตาน แหล่งเพาะปลูกที่มณฑลฟูเจี้ยน ประเทศจีน
- ชาโซวเหมย ทำจากยอดชาและใบอ่อน มีกลิ่นและรสแรงกว่าชาขาวประเภทอื่น ๆ มีคุณภาพดีเป็นอันดับสี่ รองลงจากชากงเหมยตามลำดับ ปลูกมากแถบมณฑลกว่างซีและมณฑลฟูเจี้ยน ประเทศจีน
- ชาขาวผูเอ่อร์ ชาที่ปลูกทางภาคใต้ของมณฑลหยุนหนาน เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิ ชาขาวผู่เอ๋อร์เป็นชาขาวที่มีคุณภาพ มีกลิ่นหอม รสชาติดี
- ชาขาวซีลอน มีกลิ่นแอลกอฮอล์อ่อน ๆ ผสมกับกลิ่นสนและกลิ่นน้ำผึ้ง ปลูกในประเทศศรีลังกา
- ชาขาวดาร์จีลิง มีรสนิ่มนวล กลิ่นหอมอ่อน ๆ ปลูกในรัฐดาร์จีลิง ประเทศอินเดีย
- ชาขาวอัสสัม มีกลิ่นหอมเฉพาะคล้ายข้าวมอลต์ (malty) ปลูกในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย
- ชาขาวแอฟริกัน คล้ายชาไป๋ห่าวหยินเจิน แต่มีกลิ่นและรสชาติที่แรง รวมทั้งมีปริมาณคาเฟอีนสูงกว่าชาจีน ปลูกในประเทศมาลาวีและเคนย่า
สารสำคัญในชาขาวที่มีประโยชน์
[แก้]ชานั้นถือว่ามีประโยชน์ในร่างกายเพราะประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน แร่ธาตุ อัลคาลอยด์ กรดอะมิโน น้ำมันหอมระเหย (volatile oil) และน้ำ[3] จากกรรมวิธีการผลิตชาขาวที่ผ่านกระบวนการเพียงเล็กน้อย ทำให้ชาขาวยังคงสารที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าชาชนิดอื่น อีกทั้งส่วนประกอบต่าง ๆ ของชาขาวยังส่งผลต่อกลิ่น รสชาติ และบ่งบอกถึงคุณภาพของชา
สารต้านอนุมูลอิสระ
[แก้]สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในชาขาวส่วนใหญ่เป็นสารโพลีฟีนอล (polyphenol) จำพวกสารคาเทชิน (catechin) ซึ่งพบมากถึง 70% ของปริมาณสารโพลีฟีนอลทั้งหมดที่มีในชาขาว[3] มีคุณสมบัติที่ดีต่อสุขภาพ คือ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง ลดระดับของคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ต้านแบคทีเรีย ไวรัส และป้องกันฟันผุ เมื่อเปรียบเทียบปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระจากการบริโภคชาขาวหนึ่งแก้ว พบว่าการบริโภคชาขาวได้รับสารปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าการบริโภคผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผักโขม บร๊อคโคลี่ สตรอเบอรี่ ในสัดส่วนการบริโภคที่เท่ากัน จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยคิงสตัน (Kingston University) ประเทศอังกฤษซึ่งได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติและสารอาหารจากพืชผักชนิดต่าง ๆ กว่า 21 ชนิดและสารสกัดจากสมุนไพรประเภทต่าง ๆ ว่ามีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกายมนุษย์ พบว่า สารอาหารที่มีประโยชน์ในชาขาวมีปริมาณมากกว่าพืชและสารสกัดจากสมุนไพรชนิดอื่น ๆ การดื่มชาขาวจึงมีผลดีต่อสุขภาพมาก[6]
สารคาเทชิน
[แก้]สารคาเทชินประกอบไปด้วย Epigallocatechin (EGC), Epicatechin (EC), Catechin (C), Epigallocatechin -3-gallate (EGCG), Epicatechin-3-gallate (ECG) และ Gallocatechin (GC) สารโพลีฟีนอลเหล่านี้ สารที่พบมากที่สุด คือ EGCG พบประมาณ 50% ของประมาณสารต้านอนุมูลอิสระในชาขาว สาร EGCG เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงมากกว่าวิตามินเอและวิตามินซีถึง 100 เท่า[7] ทำให้มีคุณสมบัติในการช่วยยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน (nitrosamine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง รุนแรงได้ดีกว่าวิตามินซีมาก เพราะทำปฏิกิริยาได้เร็วและแรงกว่า นอกจากนั้น EGCG ยังสามารถยับยั้งการเปลี่ยนแปลงของเบสในดีเอ็นเอของเซลล์มะเร็ง (Hela cell) [8] ยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมันเลว (low-density lipoprotein /LDL)[9] ซึ่งทำความเสียหายให้เซลล์ที่ผนังเส้นเลือดมากมาย และเป็นสาเหตุนำไปสู่โรคท่อเลือดแดงและหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis)
ตารางที่ 1 ชื่อสารคาเทชินชนิดต่าง ๆ ในชา[10]
ชื่อสาร | R1 | R2 | R3 | R4 |
---|---|---|---|---|
(+) -catechin | OH | H | OH | H |
(–) -epicatechin | H | OH | OH | H |
(+) -gallocatechin | OH | H | OH | OH |
(–) -epigallocatechin | H | OH | OH | OH |
(–) -epicatechin gallate | H | galloyl | OH | H |
(–) -epigallocatechin gallate | H | galloyl | OH | OH |
(–) -epiafzelechin gallate | H | galloyl | H | H |
ฟลาโวนอยด์
[แก้]ชาขาวมีปริมาณของฟลาโวนอยด์ที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับชาชนิดอื่น โดยชาขาวมีปริมาณฟลาโวนอยด์ซึ่งเป็นสารประกอบ ของฟลาโวนอยด์มากกว่าชาชนิดอื่นถึง 14.2–21.4 เท่า ซึ่งฟลาโวนอยด์มีประสิทธิภาพสูงสุดในการต้านสารอนุมูลอิสระ[3] สามารถช่วยป้องกันการถูกทำลายของเซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกายจากอนุมูลอิสระและออกซิเจน
สารคาเฟอีน
[แก้]ประโยชน์อื่น ๆ ของการดื่มชาขาวคือ มีปริมาณคาเฟอีน ที่ต่ำกว่าชาชนิดอื่นโดยมีประมาณ 15 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภคของชา ซึ่งน้อยกว่าชาเขียวและชาดำที่มีปริมาณคาเฟอีน 20 มิลลิกรัม และ 40 มิลลิกรัม[3] ตามลำดับ ทั้งนี้ สารตัวนี้เป็นที่ถกเถียงกันในวงการแพทย์ว่ามีประโยชน์ หรือ โทษกันแน่ แต่โดยทั่วไปยอมรับกันว่าถ้าดื่มไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม ก็ไม่มีผลเสียต่อร่างกาย
กรดอะมิโน
[แก้]ชาขาวมีคุณสมบัติช่วยผ่อนคลายได้เนื่องจากมีกรดอะมิโนไทอามีน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่พบได้ตามธรรมชาติ ที่ช่วยให้รู้สึกสงบผ่อนคลายโดยที่ไม่ทำให้ง่วง
ประโยชน์ของชาขาวต่อสุขภาพ
[แก้]ชาขาวถูกใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งชาขาวถือว่ามีประโยชน์มาทางด้านนี้ เพราะมีสารโพลีฟีอลประเภท EGCG สูงทำให้มีประโยชน์มากกว่าชาชนิดอื่น อีกทั้งชาขาวยังมีคุณสมบัติในการต่อต้านโรคเรื้อรัง การต้านสารก่อมะเร็ง (anticarcinogenicity) [3] การต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant activity) และการยับยั้งการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ (antimicrobial activity) [11] ชาขาวกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป
คุณสมบัติต้านมะเร็ง
[แก้]เป็นที่ทราบกันว่า ชาเขียวมีคุณสมบัติในการต้านสารก่อมะเร็ง เพราะชาเขียวมีปริมาณสารคาเทชินและสารโพลีฟีนอลอื่น ๆ มาก ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างไรก็ดี จากการศึกษาปริมาณและคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระเปรียบเทียบระหว่างชาขาวและชาเขียวของ มหาวิทยาลัยโอไฮโอเซาเทิร์น (Ohio University Southern) ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า ชาขาวมีปริมาณสารโพลีฟีนอลสูงกว่าชาเขียว[12] การดื่มชาขาวจึงน่าจะมีประโยชน์และมีประสิทธิภาพในการต้านโรคมะเร็งที่ดีกว่าชาเขียวหรือชาชนิดอื่น โดยหากอ้างอิงจากคุณสมบัติของชาเขียวที่ช่วยป้องกันมะเร็งหลายชนิด ทั้งมะเร็งปอด ต่อมลูกหมาก เต้านม ลำไส้ใหญ่ ตับ ผิวหนัง และกระเพาะอาหาร ชาขาวก็ย่อมมีประสิทธิภาพในการยับยั้งมะเร็งชนิดต่าง ๆ ได้ดีกว่า เพราะประกอบไปด้วย EGCG ที่มากกว่า ทั้งนี้ข้อมูลวิจัยของมหาวิทยาลัยคิงสตัน ประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า ในชาขาวจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ และตัวต้านการเกิดปฏิกิริยาของสารอื่น ๆ กับออกซิเจนทำสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและโรคเกี่ยวกับหัวใจ [13]
มะเร็งผิวหนัง
[แก้]จากการทดลองของมหาวิทยาลัยโคเปนไฮเกน (University of Copenhagen) ประเทศเดนมาร์คร่วมกับ Stephens & Associates Inc ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า สารสกัดชาขาวสามารถยับยั้งและป้องกันการถูกทำลายของสารพันธุกรรม (DNA) ในเซลล์หลังการสัมผัสแดด[3] เพราะฉะนั้นสารต้านอนุมูลอิสระในชาขาว จะช่วยปกป้องผิวจากภายใน โดยป้องกันการสูญเสียโปรตีนในชั้นผิวจากกระบวนการออกซิเดชั่น มีส่วนในการปกป้องเซลล์ผิว ทำให้สามารถปกป้องผิวจากมลภาวะและแสงแดด อันเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยหรือจุดด่างดำ พัฒนาระบบภูมิคุ้มกันผิว ยับยั้งอนุมูลอิสระที่มีสาเหตุมาจากรังสียูวี ซึ่งหากระบบภูมิคุ้มกันของเซลล์ผิวยังทำงานได้อย่างปกติ ถือเป็นส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง[14] และช่วยให้ต่อมน้ำเหลืองขจัดสารพิษออกจากผิว ทำให้ผิวไม่แห้งกร้าน และยังสามารถเสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์ผิวหนัง ช่วยในด้านความยืดหยุ่น ของผิวหนังให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ส่งผลให้การทำงานของปอด เส้นเลือด เส้นเอ็นต่าง ๆ และผิวหนังทำงานได้ดี
มะเร็งลำไส้ใหญ่
[แก้]จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยออริกอนสเตท (Oregon State University) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า ชาขาวมีประโยชน์ในการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยงานวิจัยยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ชาขาวมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับการใช้ยาซูลินแด[3][15] เพื่อยับยั้งและป้องการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในลำไส้ใหญ่ของสัตว์ทดลองที่มีปัจจัยทางพันธุกรรมที่ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็ง นอกจากนี้สารในชาขาวยังช่วยให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น ช่วยลดคลอเรสเตอรอลชนิด LDL หรือไขมันเลว และเพิ่มปริมาณคลอเรสเตอรอล HDL หรือไขมันดี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไขมันอุดตันหลอดเลือด
คุณสมบัติป้องกันโรคหัวใจ
[แก้]ข้อมูลการศึกษาจาก Internal Medicine and Public Health ประเทศอิตาลี พบว่า การทดลองให้สัตว์ทดลองบริโภคสารฟลาโวนอยด์เป็นประจำสามารถชะลอการเกิดการสะสมไขมันที่หลอดเลือดแดงได้ ซึ่งสัมพันธ์กับข้อมูลการบริโภคชากับการป้องกันการเกิดโรคหัวใจ สารฟลาโวนอยด์ในชาสามารถลดการเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อหัวใจซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดโรคท่อเลือดแดงและหลอดเลือดแดงแข็งได้[16] โดยเฉพาะสาร EGCG ในชา สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ การเพิ่มของไนตริกออกไซด์ในปฏิกิริยา superoxide production (ROS) และช่วยควบคุมความดันโลหิตสูง โดยไปยับยั้ง angiotensis-I converting enzyme (ACE) นอกจากนี้ยังพบว่าสารโพลีฟีนอลในชา สามารถช่วยลดการเกิดออกซิเดชั่นของ LDL และช่วยลดการดูดซึมคลอเลสเตอรอลเข้าสู่ระบบน้ำเหลือง ทำให้ปริมาณ LDL, very low-density lipoprotein (VLDL) และไตรกลีเซอไรด์ลดลง รวมทั้งสามรถเพิ่มปริมาณ HDL ในกระแสเลือด ซึ่งการมีปริมาณที่ไตรกลีเซอไรด์ต่ำและ HDL สูงนี้สะท้อนถึงสุขภาพของระบบหัวใจที่ดี
คุณสมบัติต้านโรคเบาหวาน
[แก้]การศึกษาในหนูทดลองพบว่า สารโพลีฟีนอลสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูที่เป็นเบาหวาน โดยยับยั้งการทำงานของอะไมเลสซึ่งเป็นเอนไซม์ย่อยแป้งให้เปลี่ยนเป็นน้ำตาล โดยยับยั้งการทำงานของอะไมเลสทั้งในน้ำลายและลำไส้ ซึ่งผลที่เกิดขึ้น คือ แป้งจะถูกย่อยช้าลง ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของน้ำตาลในเลือดเป็นไปอย่างช้า ๆ ซึ่งสัมพันธ์กับอัตราการดูดซึมกลูโคส มีผลทำให้การทำงานของ glucose transporter ในลำไส้ลดลงและอัตราการดูดซึมกลูโคสเข้าสู่ร่างกาย ลดลงด้วยนอกจากนี้สารโพลีฟีนอล ประเภท EGCG ยังช่วยเพิ่มความไวต่อสิ่งกระตุ้นของอินซูลิน (insulin sensitivity) และ สารที่มีหน้าที่คล้ายอินซูลิน (insulin-like activity) รวมทั้งเพิ่มการป้องกันการทำงานของตับและตับอ่อนซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคเบาหวาน[17]
คุณสมบัติต้านจุลินทรีย์
[แก้]สารโพลีฟีนอลมีคุณสมบัติในการต้านแบคทีเรีย โดยเชื่อกันว่า สารโพลีฟีนอลสามารถทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ของแบคทีเรีย จากการศึกษาของ Dyson College of Arts and Sciences มหาวิทยาลัยเพซ (Pace University) ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า ชาขาวสามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ได้ดีกว่าชาเขียว[3] โดยการวิจัยพบว่า ชาขาวสกัด (white tea extract) อาจสามารถใช้ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดที่เกิดจากเชื้อ Staphylococcus, Streptococcus นอกจากนี้ชาขาวมีประสิทธิภาพที่ดีในการหยุดการทำงานของไวรัสและเชื้อรา จากผลการทดลองที่พบทำให้คาดว่า ชาขาวสกัดสามารถต้านไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในมนุษย์ได้ และชาขาวสกัดสามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อราประเภท Penicillium chrysogenum และ Saccharomyces cerevisiae[3] ซึ่งปัจจุบัน ชาขาวสกัด ถูกใส่ลงไปในยาสีฟันหลายยี่ห้อที่ประเทศจีนและสหรัฐอเมริกาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยับยั้งแบคทีเรียและเชื้อรา
คุณสมบัติป้องกันฟันผุ
[แก้]สารในชาขาวมีฤทธิ์เป็นสารปฏิชีวนะที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียหลายชนิดจึงสามารถลดอาการอักเสบและติด เชื้อในช่องปากได้ โดยสารโพลีฟีนอลสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในช่องปาก ซึ่งมีทั้งแบคทีเรียที่ก่อโรคในช่องปาก Porphyromonas gingivilis และ แบคทีเรียที่ทำให้ฟันผุ Streptococcus mutans[11] นอกจากนี้สารโพลีฟีนอลยังสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อะไมเลสในน้ำลายช่วยให้การผลิตกลูโคสและมอลโตสน้อยลง ลดปริมาณอาหารของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดฟันผุ
คุณสมบัติต้านโรคอ้วน
[แก้]สรรพคุณของชาขาวประการหนึ่ง คือ การช่วยลดน้ำหนัก เนื่องจากสารคาเฟอีนและสารคาเทชินในชาขาว ช่วยให้ระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายดีขึ้น เผาผลาญพลังงานได้มาก เป็นผลทำให้น้ำหนักตัวลดลง โดยที่ไม่มีผลกระทบต่ออัตราการเต้นของหัวใจ มีผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มากมายยืนยันประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระและสารสกัดทางธรรมชาติเกี่ยวกับคุณสมบัติต้านไขมันและโรคอ้วน สารต้านอนุมูลอิสระจำพวกโพลีฟีนอล สามารถยับยั้ง catechol-O-methyl transferase จึงช่วยกระตุ้นการสร้างความร้อนของร่างกาย ซึ่งช่วยเผาผลาญพลังงานและช่วยจัดการกับโรคอ้วน[6] ทั้งยังมีคุณสมบัติในการชะลอการปล่อยกลูโคสสู่กระแสเลือด ดังที่กล่าวมาแล้วในเรื่องคุณสมบัติต้านโรคเบาหวาน ซึ่งทำให้ชะลอการสร้าง อินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ส่งเสริมให้ร่างกายสะสมไขมัน ดังนั้น ร่างกายจึงเผาผลาญไขมันแทนที่จะสะสมไขมัน
- ในการทดลองประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระในชาขาวและชาเขียวต่อการยับยั้งเอมไซม์ pancreatic lipase[18] ซึ่งเอมไซม์ชนิดนี้มีหน้าที่ในการย่อยกรดไขมันให้มีขนาดเล็กและสามารถดูดซึมเข้าสู่ลำไส้เล็กได้ ชาขาวแสดงประสิทธิภาพในการยับยั้งการทำงานของเอมไซม์ pancreatic lipase สูงกว่าชาเขียว พิจารณาได้จากปฏิกิริยาการต้านสารอนุมูลอิสระจากค่า EC50 (Median Effective Concentration) พบว่า ค่า EC50 ของชาขาวมีค่าอยู่ที่ 22 µg GAE/ml ซึ่งน้อยกว่าค่า EC50 ของชาเขียวที่ 35 µg GAE/ml แสดงถึง ประสิทธิภาพของชาขาวในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีสูงกว่าชาเขียวในการการยับยั้งการทำงานของเอมไซม์ pancreatic lipase ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกที่มีผลต่อโรคอ้วน นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระยังมีการเหนี่ยวนำการเกิดกระบวนการทำลายเซลล์ (apoptosis), การลดลงของกระบวนการสะสมไขมันและกระตุ้นกระบวนการทำลายไขมันในเซลล์ในสัตว์ทดลอง มีการศึกษาผลการออกฤทธิ์ของสารสกัดชาขาวต่อเซลล์ไขมัน (pre-adipocytes and adipocytes) [19] ในกระบวนการสร้างเซลล์ไขมัน (adipogenesis) และกระบวนการสลายไขมันในเซลล์ (lipolysis) พบว่า สารสกัดจากชาขาวมีประสิทธิภาพในการลดปริมาณการสร้างเซลล์ไขมัน และสามารถทำลายไขมันในเซลล์ไขมันได้ โดยที่สารสกัดชาขาวสามารถเหนี่ยวนำให้เกิดการเกิดการแสดงออกที่ลดลงของยีนส์ SIR1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับเจริญเติบโตของเซลล์ไขมัน และมีผลต่อขั้นตอนการรวมตัวของไตรกลีเซอไรด์ในกระบวนการสร้างเซลล์ไขมันระหว่างกระบวนการเปลี่ยนแปลงเซลล์ จาก pre-adipocytes ไปสู่ adipocytes ซึ่งทำให้มีผลต่อจำนวนเซลล์ไขมันที่มีความสามารถในการเจริญเติบโตได้และในขณะเดียวกันก็มีกระตุ้นกระบวนการสลายไขมันซึ่งเก็บสะสมไว้ในเซลล์โดยเพิ่มกระบวนการเปลี่ยนแปลงไตรกลีเซอไรด์ไปเป็น กรดไขมันและกลีเซอรอล[19] การดื่มชาขาวเป็นประจำจึงอาจเป็นวิธีทางธรรมชาติซึ่งสามารถลดโอกาสที่จะเป็นสาเหตุของโรคอ้วนซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจได้อีกด้วย
คุณสมบัติเพิ่มภูมิคุ้มกัน
[แก้]ตูมชาขาวมีสารโพลีฟีนอลอยู่มากที่เป็นสิ่งทรงพลัง ช่วยพัฒนากระบวนการล้างสารพิษและสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย จึงช่วยป้องกันเซลล์ของร่างกายจาก การเสื่อมสภาพและถูกทำลายก่อนวัยอันควร ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งในระบบภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติและปรับสภาพอนุมูลอิสระให้เป็นกลาง จากข้อมูลในวารสารวิทยาภูมิคุ้มกันทางการแพทย์และโรคภูมิแพ้ ฉบับประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2546 ระบุว่าสารคาเทชินในชาขาว โดยเฉพาะ EGCG มีสรรพคุณป้องการติดเชื้อเอชไอวีผลจากการทดลองแสดงให้เห็นว่า ชาขาวเข้มข้นช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเอชไอทีจับตัวกับเซลล์เม็ดเลือดขาว ชนิดที่มีความสำคัญต่อภูมิคุ้มกันในร่างกายที่เรียกว่า “ ทีเซลล์ ” (T Cells) ซึ่งเป็นด่านแรกที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้[20]
คุณสมบัติชะลอความแก่
[แก้]ชาขาวมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระสูงมากและยังสามารถช่วยชะลอความแก่ เซลล์ผิวหนังจะถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระภายใต้ภาวะกดดันในการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidative stress) ทำให้เกิดริ้วรอยและจุดด่างดำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้มลภาวะและแสงแดดแดด[3] จากการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยคิงสตัน (Kingston University) ประเทศอังกฤษ ในการใช้สารสกัดจากชาขาวต่อการปกป้องโครงสร้างโปรตีนอีลาสตินและคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง พบว่าสารที่สกัดจากชาขาวสามารถปกป้องการทำงานของเอนไซม์ที่ทำลายอีลาสตินและคอลลาเจน ซึ่งจะทำให้เกิดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นทำให้เกิดผลดีต่อโครงสร้างของผิวหนัง คือ เสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์ผิวหนัง ช่วยในด้านความยืดหยุ่นของผิวหนังให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น รวมทั้งส่งผลต่อการทำงานของปอด เส้นเลือด เส้นเอ็นต่าง ๆ และผิวหนังทำงานได้ดีด้วย[13]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 Keiser J. (1 มิถุนายน 2001). White Tea: Culmination of Elegance. Adagio Teas Inc.
- ↑ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (2552). การศึกษาความเป็นไปได้ของการผลิตชาเขียวและชาอูหลงแบบซองในจังหวัดเชียงราย. กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม. เก็บถาวร 3 กันยายน 2014 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน.
- ↑ 3.00 3.01 3.02 3.03 3.04 3.05 3.06 3.07 3.08 3.09 3.10 3.11 Ho CT., Lin JK., and Shahidi F. (2008). Tea and Tea Products Chemistry and Health-Promoting Properties. New York: CRC Press. ISBN 978-0-8493-8082-2.
- ↑ แดนศิลป์ ธ. (2545) “เสน่หาแห่งชา” กรุงเทพ: อีกหนึ่งสำนักพิมพ์ ISBN 974-90377-7-4.
- ↑ ตรีวานิช ส., (2551). ชาขาวกับชาเขียว... เหมือนหรือต่างกันอย่างไร เก็บถาวร 2013-02-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน.
- ↑ 6.0 6.1 School of Life Sciences, Kingston University. Anti-collagenase, anti-elastase and anti-oxidant ctivities of extracts from 21 plants. BMC Complementary and Alternative Medicine. 9:27.
- ↑ The Antioxidants in White Tea. 2007. เก็บถาวร 29 กรกฎาคม 2010 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ Bhimani, R.S., Troll, W., Gruberger, D. and Frenkel, K. 1993. Inhibition of oxidative stress in HeLa-cells by chemopreventive agents. Cancer Res. 53: 4528–33.
- ↑ Miura, S., Watanabe, J., Sano, M., Tomita, T., Osawa, T., Hara, Y. and Tomita, I. (1995). Effects of various natural antioxidants on the Cu2+-mediated oxidative modification of low density lipoprotein. Biol. Pharm. Bull. 18: 1–4. PMID 7735221. doi:10.1248/bpb.18.1.
- ↑ Hilal Y., and Engelhardt U. (2007). Characterisation of white tea – Comparison to green and black tea. Braunschweig University, Germany. doi:10.1007/s00003-007-0250-3.
- ↑ 11.0 11.1 American Society For Microbiology (2004). White Tea Beats Green Tea In Fighting Germs. ScienceDaily.
- ↑ Comparison of white tea, green tea, epigallocatechin-3-gallate, and caffeine as inhibitors of PhIP-induced colonic aberrant crypts:. Nutr. Cancer.
- ↑ 13.0 13.1 Kingston University (2009). White Tea Could Keep You Healthy And Looking Young. ScienceDaily.
- ↑ Schutt E. (2003) White tea extract: a tea less processed.
- ↑ Health Benefits of White Tea. ม.ป.ป. เก็บถาวร 3 ตุลาคม 2010 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ Grassi, D., and et al. (2008). Tea, flavonoids, and nitric oxide-mediated vascular reactivity. Journal of Nutrition. 38. pp. 1554S–1560S.
- ↑ Kao, Y. H., et al. (2006). Tea, obesity, and diabetes. Molecular Nutrition & Food Research. 50. pp. 188–210.
- ↑ Gondoin A., et al. (2010). White and green tea polyphenols inhibit pancreatic lipase in vitro. Food Research International. 43: 1537–1544.
- ↑ 19.0 19.1 Söhle J., et al. (2009). White Tea extract induces lipolytic activity and inhibits adipogenesis in human subcutaneous (pre) -adipocytes. Nutrition & Metabolism.
- ↑ Elements Of Green Tea Prevent HIV From Binding To Human T Cells. ScienceDaily.com.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Linus Pauling Institute: Micronutrient Information Center (http://lpi.oregonstate.edu/infocenter/phytochemicals/tea/)
- http://jn.nutrition.org/cgi/content/full/133/10/3285S
- White Tea for Hair and Skin care (http://www.cosmetochem.ch/upload/docs/publications/rooibos.pdf เก็บถาวร 17 เมษายน 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน)