จักรวรรดิเยอรมัน
จักรวรรดิเยอรมัน | |
---|---|
ค.ศ. 1871–1918 | |
เพลงชาติ:
| |
อาณาเขตจักรวรรดิเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง | |
รัฐและดินแดนต่าง ๆ ในจักรวรรดิเยอรมัน (สีน้ำเงินคือราชอาณาจักรปรัสเซีย) | |
เมืองหลวง | เบอร์ลิน 52°31′N 13°24′E / 52.517°N 13.400°E |
ภาษาทั่วไป | ภาษาราชการ: เยอรมัน |
ศาสนา | ข้อมูลในปี ค.ศ. 1890[1] ส่วนใหญ่: 62.8% โปรเตสแตนต์ ส่วนน้อย:
35.8% โรมันคาทอลิก, 1.1% ยิว |
การปกครอง | สหพันธรัฐแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (ถึงตุลาคม 1918) สหพันธรัฐแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญในระบบรัฐสภา (ตั้งแต่ตุลาคม 1918) |
จักรพรรดิ | |
• 1871–1888 | วิลเฮล์มที่ 1 |
• 1888 | ฟรีดริชที่ 3 |
• 1888–1918 | วิลเฮล์มที่ 2 |
นายกรัฐมนตรี | |
• 1871–1890 | ออทโท ฟอน บิสมาร์ค (คนแรก) |
• 1918 | เจ้าชายมัคซีมีลีอานแห่งบาเดิน (สุดท้าย) |
สภานิติบัญญัติ | ไรชส์ทาค |
ยุคประวัติศาสตร์ | จักรวรรดินิยมใหม่/สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง |
18 มกราคม 1871 | |
• สถาปนารัฐธรรมนูญ | 16 เมษายน 1871 |
28 กรกฎาคม 1914 | |
3 พฤศจิกายน 1918 | |
11 พฤศจิกายน 1918 | |
• วิลเฮล์มที่ 2 สละราชสมบัติ | 28 พฤศจิกายน 1918 |
28 มิถุนายน 1919 | |
พื้นที่ | |
1910 | 540,857.54 ตารางกิโลเมตร (208,826.26 ตารางไมล์) |
ประชากร | |
• 1871 | 40050792 |
• 1910 | 64925993 |
สกุลเงิน | มาร์ค |
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | เยอรมนี โปแลนด์ ฝรั่งเศส เดนมาร์ก รัสเซีย เบลเยียม ลิทัวเนีย เช็กเกีย |
พื้นที่และประชากรไม่รวมอาณานิคมในทวีปอื่นที่ยึดครอง |
จักรวรรดิเยอรมัน ([Deutsches Kaiserreich] ข้อผิดพลาด: {{Lang-xx}}: ข้อความมีมาร์กอัปตัวเอียง (ช่วยเหลือ)) เป็นชื่ออย่างไม่เป็นทางการที่ใช้เรียกแผ่นดินของชาวเยอรมัน ตั้งแต่ที่พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย ได้สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นจักรพรรดิเยอรมันในค.ศ. 1871 จนถึงการสละราชสมบัติของจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ในค.ศ. 1918 ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดระบอบกษัตริย์ในเยอรมัน ชื่อจักรวรรดิเยอรมันในภาษาเยอรมันอย่างเป็นทางการคือ ไรช์เยอรมัน ([Deutsches Reich] ข้อผิดพลาด: {{Lang-xx}}: ข้อความมีมาร์กอัปตัวเอียง (ช่วยเหลือ)) อย่างไรก็ตาม แม้จักรวรรดิจะล่มสลายไปในปี ค.ศ. 1918 แต่ชื่อ ดอยท์เชิสไรช์ ก็ยังถูกใช้เป็นชื่อทางการของสาธารณรัฐไวมาร์ต่อไป
จักรวรรดิเยอรมันประกอบด้วย 26 ดินแดนตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ดินแดนส่วนใหญ่ต่างถูกปกครองและมีราชวงศ์เป็นของตนเอง ดินแดนเหล่านี้ประกอบด้วย 4 ราชอาณาจักร, 6 แกรนด์ดัชชี, 5 ดัชชี (6 ก่อนปี 1876), 7 ราชรัฐ, 3 เสรีนครรัฐ และ 1 ดินแดนในพระองค์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราชอาณาจักรปรัสเซียจะเป็นหนึ่งในดินแดนตามที่กล่าวมานี้ แต่ราชอาณาจักรปรัสเซียกลับเป็นดินแดนที่มีอาณาเขตและประชากรมากที่สุดและมากกว่าดินแดนอีก 25 แห่งที่เหลือรวมกัน ดังนั้นราชอาณาจักรปรัสเซียจึงเป็นดินแดนที่มีอำนาจครอบงำจักรวรรดิเยอรมัน
หลังปี 1850 ได้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมขึ้นอย่างรวดเร็วในรัฐเยอรมันต่าง ๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมถ่านหิน, เหล็ก (และเหล็กกล้าในกาลต่อมา), เคมีภัณฑ์ และกิจการรถไฟ เมื่อแรกสถาปนาจักรวรรดิในปี 1871 จักรวรรดิมีประชากร 41 ล้านคน และในปี 1913 ได้เพิ่มขึ้นไปเป็น 68 ล้านคน ตลอดเวลา 47 ปีที่จักรวรรดิเยอรมันคงอยู่ จักรวรรดิได้กลายเป็นมหาอำนาจด้านอุตสาหกรรม, เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์ของโลก โดยได้รับรางวัลโนเบลมากกว่าชาติอื่น ๆ[2]
เยอรมันกลายเป็นมหาอำนาจจากการขยายเครือข่ายทางรถไฟอย่างรวดเร็ว, มีกองทัพบกที่ทรงแสนยานุภาพที่สุดในโลก, และเป็นฐานอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ในห้วงเวลาเพียงไม่ถึงทศวรรษ กองทัพเรือเยอรมันกลายเป็นกองทัพเรือที่ทรงแสนยานุภาพเป็นลำดับสองรองจากราชนาวีอังกฤษ ในคราวที่นายกรัฐมนตรี ออทโท ฟอน บิสมาร์ค ถูกปลดโดยจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ในปี ค.ศ. 1890 นั้น เป็นห้วงเวลาที่จักรวรรดิเยอรมันรุ่งเรืองและฮึกเหิมอย่างมาก ในวิกฤตการณ์ปี 1914 จักรวรรดิเยอรมันได้ให้การสนับสนุนแก่จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และยังตกลงเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิออตโตมัน เป็นจุดกำเนิดของฝ่ายมหาอำนาจกลางในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อแผนการเข้ายึดกรุงปารีสก่อนฤดูใบไม้ร่วงประสบความล้มเหลวและแนวรบด้านตะวันตกยังคงคุมเชิงกัน เยอรมันก็ถูกกองเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรปิดล้อมทำให้เกิดภาวะขาดแคลนเสบียงอาหาร แม้แนวรบด้านตะวันตกจะไม่คืบหน้า แต่เยอรมันกลับประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในแนวรบด้านตะวันออก สนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์ในปี 1918 ทำให้เยอรมันได้ดินแดนทางตะวันออกมาอย่างมากมาย เยอรมันได้พยายามปิดล้อมเกาะอังกฤษด้วยกองเรือดำน้ำแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนักจากราชนาวีอังกฤษได้จัดเรือคุ้มกันเรือที่มาจากอาณานิคม เหตุโทรเลขซิมแมร์มันน์ในปี 1917 ได้นำพาสหรัฐอเมริกาเข้ามาสู่สงคราม ชาวเยอรมันเริ่มอ่อนล้าจากสงครามในห้วงเวลาที่ลัทธิสังคมนิยมจากการปฏิวัติรัสเซียไหลบ่าเข้ามาสู่ชาวเยอรมัน
แนวรบที่ถูกโต้กลับและสงครามตลอดสี่ปีทำให้เกิดยุคข้าวยากหมากแพงไปทั่วทำให้ประชาชนหมดศรัทธาในรัฐบาลจักรพรรดิเยอรมัน จนทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นในปลายเดือนตุลาคม ค.ศ. 1918 รัฐบาลจักรพรรดิเยอรมันได้ประกาศสงบศึก ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 หลังจากนั้นสองสัปดาห์ จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ทรงประกาศสละราชสมบัติและลี้ภัยทางการเมืองไปยังเนเธอร์แลนด์ จักรวรรดิเยอรมันได้แปรเปลี่ยนสถานะเป็นสาธารณรัฐไวมาร์ภายใต้ระบอบประธานาธิบดี
ภูมิหลัง
สงครามนโปเลียนในต้นศตวรรษที่ 19 นั้น ได้ทำให้จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ของชนชาติที่พูดภาษาเยอรมันล่มสลายและแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อสงครามยุติ ได้มีการจัดการประชุมใหญ่แห่งเวียนนาขึ้นในปี 1815 เพื่อจัดระเบียบทวีปยุโรปเสียใหม่ การประชุมนี้ได้ทำให้เกิดสมาพันธรัฐเยอรมันขึ้นมา เป็นการรวมกลุ่มกันอย่างหลวม ๆ ของบรรดารัฐเยอรมัน ขบวนการชาตินิยมเยอรมันได้นำพาเยอรมันเข้าสู่การเป็นประเทศที่มีความเป็นเสรีและประชาธิปไตยมากขึ้น ขบวนการได้เสนอให้ผนวกแนวคิดที่เรียกว่า "อุดมการณ์รวมกลุ่มเยอรมัน" เข้าไปในนโยบาย Realpolitik ของ ออทโท ฟอน บิสมาร์ค มุขมนตรีปรัสเซีย โดยบิสมาร์คต้องการแผ่ขยายอำนาจของราชวงศ์โฮเอ็นโซลเลิร์นแห่งปรัสเซียเข้าครอบงำรัฐเยอรมันอื่น ๆ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายอันสูงสุดคือการรวมชาติเยอรมันที่มีปรัสเซียเป็นแกนนำ และยังต้องการขจัดอิทธิพลของราชวงศ์ฮับส์บูร์กแห่งออสเตรียที่มีต่อรัฐเยอรมันเหล่านี้
บิสมาร์คได้นำปรัสเซียเข้าสู่สงครามสามครั้งและได้รับชัยชนะอย่างงดงาม คือสงครามชเลสวิชครั้งที่สองกับเดนมาร์กในปี 1864, สงครามออสเตรีย-ปรัสเซียในปี 1866 และสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียในปี 1870–71
สถาปนาจักรวรรดิ
หลังจากที่ปรัสเซียได้ชัยชนะจากสงครามทั้งสาม ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1870 รัฐสภาแห่งสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อสมาพันธรัฐเป็นจักรวรรดิ และมีมติให้พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย ดำรงตำแหน่งเป็นจักรพรรดิ และภายหลังรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้เมื่อ 1 มกราคม ค.ศ. 1871 ในช่วงการปิดล้อมกรุงปารีสนั้นเอง ในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1871 พระเจ้าวิลเฮล์มก็ทรงประกาศตนขึ้นเป็นจักรพรรดิเยอรมัน ณ ห้องกระจก ในพระราชวังแวร์ซาย[3]
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน รัฐธรรมนูญเยอรมันฉบับที่สองก็ได้ถูกรับรองโดยไรชส์ทาค เมื่อวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1871 และจักรพรรดิวิลเฮล์มก็ทรงประกาศใช้ในอีกสองวันถัดมา[3] รัฐธรรมนูญฉบับที่สองนี้ มีเค้าโครงเดิมมาจากรัฐธรรมนูญแห่งสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือที่ร่างขึ้นโดยบิสมาร์ค โครงสร้างทางการเมืองการปกครองยังคงเหมือนเดิม สภานิติบัญญัติของจักรวรรดิมีชื่อเรียกว่า "ไรชส์ทาค" (Reichstag) สมาชิกของไรชส์ทาคมาจากใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปของชายชาวเยอรมัน
การตรากฎหมายต่าง ๆ ต้องผ่านมติเห็นชอบจากสภาสหพันธ์ที่เรียกว่า "บุนเดสรัท" (Bundesrat) ประกอบด้วยผู้แทนจาก 27 รัฐในจักรวรรดิ แต่ละรัฐมีสิทธิออกเสียงไม่เท่ากัน ยิ่งเป็นรัฐที่ใหญ่และประชากรมากก็จะมีสิทธิออกเสียงมาก เช่นราชอาณาจักรปรัสเซียมีสิทธิออกเสียงถึง 17 สิทธิจากทั้งหมด 58 สิทธิ ปรัสเซียต้องการเสียงจากรัฐอื่น ๆ อีกเพียงเล็กน้อยเพื่อให้เกินกึ่งหนึ่ง ส่วนอำนาจฝ่ายบริหารเป็นของจักรพรรดิหรือที่เรียกว่าไกเซอร์ (Kaiser) ซึ่งจะทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีหนึ่งคนเพื่อเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร รัฐธรรมนูญเยอรมนี้ได้ให้อำนาจจักรพรรดิไว้ค่อนข้างมาก สามารถแต่งตั้งและถอดถอนนายกรัฐมนตรีได้ตามพระราชอัธยาศัย รัฐบาลจักรวรรดินี้ไม่มีรัฐมนตรีประจำกระทรวง ดังนั้นแล้วนายกรัฐมนตรีจึงเปรียบเสมือน "รัฐบาลหนึ่งบุรุษ" รับผิดชอบและดูแลราชการแทบจะทุกอย่าง (ทั้งด้านการคลัง, การสงคราม, การต่างประเทศ ฯลฯ) แม้ว่าไรชส์ทาคจะทำหน้าที่ตรากฎหมาย, ยกเลิกกฎหมาย, ผ่านกฎหมาย ดังที่กล่าวมา แต่อำนาจที่แท้จริงทั้งปวงอยู่ที่จักรพรรดิ ซึ่งทรงใช้อำนาจผ่านทางนายกรัฐมนตรี
รัฐและดินแดนต่าง ๆ ในจักรวรรดิ ยังคงมีรัฐบาลเป็นของตนแต่มีอำนาจจำกัด ยกตัวอย่างเช่น การสแตมป์ไปรษณีย์และการผลิตเหรียญทอง 1 มาร์คนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลกรุงเบอร์ลิน ส่วนการผลิตเงินสกุลมาร์คที่มีมูลค่าเกินกว่านั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลท้องถิ่น รัฐต่าง ๆ มีอำนาจสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นของตนเอง บางรัฐอาจมีกำลังทหารเป็นของตนเอง อำนาจทหารทั้งหมดจะถูกริบไปอยู่ที่รัฐบาลกรุงเบอร์ลินในยามศึกสงคราม
อุตสาหกรรม
การพัฒนาอุตสาหกรรมในเยอรมันดำเนินไปอย่างก้าวกระโดด ผู้ผลิตสินค้าของเยอรมันสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ทำให้การนำเข้าสินค้าจากอังกฤษลดน้อยลง ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ผลิตของเยอรมันยังสามารถแย่งชิงตลาดต่างประเทศจากอังกฤษไปได้อีกไม่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรมโลหะและสิ่งทอของเยอรมันได้แซงหน้าอังกฤษในปี 1870 ในแง่การจัดการและประสิทธิภาพการผลิตซึ่งได้ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอและโลหะของอังกฤษไม่มีที่ยืนในเยอรมันอีกต่อไป เยอรมันกลายเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในยุโรป และเป็นชาติที่ส่งออกมากเป็นอันดับสองรองจากสหราชอาณาจักร
ในตอนเริ่มแรก เยอรมันต้องพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีต่าง ๆ จากอังกฤษโดยเฉพาะรถไฟ เยอรมันใช้เวลาไม่นานในการเรียนรู้จนสามารถสร้างรถไฟและขยายโครงข่ายทางรถไฟได้ด้วยตนเอง โครงข่ายทางรถไฟได้เพิ่มจาก 21,000 กิโลเมตรในปี 1871 ไปเป็น 63,000 กิโลเมตรในปี 1913 กลายเป็นชาติที่มีโครงข่ายทางรถไฟยาวรองจากสหรัฐอเมริกา
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระหว่างการปฏิวัติอุตสาหกรรมในเยอรมนีนั้น สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระลอก ได้แก่: การรถไฟ (1877–1886), สีย้อม (1887–1896), เคมีภัณฑ์ (1897–1902) และ วิศวกรรมไฟฟ้า (1903–1918)[5] และเนื่องจากเยอรมันได้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมทีหลังอังกฤษ โรงงานอุตสาหกรรมในเยอรมนีถูกออกแบบได้มีประสิทธิภาพมากกว่าโรงงานในอังกฤษ เยอรมันมีการลงทุนด้านการวิจัยอย่างหนักหน่วงมากกว่าอังกฤษ โดยเฉพาะการวิจัยด้านเคมี, มอเตอร์ และไฟฟ้า ส่งผลให้นักฟิสิกส์และนักเคมีชาวเยอรมันเป็นผู้ผูกขาดรางวัลโนเบลกว่าหนึ่งในสามของจำนวนรางวัลโนเบลที่มอบให้แก่บุคคลสัญชาติเยอรมัน การรวมกลุ่มของบริษัทในเยอรมัน ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้แต่ละบริษัทสามารถใช้ทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง
ก่อนปี 1900 อุตสาหกรรมสีย้อมของเยอรมันได้เข้าครอบงำตลาดสีย้อมของโลก[6] ผู้ผลิตหลักสามรายได้แก่ BASF, Bayer และ Hoechst ตลอดจนผู้ผลิตรายย่อยอีกห้ารายของเยอรมัน สามารถผลิตสีย้อมได้กว่าหลายร้อยสี ซึ่งในปี 1913 ผู้ผลิตทั้งแปดรายนี้ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 90% ในตลาดสีย้อมของโลก การผลิตกว่า 80% เป็นการส่งออกเพื่อป้อนตลาดโลก นอกจากนี้ ผู้ผลิตหลักสามรายยังได้ร่วมมือกับอุตสาหกรรมต้นน้ำเพื่อผลิตวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมอื่น ๆ อย่าง เวชภัณฑ์, ฟิล์มถ่ายภาพ, สารเคมีทางการเกษตร และไฟฟ้าเคมี
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อุตสาหกรรมในเยอรมนีได้เปลี่ยนไปสู่การผลิตเพื่อป้อนสงคราม ความต้องถ่านหินและแร่เหล็กได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเพื่อใช้ในการผลิตปืนใหญ่และต่อเรือรบ ความต้องการด้านเคมีภัณฑ์สำหรับสังเคราะห์เป็นผลิตภัณฑ์ก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน เนื่องจากอังกฤษและพันธมิตรของอังกฤษได้งดส่งออกสินค้าเหล่านี้แก่เยอรมัน
อาณาเขต
รัฐและดินแดนในจักรวรรดิ
ก่อนการรวมชาติเยอรมันในปี 1871 ชนชาติเยอรมันแบ่งออกเป็น 27 รัฐอิสระ รัฐเหล่านี้มีฐานะเป็น ราชอาณาจักร, แกรนด์ดัชชี, ดัชชี, ราชรัฐ, เสรีนคร และดินแดนในพระองค์ รัฐที่มีสถานะเป็นเสรีนคร จะถูกปกครองด้วยรัฐบาลพลเรือน ในขณะที่รัฐอื่น ๆ ของจักรวรรดิต่างมีราชวงศ์ของตนเองเป็นผู้ปกครอง ในบรรดารัฐทั้งหมดนี้ ราชอาณาจักรปรัสเซียถือเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด ครอบคลุมพื้นที่สองในสามของดินแดนทั้งจักรวรรดิ และมีประชากรคิดเป็นร้อยละ 61 ของทั้งจักรวรรดิ
|
อาณานิคม
บิสมาร์คก่อตั้งอาณานิคมเยอรมันจำนวนมากระหว่างช่วงทศวรรษที่ 1880 ในแอฟริกาและแปซิฟิก แต่บิสมาร์คไม่ค่อยให้ความสำคัญในนโยบายอาณานิคมมากนัก ด้วยเพราะการต่อต้านรัฐบาลอาณานิคมเยอรมันอย่างรุนแรงจากชนพื้นเมือง แต่นโยบายอาณานิคมเป็นที่สนใจของกลุ่มผู้เคร่งศาสนาซึ่งได้ทำการสนับสนุนเหล่ามิชชันนารีอย่างกว้างขวางในดินแดนเหล่านั้น
รัฐบาลเยอรมันมีความต้องการสร้างอาณานิคมตั้งแต่ทศวรรษที่ 1848 แล้ว บิสมารค์ได้เริ่มกระบวนการก่อตั้งอาณานิคมบางส่วน เมือถึงปี ค.ศ. 1884 เยอรมนีได้ก่อตั้งอาณานิคม นิวกินีของเยอรมัน เมื่อถึงช่วงทศวรรษที่ 1890 การขยายอาณานิคมของเยอรมันในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (ตัวอย่างเช่น อ่าวเจียวโชว และ เทียนจิน ในประเทศจีน หมู่เกาะมาเรียนา, เกาะคาโรไลน์, ซามัว) นำไปสู่การเผชิญหน้ากับสหราชอาณาจักร, รัสเซีย, ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาในการแย่งชิงอาณานิคมในทวีปแอฟริกา[7] ทำให้เกิด สงครามเฮเรโรในดินแดน ประเทศนามิเบีย ปัจจุบัน ในช่วงปี ค.ศ. 1906-ค.ศ. 1907 ส่งผลให้เกิด การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเฮเรโรและนามานคิว [8]
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ |
---|
ประวัติศาสตร์เยอรมนี |
ประชากรศาสตร์
ประชากรจักรวรรดิราว 92% พูดภาษาเยอรมันเป็นหลัก รองลงมา 5.2% พูดภาษาโปแลนด์เป็นหลัก มีประชากรราว 0.5% ที่พูดฝรั่งเศสเป็นหลัก ซึ่งกระจุกตัวอยู่ในอาลซัส-โลทาริงเกีย
สำมะโนปี 1900
ภาษา | ประชากร | ร้อยละ (%) |
---|---|---|
เยอรมัน | 51,883,131 | 92.05 |
ภาษาเยอรมัน และ ภาษาอื่น ๆ | 252,918 | 0.45 |
โปแลนด์ | 3,086,489 | 5.48 |
ฝรั่งเศส | 211,679 | 0.38 |
มาซูเรียน, | 142,049 | 0.25 |
เดนมาร์ก | 141,061 | 0.25 |
ลิทัวเนีย | 106,305 | 0.19 |
คาซูเรียน | 100,213 | 0.18 |
Wendish (Sorbian) | 93,032 | 0.16 |
ดัตช์ | 80,361 | 0.14 |
อิตาลี | 65,930 | 0.12 |
โมราเวีย | 64,382 | 0.11 |
เช็ก | 43,016 | 0.08 |
ฟรีสแลนด์ | 20,677 | 0.04 |
อังกฤษ | 20,217 | 0.04 |
รัสเซีย | 9,617 | 0.02 |
สวีเดน | 8,998 | 0.02 |
ฮังการี | 8,158 | 0.01 |
สเปน | 2,059 | 0.00 |
โปรตุเกส | 479 | 0.00 |
ภาษาอื่น ๆ | 14,535 | 0.03 |
สัมมะโนประชากร เมื่อ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1900 | 56,367,187 | 100 |
-
ภาษาฝรั่งเศส
-
ภาษาอิตาลี
-
non-German
ศาสนา
พื้นที่ | โปรเตสแตนต์ | คาทอลิก | คริสต์นิกายอื่น | ยิว | ศาสนาอื่น | |||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
จำนวน | % | จำนวน | % | จำนวน | % | จำนวน | % | จำนวน | % | |
ปรัสเซีย | 17,633,279 | 64.64 | 9,206,283 | 33.75 | 52,225 | 0.19 | 363,790 | 1.33 | 23,534 | 0.09 |
บาวาเรีย | 1,477,952 | 27.97 | 3,748,253 | 70.93 | 5,017 | 0.09 | 53,526 | 1.01 | 30 | 0.00 |
ซัคเซิน | 2,886,806 | 97.11 | 74,333 | 2.50 | 4,809 | 0.16 | 6,518 | 0.22 | 339 | 0.01 |
เวือร์ทเทิมแบร์ค | 1,364,580 | 69.23 | 590,290 | 29.95 | 2,817 | 0.14 | 13,331 | 0.68 | 100 | 0.01 |
บาเดิน | 547,461 | 34.86 | 993,109 | 63.25 | 2,280 | 0.15 | 27,278 | 1.74 | 126 | 0.01 |
อาลซัส-โลทาริงเกีย | 305,315 | 19.49 | 1,218,513 | 77.78 | 3,053 | 0.19 | 39,278 | 2.51 | 511 | 0.03 |
รวมทั้งหมด | 28,331,152 | 62.63 | 16,232,651 | 35.89 | 78,031 | 0.17 | 561,612 | 1.24 | 30,615 | 0.07 |
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- ↑ Whitaker's Almanak, 1897, by Joseph Whitaker; p. 548
- ↑ "Nobel Prizes by Country – Evolution of National Science Nobel Prize Shares in the 20th Century, by Citizenship (Juergen Schmidhuber, 2010)". Idsia.ch. สืบค้นเมื่อ 2 December 2012.
- ↑ 3.0 3.1 Case 1902, p. 140
- ↑ Edmond Taylor, The fossil monarchies: the collapse of the old order, 1905–1922 (1967) p 206
- ↑ Jochen Streb, et al. "Technological and geographical knowledge spillover in the German empire 1877–1918", Economic History Review, May 2006, Vol. 59 Issue 2, pp. 347–373
- ↑ John J. Beer, The Emergence of the German Dye Industry (1959).
- ↑ L. Gann and Peter Duignan, The Rulers of German Africa, 1884–1914 (1977) focuses on political and economic history; Michael Perraudin and Jürgen Zimmerer, eds. German Colonialism and National Identity (2010) focuses on cultural impact in Africa and Germany.
- ↑ Dedering, Tilman (1993). "The German‐Herero war of 1904: Revisionism of Genocide or Imaginary Historiography?". Journal of Southern African Studies. 19 (1): 80–88. doi:10.1080/03057079308708348.
{{cite journal}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help) - ↑ "Fremdsprachige Minderheiten im Deutschen Reich" (ภาษาGerman). สืบค้นเมื่อ 20 January 2010.
{{cite web}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์)
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
- Berghahn, Volker Rolf. Modern Germany: society, economy, and politics in the twentieth century (1987) ACLS E-book
- Berghahn, Volker Rolf. Imperial Germany, 1871–1914: Economy, Society, Culture, and Politics (2nd ed. 2005)
- Blackbourn, David. The Long Nineteenth Century: A History of Germany, 1780–1918 (1998) excerpt and text search
- Blackbourn, David, and Geoff Eley. The Peculiarities of German History: Bourgeois Society and Politics in Nineteenth-Century Germany (1984) online edition ISBN 0-19-873058-6
- Blanke, Richard. Prussian Poland in the German Empire (1981)
- Brandenburg, Erich. Die Reichsgründung (2 vols, 1923, online: vol. 1 vol. 2)
- Cecil, Lamar. Wilhelm II: Prince and Emperor, 1859–1900 (1989) online edition; vol2: Wilhelm II: Emperor and Exile, 1900–1941 (1996) online edition
- Chickering, Roger. Imperial Germany and the Great War, 1914-1918 (2nd ed. 2004) excerpt and text search
- Clark, Christopher. Iron Kingdom: The Rise and Downfall of Prussia, 1600–1947 (2006), the standard scholarly survey
- Dawson, William Harbutt. The Evolution of Modern Germany (1908), 503pp covers 1871-1906 with focus on social and economic history & colonies online free
- Dawson, William Harbutt. Germany at Home (1908) 275 pp; popular description of social life in villages and cities online
- Dawson, William Harbutt. Bismarck and state socialism; an exposition of the social and economic legislation of Germany since 1870 (1890) 175 pp online
- Dawson, William Harbutt. Municipal life and government in Germany (1914); 507pp describes the workings of local government and the famous bureaucracy online
- Dawson, William Harbutt. Germany and the Germans (1894) 387pp; politics and parties, Volume 2 online
- Feuchtwanger, Ed (2002). Imperial Germany 1850-1918. Routledge. ISBN 1-13462-072-1.
{{cite book}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help) - Fischer, Fritz. From Kaiserreich to Third Reich: Elements of Continuity in German History, 1871–1945. (1986). ISBN 0-04-943043-2.
- Hayes, Carlton J. H. "The History of German Socialism Reconsidered," American Historical Review (1917) 23#1 pp. 62-101 online
- Holborn, Hajo. A History of Modern Germany: 1840–1945 (1969), pp 173–532
- Jefferies, Mattew. Imperial Culture in Germany, 1871–1918. (Palgrave, 2003) ISBN 1-4039-0421-9.
- Kennedy, Paul. The Rise of the Anglo-German Antagonism, 1860–1914 (2nd ed. 1988) ISBN 1-57392-301-X
- Kitchen, Martin (2011). A History of Modern Germany: 1800 to the Present. John Wiley & Sons. ISBN 1-44439-689-7.
{{cite book}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help) - Koch, Hannsjoachim W. A constitutional history of Germany in the nineteenth and twentieth centuries (1984).
ภูมิประวัติศาสตร์
- Berghahn, Volker Rolf. "Structure and Agency in Wilhelmine Germany: The history of the German Empire, Past, present and Future," in Annika Mombauer and Wilhelm Deist, eds. The Kaiser: New Research on Wilhelm II's Role in Imperial Germany (2003) pp 281–93, historiography
- Chickering, Roger, ed. Imperial Germany: A Historiographical Companion (1996), 552pp; 18 essays by specialists
- Dickinson, Edward Ross. "The German Empire: an Empire?" History Workshop Journal Issue 66, (Autumn 2008) online in Project MUSE, with guide to recent scholarship
- Eley, Geoff, and James Retallack, "Introduction" in Geoff Eley and James Retallack, eds. Wilhelminism and Its Legacies: German Modernities, Imperialism, and the Meanings of Reform, 1890-1930 (2004) online
- Jefferies, Matthew. Contesting the German Empire 1871 - 1918 (2008) excerpt and text search
- Müller, Sven Oliver, and Cornelius Torp, ed. Imperial Germany Revisited: Continuing Debates and New Perspectives (2011)
- Reagin, Nancy R. "Recent Work on German National Identity: Regional? Imperial? Gendered? Imaginary?" Central European History (2004) v 37, pp 273–289 doi:10.1163/156916104323121483
ข้อมูลปฐมภูมิ
- Vizetelly, Henry. Berlin Under the New Empire: Its Institutions, Inhabitants, Industry, Monuments, Museums, Social Life, Manners, and Amusements (2 vol. London, 1879) online volume 2
แหล่งข้อมูลอื่น
- แผนที่จักรวรรดิเยอรมัน ค.ศ. 1871 (อังกฤษ)
- จักรวรรดิเยอรมัน: เขตการปกครองและเทศบาล ค.ศ. 1900 ถึง 1910 (เยอรมัน)
- Das Kaiserreich - Deutsches Reich 1871-1918 (เยอรมัน)
- เยอรมนี: ประมุขแห่งรัฐ: ค.ศ. 1871-1945 (อังกฤษ)
- German Empire (อังกฤษ) ที่วิกิซอร์ซ