คุ้มวิชัยราชา
คุ้มวิชัยราชา | |
---|---|
ข้อมูลทั่วไป | |
ประเภท | คุ้มเจ้า |
สถาปัตยกรรม | ล้านนาผสมยุโรป |
เมือง | อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ |
ประเทศ | ประเทศไทย |
เริ่มสร้าง | พ.ศ. 2434 |
ปรับปรุง | พ.ศ. 2535 |
ผู้สร้าง | พระวิไชยราชา (เจ้าหนานขัติ แสนศิริพันธุ์) |
คุ้มวิไชยราชา หรือ บ้านวิชัยราชา เป็นคุ้มของพระวิไชยราชา (เจ้าหนานขัติ แสนศิริพันธุ์) พระวิไชยราชานครแพร่องค์สุดท้าย และอดีตเสนาคลังเมืองนครแพร่ บุตรในเจ้าแสนเสมอใจเครือญาติเจ้าหลวงเทพวงศ์ลิ้นตอง เจ้าผู้ครองนครแพร่ องค์ที่ 19 ตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองเก่าแพร่ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่
ประวัติ
[แก้]คุ้มวิชัยราชา เป็นคุ้มของพระวิไชยราชา (เจ้าขัติ แสนศิริพันธุ์) พระวิไชยราชานครแพร่องค์สุดท้าย และอดีตเสนาคลังเมืองนครแพร่ บุตรในเจ้าแสนเสมอใจเครือญาติเจ้าหลวงเทพวงศ์ลิ้นตอง เจ้าผู้ครองนครแพร่ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างคุ้มนี้เมื่อใด แต่เป็นที่แน่นอนว่าได้สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ. 2441 ซึ่งเป็นปีที่เจ้าวงศ์ แสนศิริพันธุ์ บุตรของท่านเกิด ณ ที่บ้านหลังนี้ ในปีถัดมาท่านจึงเริ่มดำเนินการก่อสร้างถาวรวัตถุให้วัดศรีบุญเรือง จากประวัติวัดศรีบุญเรืองและการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม และจากการสอบถามคนเฒ่าคนแก่แถวคุ้มและบริเวณสีลอ ตลอดจนไล่เรียงศึกษาอายุของ “พ่อเจ้าพระฯ” และลูกหลานของท่านรวมทั้งคำบอกเล่าของอาจารย์โสภา วงศ์พุฒ ที่ได้กล่าวถึงคุณยายที่ได้เสียชีวิตไปกว่า 20 ปีมาแล้ว เมื่อตอนอายุเก้าสิบกว่า เล่าให้ฟังว่าเมื่อเกิดมาและจำความได้ ก็เห็นบ้านหลังนี้อยู่แล้ว กอปรกับบริเวณที่ตั้งคุ้มวิชัยราชาในปัจจุบันเป็นทำเลที่เหมาะเพราะเป็นเนินสูง สันนิษฐานว่า คงเป็นคุ้มของพระยาแสนศรีขวามาก่อนแต่ในอดีต และสืบทอดกันมาจนถึงยุคสมัยของพระวิชัยราชา และแม่เจ้าคำป้อ ที่ได้สร้างคุ้มวิชัยราชา เรือนไม้สักทรงมะนิลาหลังงามนี้มาเป็นที่พักอาศัยแทนหลังเก่าที่ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา
จากข้อมูลเหล่านี้คาดว่า บ้านหลังนี้คงสร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2434 - 2438 อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าบ้านหลังนี้จะมีอายุเก่าแก่เกินร้อยปีแต่ยังมีโครงสร้างที่มั่นคงแข็งแรง ทั้งยังได้รับการออกแบบอย่างสวยงามเหมาะเจาะกลมกลืนมีความงามที่ โดนเด่น พร้อมทั้งลวดลายฉลุที่สวยงามดูอ่อนช้อย ทั้งที่จั่วบ้าน บังลม ระเบียง ตลอดจนไม้ช่องลมเหนือบานประตูและหน้าต่างล้วนเป็นศิลปะสวยงามและหายาก สมควรอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างยิ่งและถึงแม้ว่าพ่อเจ้าพระฯ จะเป็นคลังจังหวัดที่มีฐานะและได้รับสัมปทานทำป่าไม้ แต่บ้านท่านไม่ได้ใช้ไม้ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นของโครงสร้างและน้ำหนักที่รับแต่อย่างไร แม้แต่เสาที่รับน้ำหนักทั้งหมดยังใช้เสาไม้ขนาด 8 นิ้ว x 8 นิ้ว มิได้ใช้เสาใหญ่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงค่านิยมและภูมิปัญญาของชาวเมืองแพร่ในยุคสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี ในเรื่องการทนุถนอมทรัพยากรธรรมชาติและการรู้ซึ้งถึงความพอดี[1]
บ้านหรือคุ้มของพระวิชัยราชาหลังนี้ นอกจากจะเป็นเรื่อนไม้โบราณที่เป็นสถาปัตยกรรมอันลำค่าแล้ว ยังมีประวัติที่โลดโผนตื่นเต้นของเจ้าบ้านที่เกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์และเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เกิดขึ้นในจังหวัดแพร่และประเทศไทยอยู่หลายช่วง หลังจากพระวิชัยราชาถึงได้อสัญกรรมประมาณปี พ.ศ. 2465 คุ้มวิชัยราชาหลังนี้ก็ตกเป็นของบุตรท่านเจ้าวงศ์ แสนศิริพันธุ์ ซึ่งเป็นศิษย์เอกของภราดา ฟ. ฮีแลร์ โรงเรียนอัสสัมชัญ กรุงเทพฯ และเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วท่านได้เข้าทำงานบริษัท อิสเอเชียติก เมื่อได้ศึกษาวิธีการทำงานการบริหารงานจนช่ำชอง จึงลาออกมาประกอบอาชีพค้าไม้สัก จนร่ำรวยมหาศาล ท่านเป็น ส.ส. คนแรกของจังหวัดแพร่ เมื่อปี 2475 มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับบุคคลสำคัญในยุคนั้นเช่น ดร.ปรีดี พนมยงค์ พระยาพหลพยุหเสนา หลวงศรีประกาศ นายทองอินทร์ ภูมิพัฒน์ และได้สร้างเกียรติประวัติเป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทย จังหวัดแพร่ เพื่อกู้ชาติระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้บ้านหลังนี้เป็นศูนย์กลางประสานไปยังหนองม่วงไข่ เวียงต้าและอำเภอต่าง ๆ ของจังหวัด จากหน้า 142 ของหนังสือตลบรอบ 100 ปี ชาติกาลรัฐบุรุษอาวุโส กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
นายปรีดี มีความประสงค์จะเล็ดลอดออกไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นในอินเดีย ในเรื่องนี้ในเบื้องแรกนายปรีดีได้ขอให้เจ้าวงศ์ แสนศิริพันธุ์ ผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ จัดส่งคนที่ไว้ใจได้ออกไปเมืองจีน
ซึ่งแสดงให้เห็นวถึงความไว้วางใจและสัมพันธ์อันแนบแน่นของบุคคลทั้งสอง เพราะบทบาทและวีรกรรมของขบวนการกู้ชาติเสรีไทยนี่เอง ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการเป็นฝ่ายแพ้สงคราม สามารถรักษาเกียรติภูมิศักดิ์ศรี และอธิปไตยของชาติไว้ได้อย่างหวุดหวิด
แต่ต่อมาเจ้าวงค์ และครอบครัวต้องประสบชะตากรรม สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งคุ้มวิชัยราชาเพราะถูกรัฐยึด เนื่องจากมาตรการชำระภาษีจากการศึกษาวิเคราะห์หาสาเหตุที่เจ้าวงค์ต้องมีอันเป็นไปนี้ เป็นไปได้ว่า คงเป็นเพราะความสัมพันธ์แนบแน่นกับท่านปรีดี พนมยงค์ จึงทำให้ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับแกนทำขบวนการเสรีไทยคนอื่น ๆ ที่ใกล้ชิดกับหัวหน้าที่ผิดเพี้ยนไปคือไม่ได้โดนฆ่าแบบนายเตียง ศิริขันธ์ หรือนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ฯลฯ ชีวิตในช่วงที่เหลือของท่านค่อนข้างอับเฉา จนมีบางคนกล่าวว่า ถ้าโดนฆ่าตายแบบคนอื่นจะดีกว่า เพราะไม่ต้องทุกข์ทรมาน เรื่องราวของเจ้าวงค์ แสนศิริพันธุ์ เป็นตำนานและเป็นสัจธรรมที่น่าศึกษายิ่ง
หลังจากเจ้าวงศ์ แสนศิริพันธุ์ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2513 เจ้าสุนทร แสนศิริพันธุ์ บุตรของท่าน วิศวกรจากมหาลัยชิคาโก้ ได้รวบรวมช้างจำนวนหนึ่งข้ามไปทำป่าที่ประเทศลาว และได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่นั่น จนลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงได้กลับเมืองไทย ท่านเป็นผู้จัดการโรงงานกระดาษบางปะอิน ก่อนเสียชีวิตไปเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2527[2]
การฟื้นฟูคุ้มวิชัยราชา
[แก้]หลังจากครอบครัวแสนศิริพันธุ์ย้ายออกไป คุ้มวิชัยราชาได้ถูกทอดทิ้งโดยปราศจากการดูแลเอาใจใส่มาร่วม 40 ปี มีบางครั้งที่ผู้เป็นเจ้าของรายใหม่ได้ทำการปรับปรุงทาสีตกแต่งเพื่อจะย้ายเข้ามาอยู่ แต่ก็มีอันเป็นไป และจากคำล่ำลือต่าง ๆ นานาคุ้มเจ้าหลวงนี้ได้ติดประกาศขายเรื่อยมา และมีผู้พยายามเข้ามาซื้อแต่ต้องมีอันเป็นไปและขัดข้องทุกราย จนทำให้บ้านหลังนี้ถูกทอดทิ้งเป็นบ้านร้างเรื่อยมา
กระทั่งกลางเดือนเมษา พ.ศ. 2435 วีระ สตาร์ ได้บังเอิญหลงทางผ่านไปพบบ้านหลังนี้เข้าเกิดความประทับใจ ทั้งสงสาร และเสียดายที่ได้เห็นบ้านหลังนี้อยู่ในสภาพทรุดโทรมสุดขีด บ้านเอียงทรุดไปด้านหนึ่งเพราะการตัดตง ตัดคานออกเพื่อย้ายบันไดเพื่อย้ายบันไดเข้ามาอยู่ด้านใน โดยไม่ได้ศึกษาโครงสร้างของบ้านในยุคหลังตัวบ้านและรอบบริเวณมีวัชพืชปกคลุมหนาแน่นเชื่อกันว่าเป็นแหล่งชุมนุมของหอยทาก และงูชนิดต่างที่ใหญ่ที่สุดกลางเมืองแพร่ผู้คนในเมืองนี้โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็ก พากันหลีกหนีไม่กล้าผ่านบ้านนี้แม้จะเป็นตอนกลางวันก็ตาม และขนานนามว่าบ้านผีสิง ต่อมาได้ตัดสินใจซื้อบ้านและที่ดินทั้งพันกว่าตารางวานี้ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2535 เริ่มเคลียร์พื้นที่และเริ่มทำงานปรับปรุงซ่อมแซมโครงสร้างของบ้านโบราณให้มั่นคงแข็งแรงเพื่อรองรับบูรณะขั้นต่อไป อย่างไรก็ตาม งานก่อสร้างต่าง ๆ ได้เริ่มกันอย่างจริงจังในปีต่อมาเมื่อได้รับเงินสนับสนุนจากสถาบันการเงิน
จุดประสงค์ของผู้ซื้อที่ดินรายนี้แตกต่างจากผู้จะซื้อรายอื่น ๆ ที่ผ่านมาในอดีต เพราะ มีความมุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์เรือนโบราณที่มีอายุกว่าร้อยปีนี้ไว้เป็นหัวใจของโครงการ เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ของแผ่นดินเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางศิลปวัฒนธรรม โดยเฉพาะตัวเรือนหรือคุ้มวิชัยราชาเองที่มีรูปแบบผสมผสานระหว่างเรือนไม้แบบมนิลา และเรือนขนมปังขิง ร่วมกับสถาปัตยกรรมล้านนา เรือนแบบนี้เป็นที่นิยมกันในหมู่เจ้านาย ขุนนาง และคหบดี มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เรื่อยมาจนถึงรัชกาลที่ 5 และสิ้นสุดเอาปลายรัชกาลที่ 6 จะเห็นได้ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศไทยเป็นยุคล่าเมืองขึ้นแช่งกันหาอาณานิคมของชาติตะวันตกบางคนจึงเรียกบ้านแบบนี้ว่า โคโรเนี่ยลหรือบ้านสมัยอาณานิคม เพราะ ฝรั่งนำมาเผยแพร่และสร้างขึ้นในภูมิภาคนี้อย่างแพร่หลาย ประเทศไทย ในช่วงนั้นต้องทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดเป็นไท ได้มีการผลักดันให้เหล่าขุนนางและผู้อันจะกินทั้งหลายได้ปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ให้ทันสมัยทัดเทียมอารยะประเทศ รวมทั้งพยายามจัดรูปแบบการปกครองให้ทันสมัยรัดกุมยิ่งขึ้นเพื่อแสดงให้ฝรั่งนักล่าเมืองขึ้นเห็นว่าเรามีความเจริญเป็นศิวิไลซ์ ไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนไร้การพัฒนาที่ต้องเข้ามายึดครองและจัดระเบียบกันใหม่ ซึ่งเป็นเล่ห์เหลี่ยมที่ฝรั่งนักล่าอาณานิคมมักใช้เป็นข้ออ้างในการเขมือบดินแดนในยุคนั้น
ผู้ดำเนินการโครงการนี้ตระหนักและซาบซึ้งถึงความสัมพันธ์ของคุ้มวิชัยราชามาแต่ต้นว่า เป็นรอยต่อทางประวัติศาสตร์ของสมัยรัชกาลที่ 5 ในช่วงที่สยามประเทศกำลังวิกฤตถึงขีดสุด เหตุการณ์เงี้ยวปล้นเมืองแพร่และลำปางเป็นส่วนหนึ่งของแผนยึดดินแดนของฝรั่งเศส ที่จ้องผนวกดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงและภาคเหนือ แต่แผนการนี้ต้องล้มเหลวเพราะเริ่มเร็วก่อนกำหนดและไม่สามารถตียึดเมืองลำปางได้ คุ้มวิชัยราชาได้ชื่อว่าบ้านปราบเงี้ยวเป็นหลักฐานสำคัญและเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ที่ภาครัฐเอกชนและคนไทยทุกคนควรตระหนักและหวงแหนเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อโครงการและผู้ประกอบมีปัญหาได้มีการพยายามผลักดันให้มีการขายทอดตลาดมรดกประวัติศาสตร์ชิ้นนี้หลายครั้ง ทั้งที่ผู้ประกอบการได้ร้องขอไปยังนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายแต่ไร้ผล ถึงแม้ว่าต่อมากรมศิลปากรจะมีบันทึกถึงกระทรวงการคลังว่าคุ้มวิชัยราชาเป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญโดยอายุ, โดยลักษณะแห่งการก่อสร้าง และโดยหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ เป็นประโยชน์ทางศิลปทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี แต่ยังมิได้ขึ้นทะเบียน สถานภาพของคุ้มวิชัยราชายังเป็น NPA อยู่
กาลเวลาทำให้เกียรติภูมิและความสำคัญของวิชัยราชาต้องมีอันเป็นไปและอาจสิ้นสลายผุพังไปตามกาลเวลา หากวีระ สตาร์ ไม่ผ่านมาพบบ้านหลังนี้โดยบังเอิญเมื่อพ.ศ. 2535 แต่วันนี้เพราะความไร้เดียงสาของผู้บริหารของสถาบันการเงินและสังคมรวมทั้งรัฐบาลที่ปราศจากจิตสำนึกและเล็งเห็นความสำคัญของประวัติศาสตร์อย่างแท้จริงทำให้โครงการวิชัยราชาเป็นหนี้เน่าไปในที่สุด รวมทั้งผู้ประกอบการเองที่ได้เผ้าเสียสละฟูมฟักประคับประคองมรดกประวัติศาสตร์มาร่วม 12 ปี โดยเดิมพันของเครดิตส่วนตัวและทรัพย์สินเงินทองที่สร้างสมมาตลอดชีวิตกำลังตกอยู่ในสภาพร่อนแร่โดยที่โครงการ SME ในเชิงสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัดแพร่ยังไม่ไปถึงไหนรวมทั้งความหวังที่จะอนุรักษ์คุ้มวิชัยราชาเป็นมรดกประวัติศาสตร์และเป็นแหล่งรวบรวมวีรกรรมในอดีต เป็นศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรม วิถีชีวิต ภูมิปัญญา และความเจริญรุ่งเรืองของสยามประเทศในอดีตในรูปแบบของพิพิธพันธ์ท้องถิ่นเพื่อเน้นปลูกฝังให้สังคมได้เห็นถึงความสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทย เพื่อปลูกจิตสำนึกของความเป็นชาติเสริมสร้างความสามัคคีของคนในชาติอันมีผลต่อความมั่นคงเป็นปึกแผ่นของชาติไทยเราเชื่อว่า ถ้าชนในชาติโดยเฉพาะเยาวชนได้รับการปลูกฝังให้มีจิตสำนึกของความรักชาติภาคภูมิใจในความเป็นชาติในวิญญาณและสายเลือดจนมีจุดยืนที่มั่นคงแล้ว ยากที่เขาเหล่านั้นจะถูกชักจูงไปในทางลบดั่งที่เห็นและเป็นอยู่
ผู้ประกอบการณ์โครงการนี้ได้เคยเสียสละเพื่อชาติมาแล้วจนได้รับบาดเจ็บสาหัสในตำแหน่งผู้นำโจมตีทางอากาศ วิชัยราชาเป็นอีกโครงการที่วีระ สตาร์ ยอมเจ็บอีกครั้ง เพื่อยึดถือและเดินตามรอยพระยุคลบาทของในหลวงและเดิมตามกระแสพระราชดำรัสของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การรักษามรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมีความสำคัญเหนือเงินตราเงินถ้าไม่มีหาได้แต่มรดกเหล่านี้ถ้าสูญไปแล้วหาทดแทนไม่ได้[3]
สถาปัตยกรรม
[แก้]คุ้มวิชัยราชา เป็นเรือนแบบผสมผสานระหว่างเรือนไม้แบบมนิลา และเรือนขนมปังขิงร่วมกับสถาปัตยกรรมล้านนา ประดับตกตกแต่งลวดลายด้วยไม้ฉลุที่เรียกว่าลายอยู่ทั่วตัวอาคาร เรือนแบบนี้เป็นที่นิยมกันในหมู่เจ้านาย ขุนนาง และคหบดี มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เรื่อยมาจนถึงรัชกาลที่ 5 และสิ้นสุดเอาปลายรัชกาลที่ 6 จะเห็นได้ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศไทยเป็นยุคล่าเมืองขึ้นแช่งกันหาอาณานิคมของชาติตะวันตกบางคนจึงเรียกบ้านแบบนี้ว่า โคโรเนี่ยล หรือบ้านสมัยอาณานิคมเพราฝรั่งนำมาเผยแพร่และสร้างขึ้นในภูมิภาคนี้อย่างแพร่หลาย