ความสัมพันธ์คอสตาริกา–สหรัฐ
![]() | |
![]() คอสตาริกา |
![]() สหรัฐ |
ความสัมพันธ์คอสตาริกา – สหรัฐ มีความใกล้ชิดตามประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีในประวัติศาสตร์ที่สหรัฐและคอสตาริกาได้บาดหมาง ตัวอย่างหนึ่งอาจเป็นกรณีของวิลเลียม วอล์กเกอร์ ผู้ปล้นสะดม ถึงกระนั้น พิจารณาว่าโดยทั่วไปคอสตาริกาสนับสนุนสหรัฐในด้านการประชุมแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ซึ่งความสัมพันธ์ในปัจจุบันมีความเข้มแข็งมาก
ตามรายงานความเป็นผู้นำระดับโลกของสหรัฐประจำปี ค.ศ. 2012 ชาวคอสตาริกา 41 เปอร์เซ็นต์เห็นด้วยกับความเป็นผู้นำของสหรัฐ ในขณะที่ 15 เปอร์เซ็นต์ไม่เห็นด้วย และไม่แน่ใจ 44 เปอร์เซ็นต์[1]
ประวัติ[แก้]
คอสตาริกาและสหรัฐได้รักษาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1851[2]
สหรัฐเป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของคอสตาริกา[3] ทั้งสองประเทศแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความกังวลต่อสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นและต้องการรักษาทรัพยากรเขตร้อนของคอสตาริการวมถึงป้องกันความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ในปี ค.ศ. 2007 สหรัฐได้ลดหนี้ของคอสตาริกาเพื่อแลกกับการปกป้องและอนุรักษ์ป่าของคอสตาริกาผ่านหนี้สำหรับการเปลี่ยนธรรมชาติภายใต้การอุปถัมภ์ของรัฐบัญญัติอนุรักษ์ป่าเขตร้อน นับเป็นข้อตกลงที่ใหญ่ที่สุดในชนิดนี้จนถึงปัจจุบัน[4] ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลทั้งสองนี้สร้างรายได้ 50 ล้านดอลลาร์ซึ่งอุทิศให้แก่โครงการอนุรักษ์
ด้วยการให้ความช่วยเหลือมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ (USAID) ได้สนับสนุนความพยายามของคอสตาริกาในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ รวมถึงขยายและเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการปฏิรูปนโยบายและการเปิดเสรีทางการค้า ความคิดริเริ่มในการให้ความช่วยเหลือในคริสต์ทศวรรษ 1990 มุ่งเน้นไปที่นโยบายประชาธิปไตย, การปรับปรุงการบริหารงานยุติธรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืน เมื่อประเทศได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐเกือบทุกรูปแบบ ภารกิจของหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐในคอสตาริกาก็ปิดตัวลงในปี ค.ศ. 1996 อย่างไรก็ตาม หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐได้ทำโครงการมูลค่า 9 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2000–2001 เพื่อสนับสนุนผู้ลี้ภัยจากพายุเฮอริเคนมิตช์ที่สิงสถิตในคอสตาริกา[5]
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศเริ่มลดลงในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 เมื่อรัฐบาลเรแกนใช้ดินแดนคอสตาริกาเพื่อโจมตีรัฐบาลซันดีนิสตาของประเทศเพื่อนบ้านทางตอนเหนือของคอสตาริกาอย่างประเทศนิการากัว เพื่อต่อต้านความปรารถนาของรัฐบาลคอสตาริกา ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีคอสตาริกา โอสการ์ อาเรียส ไม่ให้อดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐจำนวนหนึ่งเข้าไปในคอสตาริกาหลังจากคณะกรรมาธิการของรัฐสภาพบว่าการกระทำของพวกเขาในการจัดหาผู้ต่อต้านกบฏนำไปสู่การค้ายาเสพติดโดยนักบินที่ฝ่าฝืน ส่วนรัฐบาลบุชได้หยุดการกู้ยืมเงินขององค์กรการเงินระหว่างประเทศให้แก่รัฐบาลคอสตาริกาหลังจากที่อาเรียสเวนคืนที่ดินซึ่งสร้างสนามบินลับยาวหลายไมล์[6]
อาสาสมัครหน่วยสันติภาพสหรัฐมากกว่า 3,370 คนได้ปฏิบัติหน้าที่ในคอสตาริกานับตั้งแต่ก่อตั้งโครงการในปี ค.ศ. 1963 ซึ่งปัจจุบันมีอาสาสมัคร 128 คนให้บริการที่นั่น อาสาสมัครทำงานในด้านการพัฒนาเยาวชน, การพัฒนาชุมชน, ธุรกิจ และการศึกษาภาษาอังกฤษ โดยพวกเขาได้รับการฝึกและทำงานเป็นภาษาสเปน[7]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ U.S. Global Leadership Project Report - 2012 Gallup
- ↑ "Message from the Ambassador of Costa Rica to the USA". Embassy of Costa Rica in Washington DC. สืบค้นเมื่อ 2013-01-08.
- ↑ [1], see Economy tab, Export Partners and Import Partners of Costa Rica. October 14, 2010. Retrieved 2013-01-08.
- ↑ "Segundo canje de deuda por naturaleza entre Estados Unidos y Costa Rica" (ภาษาสเปน). Embajada de los Estados Unidos San Jose, Costa Rica. October 14, 2010. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ February 12, 2013. สืบค้นเมื่อ 2013-01-08.
- ↑ [2], see US-CR relations 3rd paragraph.
- ↑ “Point West: The Political History of the Guanacaste National Park Project”
- ↑ [3], see last paragraph
อ่านเพิ่ม[แก้]
- Chase, Cida S. "Costa Rican Americans." Gale Encyclopedia of Multicultural America, edited by Thomas Riggs, (3rd ed., vol. 1, Gale, 2014), pp. 543-551. online
- Longley, Kyle. Sparrow and the Hawk: Costa Rica and the United States during the Rise of José Figueres (University of Alabama Press, 1997).
- Mount, Graeme S. "Costa Rica and the Cold War, 1948–1990." Canadian Journal of History 50.2 (2015): 290-316.
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
![]() |
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: ความสัมพันธ์คอสตาริกา–สหรัฐ |