ข้ามไปเนื้อหา

คลอรีนไตรฟลูออไรด์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
คลอรีนไตรฟลูออไรด์
สูตรโครงสร้างของคลอรีนไตรฟลูออไรด์และขนาดเบื้องต้น
สูตรโครงสร้างของคลอรีนไตรฟลูออไรด์และขนาดเบื้องต้น
แบบจำลองเติมเต็มที่ว่างของคลอรีนไตรฟลูออไรด์
แบบจำลองเติมเต็มที่ว่างของคลอรีนไตรฟลูออไรด์
ชื่อ
Systematic IUPAC name
Trifluoro-λ3-chlorane[1] (substitutive)
ชื่ออื่น
Chlorotrifluoride
เลขทะเบียน
3D model (JSmol)
ChEBI
เคมสไปเดอร์
ECHA InfoCard 100.029.301 แก้ไขสิ่งนี้ที่วิกิสนเทศ
EC Number
  • 232-230-4
1439
MeSH chlorine+trifluoride
RTECS number
  • FO2800000
UNII
UN number 1749
  • InChI=1S/ClF3/c2-1(3)4 checkY
    Key: JOHWNGGYGAVMGU-UHFFFAOYSA-N checkY
  • InChI=1/ClF3/c2-1(3)4
    Key: JOHWNGGYGAVMGU-UHFFFAOYAB
  • F[Cl](F)F
คุณสมบัติ
ClF3
มวลโมเลกุล 92.45 g·mol−1
ลักษณะทางกายภาพ แก๊สไม่มีสีหรือของเหลวสีเหลืองอมเขียว
กลิ่น Sweet, pungent, irritating, suffocating[2][3]
ความหนาแน่น 3.779 g/L[4]
จุดหลอมเหลว −76.34 องศาเซลเซียส (−105.41 องศาฟาเรนไฮต์; 196.81 เคลวิน)[4]
จุดเดือด 11.75 องศาเซลเซียส (53.15 องศาฟาเรนไฮต์; 284.90 เคลวิน)[4] (สลายตัวที่ 180 องศาเซลเซียส, 356 องศาฟาเรนไฮต์; 453 เคลวิน)
ทำปฏิกิริยากับน้ำ[1]
ความสามารถละลายได้ ละลายได้ในคาร์บอนเตตระคลอไรด์ แต่ระเบิดได้เมื่อมีความเข้มข้นสูง; ทำปฏิกิริยากับสารประกอบไฮโดรเจน เช่น ไฮโดรเจน, มีเทน, เบนซีน, อีเทอร์, แอมโมเนีย[1]
ความดันไอ 175 kPa
−26.5×10−6 cm3/mol[5]
ความหนืด 91.82 μPa s
โครงสร้าง
รูปตัว T
อุณหเคมี[6]
63.9 J K−1 mol−1
281.6 J K−1 mol−1
−163.2 kJ mol−1
−123.0 kJ mol−1
ความอันตราย
อาชีวอนามัยและความปลอดภัย (OHS/OSH):
อันตรายหลัก
Very toxic, very corrosive, powerful oxidizer, violent hydrolysis[3]
GHS labelling:
GHS03: Oxidizing The corrosion pictogram in the Globally Harmonized System of Classification and Labelling of Chemicals (GHS) The skull-and-crossbones pictogram in the Globally Harmonized System of Classification and Labelling of Chemicals (GHS) The health hazard pictogram in the Globally Harmonized System of Classification and Labelling of Chemicals (GHS)
อันตราย
NFPA 704 (fire diamond)
จุดวาบไฟ Noncombustible[3]
ปริมาณหรือความเข้มข้น (LD, LC):
95 ppm (หนูใหญ่, 4 ชม.)
178 ppm (หนูเล็ก, 1 ชม.)
230 ppm (ลิง, 1 ชม.)
299 ppm (หนูใหญ่, 1 ชม.)
[7]
NIOSH (US health exposure limits):
PEL (Permissible)
C 0.1 ppm (0.4 mg/m3)[3]
REL (Recommended)
C 0.1 ppm (0.4 mg/m3)[3]
IDLH (Immediate danger)
20 ppm[3]
เอกสารข้อมูลความปลอดภัย (SDS) [1]
สารประกอบอื่นที่เกี่ยวข้องกัน
สารประกอบที่เกี่ยวข้อง
คลอรีนเพนตะฟลูออไรด์
คลอรีนมอนอฟลูออไรด์
โบรมีนไตรฟลูออไรด์
ไอโอดีนไตรฟลูออไรด์
หากมิได้ระบุเป็นอื่น ข้อมูลข้างต้นนี้คือข้อมูลสาร ณ ภาวะมาตรฐานที่ 25 °C, 100 kPa

คลอรีนไตรฟลูออไรด์ (อังกฤษ: chlorine trifluoride) เป็นสารประกอบอินเทอร์แฮโลเจนที่มีสูตรเคมีว่า ClF3 เป็นแก๊สไม่มีสี มีพิษ กัดกร่อน และมีความไวปฏิกิริยาสูงมาก เมื่อควบแน่นจะเป็นของเหลวสีเหลืองอมเขียวอ่อน ซึ่งเป็นรูปแบบที่มักใช้ในการจัดจำหน่าย (เก็บไว้ในภาชนะที่มีความดันที่อุณหภูมิห้อง) สารชนิดนี้มีสิ่งโดดเด่นคือคุณสมบัติในการออกซิไดซ์ที่รุนแรงอย่างยิ่ง การใช้งานหลักได้แก่กระบวนการทำความสะอาดและกัดพื้นผิว (etching) แบบไม่ใช้พลาสมาในอุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำ[8][9] การแปรรูปเชื้อเพลิงของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์[10] และในอดีตเคยใช้เป็นส่วนประกอบของเชื้อเพลิงจรวด นอกจากนี้มีการใช้งานทางอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย เนื่องจากความสามารถในการกัดกร่อนของสารชนิดนี้[11]

การเตรียม, โครงสร้าง และคุณสมบัติ

[แก้]

คลอรีนไตรฟลูออไรด์ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1930 โดยนักเคมีชาวเยอรมัน อ็อทโท รูฟ (Otto Ruff) และแฮร์แบร์ท ครูก (Herbert Krug) ซึ่งสังเคราะห์สารชนิดนี้โดยการทำปฏิกิริยาระหว่างฟลูออไรด์กับคลอรีน ได้ผลิตภัณฑ์เป็นคลอรีนมอนอฟลูออไรด์ (ClF) ร่วมด้วย จากนั้นจึงแยกสารผสมด้วยการกลั่น[12]

3 F2 + Cl2 → 2 ClF3

ปัจจุบันมีการผลิตสารชนิดนี้ในปริมาณหลายร้อยตันต่อปี[13]

โครงสร้างโมเลกุลของ ClF3 มีลักษณะคล้ายรูปตัว T โดยมีพันธะสั้นหนึ่งพันธะ (1.598 Å) และพันธะยาวสองพันธะ (1.698 Å)[14] โครงสร้างนี้สอดคล้องกับทฤษฎี VSEPR ซึ่งทำนายว่าอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวจะอยู่ในตำแหน่งศูนย์สูตร (equatorial position) สองตำแหน่งของโครงสร้างพีระมิดคู่ฐานสามเหลี่ยมสมมุติ (trigonal bipyramid) พันธะแนวแกน Cl-F (axial) ที่ยืดออกนั้นยังเป็นไปตามหลักการของพันธะไฮเพอร์เวเลนต์

ปฏิกิริยา

[แก้]

คลอรีนไตรฟลูออไรด์ยังทำปฏิกิริยาระเบิดกับน้ำได้ โดยจะให้ไฮโดรเจนฟลูออไรด์, ไฮโดรเจนคลอไรด์ พร้อมกับออกซิเจน และออกซิเจนไดฟลูออไรด์ (OF2)[15] ดังนี้

ClF3 + H2O → HF + HCl + OF2
ClF3 + 2H2O → 3HF + HCl + O2

เมื่อได้รับความร้อนจะสลายตัว[13] ดังนี้

ClF3 ⇌ ClF + F2

ปฏิกิริยาระหว่างสารชนิดนี้กับโลหะหลายชนิดและแม้กระทั่งโลหะออกไซด์จะให้ฟลูออไรด์[15] ดังนี้

6NiO + 4 ClF3 → 6 NiF2 + 3 O2 + 2 Cl2
AgCl + ClF3 → AgF2 + ClF + 1/2 Cl2

ClF3 ยังถูกใช้ในการผลิตยูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์ ดังนี้

U + 3 ClF3 → UF6 + 3 ClF

เมื่อทำปฏิกิริยากับฟอสฟอรัส จะได้ฟอสฟอรัสไตรคลอไรด์ (PCl3) และฟอสฟอรัสเพนตะฟลูออไรด์ (PF5) เมื่อทำปฏิกิริยากับกำมะถัน จะให้ซัลเฟอร์ไดคลอไรด์ (SCl2) และซัลเฟอร์เตตระฟลูออไรด์ (SF4)

เมื่อทำปฏิกิริยากับซีเซียมฟลูออไรด์ จะสร้างเกลือที่มีแอนไอออน F(ClF3)3[16]

การใช้งาน

[แก้]

อุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำ

[แก้]

ในอุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำ คลอรีนไตรฟลูออไรด์ถูกใช้ในการทำความสะอาดห้องทับถมไอระเหยเชิงเคมี (chemical vapour deposition, CVD) โดยสามารถกำจัดวัสดุกึ่งตัวนำออกจากผนังห้องได้โดยที่ไม่ต้องถอดชิ้นส่วนของห้องออก สิ่งที่ ClF₃ ต่างจากสารเคมีชนิดอื่นที่ใช้ในงานลักษณะเดียวกันคือ ไม่จำเป็นต้องใช้พลาสมาเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยา เพราะความร้อนในห้อง CVD เพียงพอที่จะทำให้ ClF₃ สลายตัวและทำปฏิกิริยากับวัสดุกึ่งตัวนำได้โดยตรง

รีเอเจนต์ในการเติมฟลูออรีน

[แก้]

ClF3 ถูกใช้เป็นสารเติมฟลูออรีน (รีเอเจนต์) ให้กับสารประกอบหลายชนิด[13]

การใช้งานทางการทหาร

[แก้]

คลอรีนไตรฟลูออไรด์ได้รับการศึกษาวิจัยในฐานะสารออกซิไดซ์ประสิทธิภาพสูงที่สามารถจัดเก็บได้ สำหรับใช้ในระบบเชื้อเพลิงจรวด แต่ก็มีข้อจำกัดใหญ่หลวงคือการจัดการกับสารชนิดนี้ ดังที่นักวิทยาศาสตร์จรวด จอห์น ดี. คลาร์ก ได้กล่าวข้อความหนึ่งซึ่งภายหลังถูกอ้างถึงบ่อยครั้ง เขาแสดงให้เห็นถึงธรรมชาติความอันตรายอย่างร้ายแรงของสารชนิดนี้ดังว่า

แน่นอนว่ามันเป็นสารพิษรุนแรง แต่เรื่องนั้นยังเป็นปัญหาที่เล็กที่สุด มันเป็นสารไฮเพอร์กอลิก (ติดไฟเมื่อสัมผัสกัน) ต่อเชื้อเพลิงทุกชนิดที่รู้จัก และทำปฏิกิริยาไฮเพอร์กอลิกได้เร็วมากจนไม่สามารถวัดเวลาหน่วงการติดไฟได้เลย มันยังทำปฏิกิริยาไฮเพอร์กอลิกกับสิ่งต่าง ๆ เช่น ผ้า ไม้ ตัววิศวกรผู้ทดสอบเอง ไม่ต้องพูดถึงแร่ใยหิน ทราย และน้ำ ล้วนเกิดปฏิกิริยาแบบระเบิดกับมันทั้งสิ้น เราสามารถเก็บมันไว้ในโลหะโครงสร้างทั่วไปบางชนิดได้ เช่น เหล็ก ทองแดง อะลูมิเนียม เป็นต้น เพราะเกิดฟิล์มบางของฟลูออไรด์โลหะที่ไม่ละลายน้ำ ซึ่งช่วยปกป้องเนื้อโลหะ เช่นเดียวกับชั้นเคลือบออกไซด์บาง ๆ ที่มองไม่เห็นบนอะลูมิเนียมที่ป้องกันไม่ให้มันเผาไหม้ในอากาศ อย่างไรก็ตาม หากชั้นเคลือบนี้ได้ละลายหรือถูกขัดถูออกไป และไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ทัน ผู้ใช้งานจะต้องเผชิญกับไฟที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างโลหะกับฟลูออรีน หากเกิดสถานการณ์เช่นนั้นแล้ว ผมจะแนะนำให้เตรียมรองเท้าวิ่งดี ๆ ไว้สักคู่เสมอ[17]

คลอรีนเพนตาฟลูออไรด์ (ClF5) ยังเคยมีการศึกษาเพื่อใช้เป็นสารออกซิไดซ์ในจรวดเช่นกัน ซึ่งให้แรงดลจำเพาะดีกว่าคลอรีนไตรฟลูออไรด์ แต่ก็มีข้อเสียเรื่องการจัดการเช่นเดียวกัน สารทั้งสองชนิดนี้จึงไม่ได้ถูกนำมาใช้จริงในระบบขับเคลื่อนจรวดใด ๆ

คลอรีนไตรฟลูออไรด์ถูกวิจัยเพื่อใช้ในงานทางทหารภายใต้รหัสลับ N-Stoff (เอ็น-ชตอฟ, เยอรมันแปลว่า "สาร N") โดยสถาบันไคเซอร์วิลเฮ็ล์ม ในเยอรมนีภายใต้ระบอบนาซี ก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองไม่นาน โดยมีการทดสอบกับแบบจำลองของป้อมปราการแนวมาฌีโน และพบว่ามันเป็นอาวุธเพลิงและแก๊สพิษที่มีประสิทธิภาพสูงยิ่ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1938 เริ่มมีการสร้างโรงงานผลิตยุทโธปกรณ์ขนาด 14,000 ตารางเมตรขึ้นในเขตฟัลเคนฮาเกิน ทางตะวันออกของเยอรมนี ซึ่งบางส่วนเป็นบังเกอร์ บางส่วนอยู่ใต้ดิน มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิต N-Stoff ให้ได้ 90 ตันต่อเดือน ควบคู่กับการผลิตซาริน (แก๊สพิษทำลายระบบประสาทที่ร้ายแรงถึงชีวิต) อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งกองทัพแดงได้บุกยึดโรงงานในปี ค.ศ. 1945 โรงงานสามารถผลิต N-Stoff ได้เพียงราว 30 ถึง 50 ตันเท่านั้น และมีต้นทุนการผลิตสูงกว่า 100 ไรชส์มาร์คเยอรมันต่อกิโลกรัม โดย N-Stoff ไม่เคยถูกนำมาใช้จริงในสงคราม[18][19]

อันตราย

[แก้]

ClF3 เป็นสารออกซิไดซ์ที่รุนแรงมาก มีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงกับทั้งวัสดุอินทรีย์และอนินทรีย์ส่วนใหญ่ และสามารถทำให้วัสดุที่โดยปกติไม่ติดไฟเกิดการลุกไหม้โดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงอื่น ปฏิกิริยานี้มักมีความรุนแรงและบางครั้งเป็นการระเบิด โลหะเช่นเหล็กกล้า ทองแดง และนิกเกิลจะไม่เกิดปฏิกิริยากับ ClF3 โดยตรง เพราะเมื่อสัมผัสกันจะเกิดชั้นป้องกัน (passivation layer) ของฟลูออไรด์ของโลหะที่ไม่ละลายน้ำขึ้น ซึ่งช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดการกัดกร่อนเพิ่ม แต่โลหะเช่นโมลิบดีนัม ทังสเตน และไทเทเนียมจะมีฟลูออไรด์ที่ระเหยง่าย จึงไม่เหมาะสำหรับการใช้งาน ClF3 ยังสามารถกัดกร่อนโลหะมีสกุล เช่น อิริเดียม แพลทินัม และทองคำได้อย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนให้เป็นคลอไรด์และฟลูออไรด์ของโลหะชนิดนั้น

พลังการออกซิไดซ์ของคลอรีนไตรฟลูออไรด์รุนแรงกว่าแก๊สออกซิเจน จึงสามารถทำปฏิกิริยาอย่างรุนแรงกับวัสดุที่โดยปกติไม่ติดไฟหรือทนไฟ เช่น ทราย แร่ใยหิน แก้ว แม้แต่เถ้าถ่านของวัสดุที่ถูกเผาไหม้ด้วยออกซิเจนไปแล้ว ครั้งหนึ่งเคยเกิดอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรมที่ ClF3 ปริมาณ 900 กิโลกรัมรั่วไหลลงพื้น เกิดการเผาไหม้ทะลุคอนกรีตหนา 30 เซนติเมตรและเผาไหม้กรวดที่อยู่ด้านล่างต่ออีก 90 เซนติเมตร[20][17] วิธีควบคุมไฟที่เกิดจาก ClF3 ได้อย่างปลอดภัยมีเพียงหนึ่งวิธีคือ การปล่อยไนโตรเจนหรือแก๊สมีสกุลเช่น อาร์กอน ให้ท่วมบริเวณที่ไฟไหม้ หากไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้ จำเป็นต้องทำให้บริเวณนั้นเย็นลงและรอจนกว่าปฏิกิริยาจะหยุดเอง[21] การดับด้วยน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ และสารดับเพลิงประเภทอื่นที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบใช้ไม่ได้ผลเพราะ ClF3 ทำปฏิกิริยากับสารเหล่านี้ อาจทำให้สถานการณ์แย่ลง[22]

หากสัมผัสกับ ClF3 ในปริมาณมากทั้งในรูปของของเหลวหรือแก๊ส จะทำให้เนื้อเยื่อติดไฟ เกิดแผลไหม้รุนแรงทั้งจากปฏิกิริยาเคมีและความร้อน ClF3 ยังทำปฏิกิริยารุนแรงกับน้ำและการสัมผัสกับปฏิกิริยานี้ยังก่อให้เกิดแผลไหม้เช่นกัน ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการทำปฏิกิริยากับน้ำส่วนใหญ่คือกรดไฮโดรฟลูออริกและกรดไฮโดรคลอริก ซึ่งมักถูกปล่อยออกมาในรูปของไอน้ำหรือไอระเหยจากธรรมชาติของปฏิกิริยาคายความร้อนที่รุนแรง และผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดนี้ก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพเช่นกัน

เชิงอรรถ

[แก้]

^ก ใช้ข้อมูลจาก Economic History Services[23] และเครื่องมือคิดเงินเฟ้อ (The Inflation Calculator)[24] ได้ผลลัพธ์ว่าเงินจำนวน 100 ไรชส์มาร์คเยอรมันในปี ค.ศ. 1941 มีค่าประมาณเทียบเท่ากับ 4,652.50 ดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2021 ค่าอัตราแลกเปลี่ยนสกุลไรชส์มาร์คระหว่างปี 1942 ถึง 1944 มีความไม่ต่อเนื่อง

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 1.2 "Chlorine trifluoride". PubChem Compound. National Center for Biotechnology Information. 4 July 2023. สืบค้นเมื่อ 8 July 2023.
  2. ClF3/Hydrazine เก็บถาวร 2007-02-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at the Encyclopedia Astronautica.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 NIOSH Pocket Guide to Chemical Hazards. "#0117". National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH).
  4. 4.0 4.1 4.2 Haynes, William M., บ.ก. (2011). CRC Handbook of Chemistry and Physics (92nd ed.). CRC Press. p. 4.58. ISBN 978-1-4398-5511-9.
  5. Haynes, William M., บ.ก. (2011). CRC Handbook of Chemistry and Physics (92nd ed.). CRC Press. p. 4.132. ISBN 978-1-4398-5511-9.
  6. Haynes, William M., บ.ก. (2011). CRC Handbook of Chemistry and Physics (92nd ed.). CRC Press. p. 5.8. ISBN 978-1-4398-5511-9.
  7. "Chlorine trifluoride". Immediately Dangerous to Life and Health Concentrations (IDLH). National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH).
  8. Habuka, Hitoshi; Sukenobu, Takahiro; Koda, Hideyuki; Takeuchi, Takashi; Aihara, Masahiko (2004). "Silicon Etch Rate Using Chlorine Trifluoride". Journal of the Electrochemical Society. 151 (11): G783–G787. Bibcode:2004JElS..151G.783H. doi:10.1149/1.1806391. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-01-25. สืบค้นเมื่อ 2017-04-11.
  9. Xi, Ming et al. (1997) U.S. Patent 5,849,092 "Process for chlorine trifluoride chamber cleaning"
  10. Board on Environmental Studies and Toxicology, (BEST) (2006). Acute Exposure Guideline Levels for Selected Airborne Chemicals: Volume 5. Washington D.C.: National Academies Press. p. 40. ISBN 978-0-309-10358-9. (available from National Academies Press เก็บถาวร 2014-11-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีนสิ่งพิมพ์เผยแพร่เข้าถึงแบบเปิด อ่านได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย)
  11. Boyce, C. Bradford and Belter, Randolph K. (1998) U.S. Patent 6,034,016 "Method for regenerating halogenated Lewis acid catalysts"
  12. Otto Ruff, H. Krug (1930). "Über ein neues Chlorfluorid-CIF3" [A New Chlorofluoride, ClF3]. Zeitschrift für anorganische und allgemeine Chemie. 190 (1): 270–276. doi:10.1002/zaac.19301900127.
  13. 13.0 13.1 13.2 Aigueperse, Jean; Mollard, Paul; Devilliers, Didier; Chemla, Marius; Faron, Robert; Romano, René; Cuer, Jean Pierre (2000). "Fluorine Compounds, Inorganic". Ullmann's Encyclopedia of Industrial Chemistry. doi:10.1002/14356007.a11_307. ISBN 3-527-30673-0.
  14. Smith, D. F. (1953). "The Microwave Spectrum and Structure of Chlorine Trifluoride". The Journal of Chemical Physics. 21 (4): 609–614. Bibcode:1953JChPh..21..609S. doi:10.1063/1.1698976. hdl:2027/mdp.39015095092865.
  15. 15.0 15.1 Greenwood, Norman N.; Earnshaw, Alan (1997). Chemistry of the Elements (2nd ed.). Butterworth-Heinemann. p. 828. ISBN 978-0-08-037941-8.
  16. Scheibe, Benjamin; Karttunen, Antti J.; Müller, Ulrich; Kraus, Florian (5 October 2020). "Cs[Cl 3 F 10 ]: A Propeller-Shaped [Cl 3 F 10 ] − Anion in a Peculiar A [5] B [5] Structure Type". Angewandte Chemie International Edition. 59 (41): 18116–18119. doi:10.1002/anie.202007019. PMC 7589245. PMID 32608053.
  17. 17.0 17.1 Clark, John D. (1972). Ignition! An Informal History of Liquid Rocket Propellants. Rutgers University Press. p. 214. ISBN 978-0-8135-0725-5.
  18. Müller, Benno (24 November 2005). "A poisonous present". Nature. Review of: Kampfstoff-Forschung im Nationalsozialismus: Zur Kooperation von Kaiser-Wilhelm-Instituten, Militär und Industrie [Weapons Research in National Socialism] by Florian Schmaltz (Wallstein, 2005, 676 pages). 438 (7067): 427. Bibcode:2005Natur.438..427M. doi:10.1038/438427a.
  19. "Germany 2004". www.bunkertours.co.uk. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-06-13. สืบค้นเมื่อ 2006-06-13.
  20. Safetygram. Air Products
  21. "Chlorine Trifluoride Handling Manual". Canoga Park, CA: Rocketdyne. September 1961. p. 24. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-04-08. สืบค้นเมื่อ 2012-09-19.
  22. Patnaik, Pradyot (2007). A comprehensive guide to the hazardous properties of chemical substances (3rd ed.). Wiley-Interscience. p. 478. ISBN 978-0-471-71458-3.
  23. Officer, Lawrence H. (2002), Exchange Rate Between the United States Dollar and Forty Other Countries, 1913–1999, EH.net (Economic History Services), คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 June 2006, สืบค้นเมื่อ 7 July 2023
  24. "The Inflation Calculator". S. Morgan Friedman's 'Webpage': Ceci N'est Pas Une Homepage. สืบค้นเมื่อ 7 July 2023.