คลอรีนไตรฟลูออไรด์
| |||
ชื่อ | |||
---|---|---|---|
Systematic IUPAC name
Trifluoro-λ3-chlorane[1] (substitutive) | |||
ชื่ออื่น
Chlorotrifluoride
| |||
เลขทะเบียน | |||
3D model (JSmol)
|
|||
ChEBI | |||
เคมสไปเดอร์ | |||
ECHA InfoCard | 100.029.301 | ||
EC Number |
| ||
1439 | |||
MeSH | chlorine+trifluoride | ||
ผับเคม CID
|
|||
RTECS number |
| ||
UNII | |||
UN number | 1749 | ||
CompTox Dashboard (EPA)
|
|||
| |||
| |||
คุณสมบัติ | |||
ClF3 | |||
มวลโมเลกุล | 92.45 g·mol−1 | ||
ลักษณะทางกายภาพ | แก๊สไม่มีสีหรือของเหลวสีเหลืองอมเขียว | ||
กลิ่น | Sweet, pungent, irritating, suffocating[2][3] | ||
ความหนาแน่น | 3.779 g/L[4] | ||
จุดหลอมเหลว | −76.34 องศาเซลเซียส (−105.41 องศาฟาเรนไฮต์; 196.81 เคลวิน)[4] | ||
จุดเดือด | 11.75 องศาเซลเซียส (53.15 องศาฟาเรนไฮต์; 284.90 เคลวิน)[4] (สลายตัวที่ 180 องศาเซลเซียส, 356 องศาฟาเรนไฮต์; 453 เคลวิน) | ||
ทำปฏิกิริยากับน้ำ[1] | |||
ความสามารถละลายได้ | ละลายได้ในคาร์บอนเตตระคลอไรด์ แต่ระเบิดได้เมื่อมีความเข้มข้นสูง; ทำปฏิกิริยากับสารประกอบไฮโดรเจน เช่น ไฮโดรเจน, มีเทน, เบนซีน, อีเทอร์, แอมโมเนีย[1] | ||
ความดันไอ | 175 kPa | ||
−26.5×10−6 cm3/mol[5] | |||
ความหนืด | 91.82 μPa s | ||
โครงสร้าง | |||
รูปตัว T | |||
อุณหเคมี[6] | |||
ความจุความร้อน (C)
|
63.9 J K−1 mol−1 | ||
Std molar
entropy (S⦵298) |
281.6 J K−1 mol−1 | ||
Std enthalpy of
formation (ΔfH⦵298) |
−163.2 kJ mol−1 | ||
พลังงานเสรีกิบส์ (ΔfG⦵)
|
−123.0 kJ mol−1 | ||
ความอันตราย | |||
อาชีวอนามัยและความปลอดภัย (OHS/OSH): | |||
อันตรายหลัก
|
Very toxic, very corrosive, powerful oxidizer, violent hydrolysis[3] | ||
GHS labelling: | |||
![]() ![]() ![]() ![]() | |||
อันตราย | |||
NFPA 704 (fire diamond) | |||
จุดวาบไฟ | Noncombustible[3] | ||
ปริมาณหรือความเข้มข้น (LD, LC): | |||
LC50 (median concentration)
|
95 ppm (หนูใหญ่, 4 ชม.) 178 ppm (หนูเล็ก, 1 ชม.) 230 ppm (ลิง, 1 ชม.) 299 ppm (หนูใหญ่, 1 ชม.) [7] | ||
NIOSH (US health exposure limits): | |||
PEL (Permissible)
|
C 0.1 ppm (0.4 mg/m3)[3] | ||
REL (Recommended)
|
C 0.1 ppm (0.4 mg/m3)[3] | ||
IDLH (Immediate danger)
|
20 ppm[3] | ||
เอกสารข้อมูลความปลอดภัย (SDS) | [1] | ||
สารประกอบอื่นที่เกี่ยวข้องกัน | |||
สารประกอบที่เกี่ยวข้อง
|
คลอรีนเพนตะฟลูออไรด์ คลอรีนมอนอฟลูออไรด์ โบรมีนไตรฟลูออไรด์ ไอโอดีนไตรฟลูออไรด์ | ||
หากมิได้ระบุเป็นอื่น ข้อมูลข้างต้นนี้คือข้อมูลสาร ณ ภาวะมาตรฐานที่ 25 °C, 100 kPa
|
คลอรีนไตรฟลูออไรด์ (อังกฤษ: chlorine trifluoride) เป็นสารประกอบอินเทอร์แฮโลเจนที่มีสูตรเคมีว่า ClF3 เป็นแก๊สไม่มีสี มีพิษ กัดกร่อน และมีความไวปฏิกิริยาสูงมาก เมื่อควบแน่นจะเป็นของเหลวสีเหลืองอมเขียวอ่อน ซึ่งเป็นรูปแบบที่มักใช้ในการจัดจำหน่าย (เก็บไว้ในภาชนะที่มีความดันที่อุณหภูมิห้อง) สารชนิดนี้มีสิ่งโดดเด่นคือคุณสมบัติในการออกซิไดซ์ที่รุนแรงอย่างยิ่ง การใช้งานหลักได้แก่กระบวนการทำความสะอาดและกัดพื้นผิว (etching) แบบไม่ใช้พลาสมาในอุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำ[8][9] การแปรรูปเชื้อเพลิงของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์[10] และในอดีตเคยใช้เป็นส่วนประกอบของเชื้อเพลิงจรวด นอกจากนี้มีการใช้งานทางอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย เนื่องจากความสามารถในการกัดกร่อนของสารชนิดนี้[11]
การเตรียม, โครงสร้าง และคุณสมบัติ
[แก้]คลอรีนไตรฟลูออไรด์ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1930 โดยนักเคมีชาวเยอรมัน อ็อทโท รูฟ (Otto Ruff) และแฮร์แบร์ท ครูก (Herbert Krug) ซึ่งสังเคราะห์สารชนิดนี้โดยการทำปฏิกิริยาระหว่างฟลูออไรด์กับคลอรีน ได้ผลิตภัณฑ์เป็นคลอรีนมอนอฟลูออไรด์ (ClF) ร่วมด้วย จากนั้นจึงแยกสารผสมด้วยการกลั่น[12]
- 3 F2 + Cl2 → 2 ClF3
ปัจจุบันมีการผลิตสารชนิดนี้ในปริมาณหลายร้อยตันต่อปี[13]
โครงสร้างโมเลกุลของ ClF3 มีลักษณะคล้ายรูปตัว T โดยมีพันธะสั้นหนึ่งพันธะ (1.598 Å) และพันธะยาวสองพันธะ (1.698 Å)[14] โครงสร้างนี้สอดคล้องกับทฤษฎี VSEPR ซึ่งทำนายว่าอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวจะอยู่ในตำแหน่งศูนย์สูตร (equatorial position) สองตำแหน่งของโครงสร้างพีระมิดคู่ฐานสามเหลี่ยมสมมุติ (trigonal bipyramid) พันธะแนวแกน Cl-F (axial) ที่ยืดออกนั้นยังเป็นไปตามหลักการของพันธะไฮเพอร์เวเลนต์
ปฏิกิริยา
[แก้]คลอรีนไตรฟลูออไรด์ยังทำปฏิกิริยาระเบิดกับน้ำได้ โดยจะให้ไฮโดรเจนฟลูออไรด์, ไฮโดรเจนคลอไรด์ พร้อมกับออกซิเจน และออกซิเจนไดฟลูออไรด์ (OF2)[15] ดังนี้
- ClF3 + H2O → HF + HCl + OF2
- ClF3 + 2H2O → 3HF + HCl + O2
เมื่อได้รับความร้อนจะสลายตัว[13] ดังนี้
- ClF3 ⇌ ClF + F2
ปฏิกิริยาระหว่างสารชนิดนี้กับโลหะหลายชนิดและแม้กระทั่งโลหะออกไซด์จะให้ฟลูออไรด์[15] ดังนี้
- 6NiO + 4 ClF3 → 6 NiF2 + 3 O2 + 2 Cl2
- AgCl + ClF3 → AgF2 + ClF + 1/2 Cl2
ClF3 ยังถูกใช้ในการผลิตยูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์ ดังนี้
- U + 3 ClF3 → UF6 + 3 ClF
เมื่อทำปฏิกิริยากับฟอสฟอรัส จะได้ฟอสฟอรัสไตรคลอไรด์ (PCl3) และฟอสฟอรัสเพนตะฟลูออไรด์ (PF5) เมื่อทำปฏิกิริยากับกำมะถัน จะให้ซัลเฟอร์ไดคลอไรด์ (SCl2) และซัลเฟอร์เตตระฟลูออไรด์ (SF4)
เมื่อทำปฏิกิริยากับซีเซียมฟลูออไรด์ จะสร้างเกลือที่มีแอนไอออน F(ClF3)−3[16]
การใช้งาน
[แก้]อุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำ
[แก้]ในอุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำ คลอรีนไตรฟลูออไรด์ถูกใช้ในการทำความสะอาดห้องทับถมไอระเหยเชิงเคมี (chemical vapour deposition, CVD) โดยสามารถกำจัดวัสดุกึ่งตัวนำออกจากผนังห้องได้โดยที่ไม่ต้องถอดชิ้นส่วนของห้องออก สิ่งที่ ClF₃ ต่างจากสารเคมีชนิดอื่นที่ใช้ในงานลักษณะเดียวกันคือ ไม่จำเป็นต้องใช้พลาสมาเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยา เพราะความร้อนในห้อง CVD เพียงพอที่จะทำให้ ClF₃ สลายตัวและทำปฏิกิริยากับวัสดุกึ่งตัวนำได้โดยตรง
รีเอเจนต์ในการเติมฟลูออรีน
[แก้]ClF3 ถูกใช้เป็นสารเติมฟลูออรีน (รีเอเจนต์) ให้กับสารประกอบหลายชนิด[13]
การใช้งานทางการทหาร
[แก้]คลอรีนไตรฟลูออไรด์ได้รับการศึกษาวิจัยในฐานะสารออกซิไดซ์ประสิทธิภาพสูงที่สามารถจัดเก็บได้ สำหรับใช้ในระบบเชื้อเพลิงจรวด แต่ก็มีข้อจำกัดใหญ่หลวงคือการจัดการกับสารชนิดนี้ ดังที่นักวิทยาศาสตร์จรวด จอห์น ดี. คลาร์ก ได้กล่าวข้อความหนึ่งซึ่งภายหลังถูกอ้างถึงบ่อยครั้ง เขาแสดงให้เห็นถึงธรรมชาติความอันตรายอย่างร้ายแรงของสารชนิดนี้ดังว่า
แน่นอนว่ามันเป็นสารพิษรุนแรง แต่เรื่องนั้นยังเป็นปัญหาที่เล็กที่สุด มันเป็นสารไฮเพอร์กอลิก (ติดไฟเมื่อสัมผัสกัน) ต่อเชื้อเพลิงทุกชนิดที่รู้จัก และทำปฏิกิริยาไฮเพอร์กอลิกได้เร็วมากจนไม่สามารถวัดเวลาหน่วงการติดไฟได้เลย มันยังทำปฏิกิริยาไฮเพอร์กอลิกกับสิ่งต่าง ๆ เช่น ผ้า ไม้ ตัววิศวกรผู้ทดสอบเอง ไม่ต้องพูดถึงแร่ใยหิน ทราย และน้ำ ล้วนเกิดปฏิกิริยาแบบระเบิดกับมันทั้งสิ้น เราสามารถเก็บมันไว้ในโลหะโครงสร้างทั่วไปบางชนิดได้ เช่น เหล็ก ทองแดง อะลูมิเนียม เป็นต้น เพราะเกิดฟิล์มบางของฟลูออไรด์โลหะที่ไม่ละลายน้ำ ซึ่งช่วยปกป้องเนื้อโลหะ เช่นเดียวกับชั้นเคลือบออกไซด์บาง ๆ ที่มองไม่เห็นบนอะลูมิเนียมที่ป้องกันไม่ให้มันเผาไหม้ในอากาศ อย่างไรก็ตาม หากชั้นเคลือบนี้ได้ละลายหรือถูกขัดถูออกไป และไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ทัน ผู้ใช้งานจะต้องเผชิญกับไฟที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างโลหะกับฟลูออรีน หากเกิดสถานการณ์เช่นนั้นแล้ว ผมจะแนะนำให้เตรียมรองเท้าวิ่งดี ๆ ไว้สักคู่เสมอ[17]
คลอรีนเพนตาฟลูออไรด์ (ClF5) ยังเคยมีการศึกษาเพื่อใช้เป็นสารออกซิไดซ์ในจรวดเช่นกัน ซึ่งให้แรงดลจำเพาะดีกว่าคลอรีนไตรฟลูออไรด์ แต่ก็มีข้อเสียเรื่องการจัดการเช่นเดียวกัน สารทั้งสองชนิดนี้จึงไม่ได้ถูกนำมาใช้จริงในระบบขับเคลื่อนจรวดใด ๆ
คลอรีนไตรฟลูออไรด์ถูกวิจัยเพื่อใช้ในงานทางทหารภายใต้รหัสลับ N-Stoff (เอ็น-ชตอฟ, เยอรมันแปลว่า "สาร N") โดยสถาบันไคเซอร์วิลเฮ็ล์ม ในเยอรมนีภายใต้ระบอบนาซี ก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองไม่นาน โดยมีการทดสอบกับแบบจำลองของป้อมปราการแนวมาฌีโน และพบว่ามันเป็นอาวุธเพลิงและแก๊สพิษที่มีประสิทธิภาพสูงยิ่ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1938 เริ่มมีการสร้างโรงงานผลิตยุทโธปกรณ์ขนาด 14,000 ตารางเมตรขึ้นในเขตฟัลเคนฮาเกิน ทางตะวันออกของเยอรมนี ซึ่งบางส่วนเป็นบังเกอร์ บางส่วนอยู่ใต้ดิน มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิต N-Stoff ให้ได้ 90 ตันต่อเดือน ควบคู่กับการผลิตซาริน (แก๊สพิษทำลายระบบประสาทที่ร้ายแรงถึงชีวิต) อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งกองทัพแดงได้บุกยึดโรงงานในปี ค.ศ. 1945 โรงงานสามารถผลิต N-Stoff ได้เพียงราว 30 ถึง 50 ตันเท่านั้น และมีต้นทุนการผลิตสูงกว่า 100 ไรชส์มาร์คเยอรมันต่อกิโลกรัมก โดย N-Stoff ไม่เคยถูกนำมาใช้จริงในสงคราม[18][19]
อันตราย
[แก้]ClF3 เป็นสารออกซิไดซ์ที่รุนแรงมาก มีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงกับทั้งวัสดุอินทรีย์และอนินทรีย์ส่วนใหญ่ และสามารถทำให้วัสดุที่โดยปกติไม่ติดไฟเกิดการลุกไหม้โดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงอื่น ปฏิกิริยานี้มักมีความรุนแรงและบางครั้งเป็นการระเบิด โลหะเช่นเหล็กกล้า ทองแดง และนิกเกิลจะไม่เกิดปฏิกิริยากับ ClF3 โดยตรง เพราะเมื่อสัมผัสกันจะเกิดชั้นป้องกัน (passivation layer) ของฟลูออไรด์ของโลหะที่ไม่ละลายน้ำขึ้น ซึ่งช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดการกัดกร่อนเพิ่ม แต่โลหะเช่นโมลิบดีนัม ทังสเตน และไทเทเนียมจะมีฟลูออไรด์ที่ระเหยง่าย จึงไม่เหมาะสำหรับการใช้งาน ClF3 ยังสามารถกัดกร่อนโลหะมีสกุล เช่น อิริเดียม แพลทินัม และทองคำได้อย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนให้เป็นคลอไรด์และฟลูออไรด์ของโลหะชนิดนั้น
พลังการออกซิไดซ์ของคลอรีนไตรฟลูออไรด์รุนแรงกว่าแก๊สออกซิเจน จึงสามารถทำปฏิกิริยาอย่างรุนแรงกับวัสดุที่โดยปกติไม่ติดไฟหรือทนไฟ เช่น ทราย แร่ใยหิน แก้ว แม้แต่เถ้าถ่านของวัสดุที่ถูกเผาไหม้ด้วยออกซิเจนไปแล้ว ครั้งหนึ่งเคยเกิดอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรมที่ ClF3 ปริมาณ 900 กิโลกรัมรั่วไหลลงพื้น เกิดการเผาไหม้ทะลุคอนกรีตหนา 30 เซนติเมตรและเผาไหม้กรวดที่อยู่ด้านล่างต่ออีก 90 เซนติเมตร[20][17] วิธีควบคุมไฟที่เกิดจาก ClF3 ได้อย่างปลอดภัยมีเพียงหนึ่งวิธีคือ การปล่อยไนโตรเจนหรือแก๊สมีสกุลเช่น อาร์กอน ให้ท่วมบริเวณที่ไฟไหม้ หากไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้ จำเป็นต้องทำให้บริเวณนั้นเย็นลงและรอจนกว่าปฏิกิริยาจะหยุดเอง[21] การดับด้วยน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ และสารดับเพลิงประเภทอื่นที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบใช้ไม่ได้ผลเพราะ ClF3 ทำปฏิกิริยากับสารเหล่านี้ อาจทำให้สถานการณ์แย่ลง[22]
หากสัมผัสกับ ClF3 ในปริมาณมากทั้งในรูปของของเหลวหรือแก๊ส จะทำให้เนื้อเยื่อติดไฟ เกิดแผลไหม้รุนแรงทั้งจากปฏิกิริยาเคมีและความร้อน ClF3 ยังทำปฏิกิริยารุนแรงกับน้ำและการสัมผัสกับปฏิกิริยานี้ยังก่อให้เกิดแผลไหม้เช่นกัน ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการทำปฏิกิริยากับน้ำส่วนใหญ่คือกรดไฮโดรฟลูออริกและกรดไฮโดรคลอริก ซึ่งมักถูกปล่อยออกมาในรูปของไอน้ำหรือไอระเหยจากธรรมชาติของปฏิกิริยาคายความร้อนที่รุนแรง และผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดนี้ก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพเช่นกัน
เชิงอรรถ
[แก้]^ก ใช้ข้อมูลจาก Economic History Services[23] และเครื่องมือคิดเงินเฟ้อ (The Inflation Calculator)[24] ได้ผลลัพธ์ว่าเงินจำนวน 100 ไรชส์มาร์คเยอรมันในปี ค.ศ. 1941 มีค่าประมาณเทียบเท่ากับ 4,652.50 ดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2021 ค่าอัตราแลกเปลี่ยนสกุลไรชส์มาร์คระหว่างปี 1942 ถึง 1944 มีความไม่ต่อเนื่อง
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 "Chlorine trifluoride". PubChem Compound. National Center for Biotechnology Information. 4 July 2023. สืบค้นเมื่อ 8 July 2023.
- ↑ ClF3/Hydrazine เก็บถาวร 2007-02-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at the Encyclopedia Astronautica.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 NIOSH Pocket Guide to Chemical Hazards. "#0117". National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH).
- ↑ 4.0 4.1 4.2 Haynes, William M., บ.ก. (2011). CRC Handbook of Chemistry and Physics (92nd ed.). CRC Press. p. 4.58. ISBN 978-1-4398-5511-9.
- ↑ Haynes, William M., บ.ก. (2011). CRC Handbook of Chemistry and Physics (92nd ed.). CRC Press. p. 4.132. ISBN 978-1-4398-5511-9.
- ↑ Haynes, William M., บ.ก. (2011). CRC Handbook of Chemistry and Physics (92nd ed.). CRC Press. p. 5.8. ISBN 978-1-4398-5511-9.
- ↑ "Chlorine trifluoride". Immediately Dangerous to Life and Health Concentrations (IDLH). National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH).
- ↑ Habuka, Hitoshi; Sukenobu, Takahiro; Koda, Hideyuki; Takeuchi, Takashi; Aihara, Masahiko (2004). "Silicon Etch Rate Using Chlorine Trifluoride". Journal of the Electrochemical Society. 151 (11): G783–G787. Bibcode:2004JElS..151G.783H. doi:10.1149/1.1806391. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-01-25. สืบค้นเมื่อ 2017-04-11.
- ↑ Xi, Ming et al. (1997) U.S. Patent 5,849,092 "Process for chlorine trifluoride chamber cleaning"
- ↑ Board on Environmental Studies and Toxicology, (BEST) (2006). Acute Exposure Guideline Levels for Selected Airborne Chemicals: Volume 5. Washington D.C.: National Academies Press. p. 40. ISBN 978-0-309-10358-9. (available from National Academies Press เก็บถาวร 2014-11-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
)
- ↑ Boyce, C. Bradford and Belter, Randolph K. (1998) U.S. Patent 6,034,016 "Method for regenerating halogenated Lewis acid catalysts"
- ↑ Otto Ruff, H. Krug (1930). "Über ein neues Chlorfluorid-CIF3" [A New Chlorofluoride, ClF3]. Zeitschrift für anorganische und allgemeine Chemie. 190 (1): 270–276. doi:10.1002/zaac.19301900127.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 Aigueperse, Jean; Mollard, Paul; Devilliers, Didier; Chemla, Marius; Faron, Robert; Romano, René; Cuer, Jean Pierre (2000). "Fluorine Compounds, Inorganic". Ullmann's Encyclopedia of Industrial Chemistry. doi:10.1002/14356007.a11_307. ISBN 3-527-30673-0.
- ↑ Smith, D. F. (1953). "The Microwave Spectrum and Structure of Chlorine Trifluoride". The Journal of Chemical Physics. 21 (4): 609–614. Bibcode:1953JChPh..21..609S. doi:10.1063/1.1698976. hdl:2027/mdp.39015095092865.
- ↑ 15.0 15.1 Greenwood, Norman N.; Earnshaw, Alan (1997). Chemistry of the Elements (2nd ed.). Butterworth-Heinemann. p. 828. ISBN 978-0-08-037941-8.
- ↑ Scheibe, Benjamin; Karttunen, Antti J.; Müller, Ulrich; Kraus, Florian (5 October 2020). "Cs[Cl 3 F 10 ]: A Propeller-Shaped [Cl 3 F 10 ] − Anion in a Peculiar A [5] B [5] Structure Type". Angewandte Chemie International Edition. 59 (41): 18116–18119. doi:10.1002/anie.202007019. PMC 7589245. PMID 32608053.
- ↑ 17.0 17.1 Clark, John D. (1972). Ignition! An Informal History of Liquid Rocket Propellants. Rutgers University Press. p. 214. ISBN 978-0-8135-0725-5.
- ↑ Müller, Benno (24 November 2005). "A poisonous present". Nature. Review of: Kampfstoff-Forschung im Nationalsozialismus: Zur Kooperation von Kaiser-Wilhelm-Instituten, Militär und Industrie [Weapons Research in National Socialism] by Florian Schmaltz (Wallstein, 2005, 676 pages). 438 (7067): 427. Bibcode:2005Natur.438..427M. doi:10.1038/438427a.
- ↑ "Germany 2004". www.bunkertours.co.uk. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-06-13. สืบค้นเมื่อ 2006-06-13.
- ↑ Safetygram. Air Products
- ↑ "Chlorine Trifluoride Handling Manual". Canoga Park, CA: Rocketdyne. September 1961. p. 24. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-04-08. สืบค้นเมื่อ 2012-09-19.
- ↑ Patnaik, Pradyot (2007). A comprehensive guide to the hazardous properties of chemical substances (3rd ed.). Wiley-Interscience. p. 478. ISBN 978-0-471-71458-3.
- ↑ Officer, Lawrence H. (2002), Exchange Rate Between the United States Dollar and Forty Other Countries, 1913–1999, EH.net (Economic History Services), คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 June 2006, สืบค้นเมื่อ 7 July 2023
- ↑ "The Inflation Calculator". S. Morgan Friedman's 'Webpage': Ceci N'est Pas Une Homepage. สืบค้นเมื่อ 7 July 2023.